จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วิธีใช้แก้วจักรพรรดิ์













ลูกแก้วมหาจักรพรรดิ (อธิษฐานจิต โดยหลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะ)



ประวัติแก้วจักรพรรดิ์ หลวงปู่ดู่


หลวง ปู่ท่านให้นำพุทธคุณต่าง ๆ หลายชนิด มาผสมกับปูนซีเมนต์ขาวและปั้นเป็นลูกกลม ๆ ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ผงที่หลวงปู่ให้มานั้นท่านบอกว่าเป็นผงมหาราช ผงตรีนิสิงห์เห ผงปัตถมัง ผงกรรมฐาน ผงมหาจักรพรรดิ และผงศักดิ์สิทธิ์อีกหลายชนิด

ลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิดท่านเรียนถามหลวงปู่ว่า ทำไมหลวงปู่ใช้ผงมากขนาดนี้ครับ ท่านบอกว่า ถ้า ทำเป็นพระก็ไม่ต้องใช้ผงมาก เพราะคนจะเห็นคุณค่าของพระอยู่ในตัว แต่นี้ข้าให้ไปทำเป็นลูกกลม ๆ คนอื่นเขาจะไม่รู้ค่าจึงจำเป็นต้องทำให้มีพุทธคุณมาก ๆ ไว้เรียกว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดเลยแหละแก

หลวงปู่ท่านว่า ข้าอธิษฐานเป็นแก้วมหาจักรพรรดิ เรียกว่า แก้วมณีนพรัตน์ เป็นสมบัติของพระพุทธเจ้า แม้ผู้ใดนำไปใช้ก็จะเกิดประโยชน์ใหญ่มีพุทธานุภาพมาก แล้วแต่จะอธิษฐานเอา

สมัยก่อนข้าเคยทำไว้เป็นดินเผาก็มีเป็นผงก็มี กลมบ้าง เป็นแท่งยาว แท่งสั้นหลายขนาด เจาะรูไว้ตรงกลางเพื่อให้อากาศฐาตุเข้าเรียกวา โปร่งฟ้า ที่ไม่เจาะรูก็มี หนักไปทางแคล้วคลาดมหาอำนาจ

สมัย ก่อนห่ากินคนตายไปกันมาก ข้าจะทำเอาไว้แขวนคอควายแจกชาวบ้านให้ติดตัวกันแต่ห่าก็มาไม่ถึง จึงไม่ได้แจกแต่ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมดแล้ว

ลูกศิษย์จึงถามท่านว่า แก้วมณีนพรัตน์ป้องกันโรคร้าย ๆ ได้ด้วยหรือครับหลวงปู่ และถ้าคนที่เขาเป็นโรคร้ายที่รักษาไม่หายจะช่วยได้ไหมครับ

หลวงปู่ท่านเมตตาตอบว่า ให้ นำแก้วมณีนพรัตน์ไปแขวนคอไว้ แล้วภาวนาไตรสรณคมณ์ ตลอดเวลาหรือภาวนามาก ๆ ถ้ากรรมไม่หนักพุทธานุภาพของไตรสรณคมณ์ก็จะช่วยได้อยู่ที่ว่าตั้งใจภาวนามาก น้อยเพียงไรนับถือและศรัทธาจริงภาวนาไปจะมีเหตุมาทำให้หายจากโรคร้าย แต่ถ้าหมดอายุ ก็ยิ่งสำคัญมาก

เพราะเวลาที่คนจะตายด้วยโรคร้ายจะทุกข์ทรมานมาก จนจิตไม่สามารถ ระลึกถึงความสุขหรือที่เขาเรียกว่ากรรมดี เพราะความดีหรือบุญก็จะทำให้ได้ไปจุติเป็นเทพเป็นพรหม หรือเป็นเทวดาตามชั้นต่าง ๆ ตามแต่บุญกุศลของตนที่เคยได้ทำไว้ แต่ถ้าจิตตกเพราะเจ็บปวดทรมาน และไม่เคยฝึกสมาธิหรือกรรมฐานจิตก็จะหาที่ยึดเหนี่ยวไม่ได้ ตอนนั้นกรรมชั่วที่เคยทำไว้จะเข้าแทรก ถ้าตายตอนจิตตกทุคติเป็นที่ไปคือต้องไปเป็นเปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรฉานและถ้ากรรมชั่วมากก็ต้องไปใช้กรรมยังเมืองนรก


หลวง ปู่ท่านว่าจะให้ดีระหว่างเจ็บป่วยหรือโรคร้ายต่าง ๆ ให้กำแก้วมณีนพรัตน์ไว้และภาวนาให้มาก ๆ ถ้าแกภาวนาไปเรื่อยจิตก็จะเข้าถึงไตรสรณคมณ์ กรรมหนักก็จะเบา กรรรมเบาก็จะหาย ทำ มาก ๆ ผลของไตรสรณคมณ์ ที่เป็นบุญใหญ่นี้ก็อาจต่ออายุให้อยู่ได้ทำบุญไปอีกนาน ถ้าหมดอายุจิตที่เคยฝึกภาวนาไตรสรณคมณ์ก็จะมีแสงสว่างซึ่งเป็นบุญใหญ่ทำให้ จิตระลึกถึงกรรมดีที่ตนเคยสร้างไว้ ถ้าตายตอนนั้น ก็จะได้ไปจุติเป็นเทพ พรหม หรือเทวดา ตามแต่บุญของตนที่ได้ทำไว้ แก้วมณีนพรัตน์สามารถตัดกรรมได้ โดยการภาวนาไตรสรณคมณ์

กรรม ชั่วที่ผู้ใดได้กระทำไว้แล้ว มิอาจตัดกรรมหรือทำให้หายไปได้ แต่จะให้ผลเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่ที่เหตุปัจจัย กรรมชั่วเหมือนกับความมืด กรรมดีเป็นแสงสว่าง หลวงปู่ท่านว่า ถ้าใครทำจิตให้เป็นสมาธิและภาวนาไตรสรณคมณ์ ก็จะสว่างไปทั้งสามโลก การ ภาวนานี้เป็นบุญใหญ่ กรรมชั่วที่เคยทำไว้มิอาจเข้าแทรกได้ กรรมดีที่เคยทำไว้แต่ปางก่อน ก็จะมาส่งผล บวกกับบุญใหญ่ที่เกิดจากการภาวนาไตรสรณคมณ์ รวมกันก็จะเป็นมหากุศล ถ้าตายในช่วงนั้นก็จะได้ไปจุติ บนวิมานตามชั้นต่าง ๆ ได้เสวยความสุข เป็นเวลานานเรียกว่ากรรมชั่วเป็นหมัน ยังไม่มีโอกาสที่จะมาส่งผล คนส่วนมาก จึงคิดว่าเป็นการตัดกรรม แต่ที่จริงกรรมชั่วยังอยู่ รอโอกาสที่จะสนอง หลวงปู่ท่านว่า ใครจะใหญ่เกินกรรม แต่ที่ได้เสวยความสุขก่อนก็เพราะด้วยอำนาจของกรรมดี มีมากกว่ากรรมชั่ว ท่านบอกว่า ถ้าใครมาบอกจะทำพิธีตัดกรรมได้ อย่าไปเชื่อแกจะโดนเขาหลอก

พุทธคุณ ของแก้วมหาจักรพรรดิ์ครอบจักรวาลครับ แล้วแต่เจ้าของจะนำไปใจ สำเร็จได้ตามจิตหมาย ผู้ที่มีไว้ควรแล้วที่จะนำมาใช้ช่วยในการปฏิบัติ จะเห็นได้ว่าเราสามารถกำลูกแก้วมหาจักรพรรดิ์เพื่อทำสมาธิได้เหมือนพระผง กรรมฐาน คนที่มีของดีแบบนี้ จะเก็บไว้บนหิ้งได้อย่างไร...ใช่ไหมครับท่านเจ้าของลูกแก้ว



ฝอยการใช้ลูกแก้วมหาจักรพรรดิ ปรับภพภูมิ-แต่งเมือง

หลักการ

ตามปกติแล้วพระเครื่องที่สร้างด้วยผงจักรพรรดิ หรืออธิษฐานจิตด้วยเน้นในแนวบุญฤทธิ์(พุทธบารมี-โพธิสัตว์บารมี-คุณพระบารมี)
พระ เครื่องนั้นจะมีรังสี-ฉัพพรรณรังสีที่สว่างไสว แม้ในบางวาระสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อทีเดียว แสงสว่างนี้จึงเป็นเสมือนแหล่งดึงดูดความสนใจให้แก่ภพภูมิทั้งหลาย ด้วยเพราะในโลกทิพย์นั้น อย่างเทวดาในชั้นต่างๆ ท่านวัดกำลัง วัดศักดา วัดมหิทธานุภาพ กันด้วยแสงสว่างเป็นหลัก ด้วยเพราะรูปสมบัติ และทรัพย์สมบัตินั้นสมบูรณ์พร้อมกันแล้ว แสงสว่างนี้นอกจากเป็นแหล่งดึงดูดความสนใจแล้ว ยังเป็นเสมือนแหล่งบุญ หรืออาหารบุญที่เหล่าภพภูมิต้องการพึ่งพระบารมี (เช่นเดียวกับผู้ที่รักษาศีล ปฏิบัติธรรมนั้น ย่อมมีความผ่องใส มีความสว่างในตัว เทวดาท่านมักจะให้การปกปักษ์รักษาดูแล และมาร่วมโมทนาบุญด้วยเสมอ)


บทขอขมาพระรัตนตรัย

สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
ขอพระองค์ได้อดโทษทั้งปวง แก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด
อุกาสะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง
ข้าพระพุทธเจ้า ขอวโรกาส ที่ได้พลั้งพลาดด้วยกาย วาจา ใจ
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
ขอพระองค์ได้อดโทษทั้งปวง แก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด
อุกาสะ ขะมามิ ภันเต
ข้าพระพุทธเจ้า ขอวโรกาส ขอขมาโทษทั้งปวง ต่อคุณพระพุทธเจ้าด้วยเถิด

"หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้ง ล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธ เจ้าทุกๆ พระ
องค์ พระธรรม และ พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยทางกาย หรือวาจาก็ดี และด้วยเจตนา หรือไม่เจตนาก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดอดโทษ ให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน ด้วยเทอญ ..."
ตัวอย่างคำอธิษฐานและวิธีการอธิษฐานจิต

๑. กำลูกแก้วในมือ จิตใจตั้งมั่นผ่องใส โน้มใจสื่อถึงพระตามถนัด จากนั้นกล่าวคำ อธิษฐานว่า
"ลูกขออาราธนาพระบารมีแห่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดทั้งมวลตั้งแต่องค์ปฐมบรมมหาจักรพรรดิ จนถึงองค์ปัจจุบัน บรม
มหา จักรพรรดิทุกๆพระองค์ พระบารมีรวมพระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทุกชั้นภูมิ ตั้งแต่อดีต-ปัจจุบัน-และอนาคต โดยมีบารมีรวมของหลวงปู่ทวด-หลวงปู่ดู่-หลวงตาม้าท่านอันเป็นที่สุดขอหลวง ปู่ได้โปรดมีพระเมตตา ให้ดวงแก้วพระจักรพรรดินี้ เป็นดวงแก้วมหาจักรพรรดิปรับภพภูมิ-แต่งเมือง ขอพระฉัพพรรณรังสีแห่งพระรัตนตรัยทั้งหมดทั้งมวลจงแผ่จากดวงแก้วมณีนี้ไปใน พื้นที่ ที่เป็นอนันต์ เพื่อยังการปรับภพภูมิ ครอบวิมานแก้ว ให้แก่เหล่าดวงจิต ดวงวิญญานทั้งหลาย ตลอดจนถึงการปรับสภาวะธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ ฤดูกาล สรรพสัตว์ พืชพรรณธัญญาหาร ทั้งหมดทั้งมวล ให้สมดุลบริบูรณ์พร้อม ให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์เจริญงอกงามปราศจากสิ่งรบกวน ให้บ้านเมืองมีแต่ความร่มเย็น เป็นพื้นฐานอาวาสเป็นที่สบาย เพื่อเอื้อต่อการปฏิบัติธรรม เอื้อต่อการก้าวย่างสู่สัมมาทิฐิแห่งภพภูมิทั้งหลายโดยขอให้ทรงไว้ตลอดทุก ขณะเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน ต่อเนื่องสืบไป ขอให้กระแสแห่งดวงแก้วนี้กับดวงจิตทุกดวงทั่วทั้งแสนโกฐจักรวาลอนันตจักรวาล จงเชื่อมประสานกัน เมื่อดวงจิตใดภพภูมิใด กล่าวสัพเพอัญเชิญพระเข้าตัว ขอกระแสพระบารมีจงเชื่อมมายังดวงแก้วจักรพรรดิเหล่านี้ เพื่อเพิ่มกำลัง โดยแม้ผู้นั้นจะรู้ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม เจตนาก็ตาม มิเจตนาก็ตาม "

๒. ให้โน้มใจศรัทธาตั้งมั่น ผ่องใสเบิกบาน กล่าวคาถามหาจักรพรรดิจำนวนกี่รอบก็ได้ ตามความพอใจ หรือจนกว่าจิตจะเป็นสมาธิ มีอารมณ์ผ่องใสเบิกบาน ทรงภาพพระได้ชัดเจน

" นะโมพุทธายะ พระพุทธะไตรรัตนะญาณ
มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะสุธรรมา
พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา
อัคคีทานังวะรังคันธัง สีวลีจะมหาเถรัง อะหังวันทามิทูระโต
อะหังวันทามิธาตุโย อะหังวันทามิสัพพะโส
พุทธะธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ "

๓. จากนั้นจึงกล่าว คำอัญเชิญพระเข้าตัว เพื่ออธิษฐานจิตฝากและเชื่อมกระแสว่า

สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา
พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพลัง อรหันตานัญ จะ เตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส

(ใน ระหว่างนี้ให้วางจิตเบา ๆ โน้มนำบารมีพระเข้าตัว และรวมกำลังมาอยู่ที่ดวงแก้วมหาจักรพรรดินี้ จากนั้นให้ปิดด้วยบทคาถาอธิษฐานจิตว่า)
พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ
๔. หลังจากนั้นให้กล่าวอธิษฐานต่อภพภูมิ ฝากให้ภพภูมิดูแลดวงแก้วนี้ ขออย่าได้ตกอยู่ในสถานที่หรือผู้ที่ไม่เหมาะสม เพื่อป้องกันการปรามาสโดยไม่ตั้งใจของผู้ไม่รู้ ด้วยเพราะรูปลักษณ์ภายนอกที่มองดูเหมือนลูกแก้วที่ใส่ตามตู้ปลา หรือที่ใช้ดีดเล่นมาก เด็กอาจจะนำไปดีดเล่น หรือคนไม่รู้อาจจะไปเหยียบย่ำไม่รู้คุณค่าได้โดยกล่าวว่า

" ขอเทพไท้เทวดาทั้งหลาย ภพภูมิทั้งหลายทั้งหมดทั้งมวล อนันตจิตอนันตธาตุทั้งหมดทั้งมวลที่เกี่ยวของกับธาตุ-อณูธาตุของดวง
แก้วนี้ ไม่ว่าจะเป็นแสนโกฐอสงไขย หรืออนันตอสังไขยใดก็ตาม ขอจงมาร่วมอนุโมทนาบุญ มาช่วยกันปกปักษ์รักษาดูแล และร่วม
เพิ่มกำลังแก่ดวงแก้วนี้ ขออย่าได้ตกอยู่ในสถานที่ หรือบุคคคลที่ไม่เหมาะสม เพื่อมิให้เกิดการปรมาสในพระรัตนตรัยโดยมิเจตนา
แก่หมู่เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ตั้งแต่บัดเดี๋ยวนี้จนถึงอนาคตกาลอันสมควรโน้นด้วยเทอญ"

จากนั้นจึงกล่าวสัพเพอัญเชิญพระเข้าตัวอีกครั้ง

๕. การปฏิบัติหลังจากอธิษฐานประดิษฐานดวงแก้วจักรพรรดิแล้ว : ให้หมั่นสัพเพกระแสพลังงานไปยังดวงแก้วทั้งหลาย โดยอธิษฐาน
เชื่อม กระแสดวงแก้วทุกดวงเป็นดั่งเครือข่ายเชื่อมต่อถึงกัน นิมิตเป็นสายฉัพพรรณรังสี โยงใยถึงกัน และให้เกิดความสว่างไสวครอบคลุมทั่วทั้งประเทศไทย หรือทั่วโลกอย่างสม่ำเสมอ (รูป-ธาตุได้วางไว้แล้ว ให้หมั่นอธิษฐานนามคือพลังงานบุญ ประจุเพิ่มพลังงานอยู่สม่ำเสมอ) โดยเฉพาะเมื่อเวลาสวดมนต์ใหญ่ 20.30 น.ของทุกวัน

การเลือกสถานที่จะทำการปรับภพภูมิแต่งเมือง

1. เป็นสถานที่ยากแก่การเข้าถึง เป็นสถานที่ห่างไกล เช่นตามเทือกเขา ท้องทะเลลึก
2. เป็นสถานที่พลุกพล่านไปด้วยคน ด้วยวิญญาณต่างๆ
3. เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสถานที่สำคัญต่างๆ
4. บรรจุในองค์พระ หรือบรรจุในกรุ ในเจดีย์
5. ประดิษฐานไว้ที่รถ

ย่อความจาก
http://board.watthummuangna.com/showthread.php?t=4488

ของขวัญปีใหม่2553 แจกพระผงจักรพรรดิ์ และลูกแก้วจักรพรรดิ์ ถึง 10/1/53


ปิดแล้วจ้า 10/1/53
เวลา 12.35

ไม่ต้องส่งมาขอรับ
เพราะท่านจะไม่ได้รับการจัดส่งใดๆทั้งสื้น

ต้อนรับปีใหม่ 2553

ขอส่งมอบสิ่งมงคลอันล้ำค่า ให้กับท่านผู้มีบุญทั้งหลาย


สิ่งนั้นคือ...
พระสมเด็จองค์ปฐมและลูกแก้วจักรพรรดิ์

ซึ่งจะช่วยนำมหาโชค มหาลาภ เสริมดวง ตัดกรรม และนำพาสิ่งดี ๆ มาสู่ชีวิตท่านตลอดไป

แจกฟรี เป็นธรรมทาน แก่ทุกท่าน


สร้างจาก
1.ผงหินพระธาตุ จากเขาสามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์
2.แป้งเสก พิธีเป่ายันต์เกราะเพชร วัดท่าขนุน
3.ผงพระปิดตา หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
4.ทรายทองคำ โภคทรัพย์ แม่น้ำโขง
5.ว่านสาวหลง
6.ข้าวสารพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร วัดท่าขนุน
7.พระธาตุพระปัจเจกพุทธเจ้า
8.ตะกรุดจักรพรรดิ์
9.ผงจักรพรรดิ์ สูตรหลวงปู่ดู่ วัดสะแก
และสิ่งมงคล อื่นๆอีกมากมาย
ประวัติสมเด็จองค์ปฐม และอานุภาพ หินพระธาตุเขาสามร้อยยอด (ดูได้ จาก GOOGLE )

วิธีนำพระไปบูชา ใช้ทำสมาธิ (กำพระไว้ในมือ) คุ้มครอง ป้องกันภัย ทำน้ำมนต์ ป้องกันคุณไสย และวิญญาณ ใช้ได้ทุกทาง ตามแต่จะอธิษฐาน ทั้งทางโลกและทางธรรม

บทสวดมนต์ คาถามหาจักรพรรดิ์
(นะโม 3 จบ )

นะโมพุทธายะ พระพุทธไตรรัตนะญาณ
มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะสุธรรมา
พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ
พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา
อัคคีธานัง วะรัง คันทัง
สีวลีจะมหาเถรัง อะหังวันทามิ ทูระโต
อะหังวันทามิ ธาตุโย อะหังวันทามิ สัพพะโส
พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ
( 3 หรือ 5 จบ )

เสร็จแล้ว ให้อัญเชิญคุณพระเข้ามาสู่ตัวเรา
สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา
พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยัง พลัง
อรหันตานัญ จะ เตเชนะรักขังพันธามิ สัพพะโส
พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ
( 3 หรือ 5 จบ )


แก้วมณีนพรัตน์ ( แก้วจักรพรรดิ์ ) สามารถตัดกรรมได้
โดยการภาวนาไตรสรณคมณ์
วิธีใช้แก้วจักรพรรดิ์





ประวัติการแจกพระ
( ปิดการแจก ทุกรายการแล้ว )

ด่วน แจกพระปทุมเจ็ดสระ 50 องค์ (ปิดแล้ว)
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=74217

ด่วน แจกฟรี พระกำลังจักรพรรดิ์ 300 องค์ (ปิดแล้ว)
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=81544

ด่วน แจกฟรี ลป.ทวด เปิดโลกเปิดบารมี 100 องค์(1) (ปิดแล้ว)
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=78573

แจกฟรี ลป.ทวด เปิดโลกเปิดบารมี 100 องค์ (2) (ปิดแล้ว)
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=83479

แจกฟรี 300 ชุด ข้าวสารเกราะเพชร (ปิดแล้ว)
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=80357

แจกธาตุกายสิทธิ์ 500 ชุด ให้ทหาร 3 จว.ชายแดนภาคใต้ (ปิดแล้ว)
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=80403

แจกฟรี ธาตุกายสิทธิ์ 500 ชุด ให้ครูที่อยู่ 3 จว.ชายแดนภาคใต้ (ปิดแล้ว)
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=82004

แจกฟรี น้ำมันชาตรี ลพ.ฤาษี วัดท่าซุง จำนวน 50 ขวด (ปิดแล้ว)
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=93295

แจกฟรี เทียนเสริมมงคลชีวิต 50 ชุด (ปิดแล้ว)
http://watthummuangna.com/board/showthread.php?t=1716

ด่วน แจกฟรีน้ำมันชาตรี ลพ.วัดท่าชุง 55 ขวด (ปิดแล้ว)
http://www.watthummuangna.com/board/...ead.php?t=2279

ฟรี ยาใจคลายทุกข์ (ปิดแล้ว)
http://board.palungjit.com/showthread.php?t=106051

ฟรี แจกพระธาตุ 100 ชุด ช้าอด (ปิดแล้ว)
http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=2789

แจกฟรีพระธาตุ 50 ชุด ช้าอด (ปิดแล้ว )
http://www.watthummuangna.com/board/...ead.php?t=3721

โครงการทีมงานเครือข่ายแก้วจักรพรรดิ์ครั้งที่ 1 ปิดแล้ว
http://www.watthummuangna.com/board/...ead.php?t=4524

รับสมัครทีมงานแก้วจักรพรรดิ์รุ่น 2 ปิดแล้ว
http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=5309

แจกพระบรมธาตุแก่ผู้ร่วมบุญปัจจัยสร้างพระผงจักรพรรดิ์ ปิดแล้ว
http://www.watthummuangna.com/board/...ead.php?t=5708

แจก...หลวงปู่ดู่ ขนาด 2 นิ้ว ปิดแล้ว
http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=6160

รับสมัคร ผู้ร่วมบุญแจกพระ สมเด็จองค์ปฐม ปิดแล้ว
http://board.palungjit.com//showthread.php?t=144080

แจก พระหลวงปู่ดู่ ขนาด 2 นิ้ว ต้อนรับปีใหม่ ปิดแล้วเด้อ
http://www.watthummuangna.com/board/...ead.php?t=8093

รับสมัครทีมงานแก้วจักรพรรดิ์รุ่น 3 ปิดแล้ว
http://www.watthummuangna.com/board/...ead.php?t=7381

รับทีมงานแก้วจักรพรรดิ์ รุ่น 4 ภูเขาบุญ ปิดแล้ว
http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=8617

รับทีมงาน แก้วจักรพรรดิ์ รุ่น 5 ปิดแล้ว
http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=9574

แจกฟรี พระสมเด็จองค์ปฐม ถึง 10 /9/52 ปิดแล้วจ้า
http://powerprotectionss.blogspot.com/2009/08/blog-post.html

แจก พระธาตุพระปัจเจกพุืทธเจ้าหรือพระธาตุพระสิวลี ปิดการแ่จกวันที่ 12 ต.ค. 52
http://powerprotectionss.blogspot.com/2009/09/blog-post_27.html

แจก หลวงปู่ทวด แก้วจักรพรรดิเสริมดวง ถึงวันที่ 13/11/52 ปิดแล้ว
http://powerprotectionss.blogspot.com/2009/10/blog-post.html

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

หลวงปู่ดู่ท่านเทศน์สอนคณะศิษย์วัดท่าซุงที่ได้มโนมยิทธิ

หลวงปู่ดู่เทศน์สอนคณะศิษย์วัดท่าซุงผู้ได้มโนมยิทธิ
หลวงปู่ดู่ท่านเทศน์สอนคณะศิษย์วัดท่าซุงที่ได้มโนมยิทธิ
ซึ่งได้เดินทางไปกราบหลวงปู่ดู่ ตามคำสั่งหลวงพ่อฤาษีฯ


หลวงปู่.....เอ้า คณะนี้มาจากไหน (แล้วหลวงปู่ท่านก็เงียบ)...อ๋อเด็กฝาก

คณะมโนมยิทธิ...
หลวงพ่อ(ฤาษี) ท่านให้มากราบเจ้าค่ะหลวงปู่รู้จักไหมเจ้าคะ

หลวงปู่ดู่...รู้จัก

คณะมโนมิยทธิ....
หลวงปู่เจ้าคะดิฉันฝึกมโนขึ้นไปกราบพระข้างบนดีไหมเจ้าคะ?

หลวงปู่ดู่.....การไปกราบพระ พบพระนั้นเป็นของดี
ให้หมั่นรักษาองค์พระ(ภาพพระ)เข้าไว้ พระท่านจะสอน
ท่านจะบอกวิธีการปฏิบัติ เราก็นำมาประพฤติปฏิบัติตามด้วยความตั้งใจ
เคร่งครัด แต่ถ้าพบพระแล้ว ท่านสอนแล้วไ ม่นำมาประพฤติปฏิบัติ
หรือปฏิบัติจนพบพระแล้วไม่สามารถทำให้อารมณ์ชั่วทั้ง ๓ คือ
โลภ โกรธ หลง มันเบาบางหลง อย่างนี้ยังใช้ไม่ได้ ถือว่าปฏิบัติผิดทาง
คนที่มัวแต่เอาสิ่งที่ตนเองได้ (ญาณ) ไปดูนั้นดูนี่ ทำนายทายทัก
ไม่นานอุปทานก็เข้าแทนที่ ทีนี้แทนที่มันจะไปสุคติภูมิ
มันก็ไปอบายภูมิแทน เหตุจากการแอบอ้าง คำสอนของพระ
เพราะอารมณ์อุปาทานนั้นเอง จงระวังไว้ ท่านมหาวีระ
ท่านมีบารมีสูง มีข้างบนเป็นกำลังหนุน เป็นอาจารย์ใหญ่สอน
คนได้จำนวนมาก ข้าขอโมทนา พวกแกเกิดมาพบพระอรหันต์
ที่มีบารมีสูง อย่าให้เสียทีที่ได้พบ เอาสิ่งที่ตนปฏิบัติบัติได้(ญาณ)
มาอบรมตนเอง อย่าเที่ยวไปทำนายทายทักชาวบ้าน
ข้ออันนั้นเห็นจะไม่ใช่จุดประสงค์ แม้ลูกศิษย์ อยู่ใกล้ข้าแท้ๆ
ยังเฝือได้ แล้วถ้าพวกแกยังประมาท ระวังนรกจะกินหัวเอา....

คณะมโนมยิทธิ...เราจะรู้ได้ยังไงเจ้าคะว่าเวลาเราขึ้นไปกราบนั้น เราเห็นจริงๆ

หลวงปู่....แกลองใช้อารมณ์นั้น(ญาณ) ตรวจสิ่งที่มองไม่เห็นแต่สิ่งนั้นยังมีอยู่สิ เช่น แกลองตรวจดูว่าในกระเป๋าของเพื่อน
ที่มาด้วยกันมีเงินอยู่เท่าไหร่ ถ้าแกตอบถูก อารมณ์ที่แกขึ้นไปกราบพระ แกก็เห็นจริง แต่ถ้าแกตอบไม่ถูก พระที่แกเห็นก็ไม่จริง...


คณะมโนมยิทธิ....
เราถามเทวดาเลยได้ไหมเจ้าค่ะ

หลวงปู่....เอ้า เงินในกระเป๋านี้มันเป็นของหยาบแกยังมองไม่เห็นเลย นับประสาอะไรกับเทวดา แกจะไปมองเห็นล่ะ กายเทวดาละเอียดกว่ากันเยอะ


คณะมโนมยิทธิ...
ต้องตรวจอารมณ์เช่นนี้ก่อนใช่ไหมค่ะ

หลวงปู่ดู่...ใช่ ข้าก็ให้ลูกศิษย์ตรวจอารมณ์อย่างนี้ก่อนแล้วค่อยขึ้นไปกราบพระ ถ้าตรวจแล้วไม่ตรงก็ต้องหัดวางอารมณ์ใหม่
ไม่นานก็ตรง คราวต่อไป ไม่ต้องกำหนด เขาจะรู้เลยว่า อะไรซ่อนอยู่ตรงไหน .....(หลวงปู่เงียบสักพัก) (แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า)
พระมหาวีระยังสอนให้แกหัดทำเวลาตอนเช้ามืด ให้ลองตรวจว่า เช้าวันนี้จะมีใครมาหาไหม เขาจะมาทำอะไรใส่เสื้อสีอะไร ใช่ไหมล่ะ

คณะมโนมยิทธิ....หลวงปู่รู้ได้ยังไงเจ้าคะ

หลวงปู่ดู่...ก็พระมหาวีระบอกข้า อยู่ข้างๆนี่แหละ บอกว่า..
พวกแกมันลิงทะโมน ต้องจับไปมัด เฆี่ยนแล้วสอน
(เสียงหลวงปู่หัวเราะ แล้วพูดว่า)ต่อไปให้รีบตั้งใจปฏิบัติ
อย่าสนใจคนอื่น สนใจจิตตัวเองให้มากๆ รักษาจิตตนเองให้ดี
รักษาองค์พระ(ภาพพระ)ไว้อย่าให้หาย ชำระใจให้
ปราศจากความโลภ โกรธ หลง มันก็ถึงเองแหละนิพพาน
ไม่ใช่ปากก็บอกจะไปนิพพาน แต่ไม่ชำระโลภ โกรธ
หลงให้ขาดไป อธิษฐานยังไงมันก็ไม่ถึงนะแก
นิพพานเข้าไม่ได้ด้วยการอธิษฐาน แต่ต้องอาศัยการปฏิบัติ
ซึ่งจุดสำคัญคือการละอารมณ์ โลภ โกรธ หลง

ละได้เมื่อไหร่ถึงทันที ละไม่ได้มันจะถึงแค่หัวตะพาน....

คณะมโนมยิทธิ...
สาธุเจ้าค่ะ หลวงปู่

หลวงปู่ดู่ ...(ให้พร)......

พระผงหลวงปู่ดู่ที่ขึ้นพระธรรมธาตุ

ดูรายละเอียด
« เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2009, 10:20:12 PM »


พระผงหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา
โดย...รณธรรม ธาราพันธุ์

ชื่อว่า “ศิษย์” ย่อมต้องมี “ครู” ด้วยกันทั้งนั้น บ้างก็ครูดัง ศิษย์ดับ บ้างก็ครูดังศิษย์ดัง อย่างเช่น พระเดชพระคุณพระราชวุฒาจารย์ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ผู้เป็นครูดี และหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ผู้เป็นศิษย์ดัง

ก็ ใช่ว่าจะมีเพียงสำนักวัดป่าเท่านั้น ที่ถึงพร้อมด้วยพระสุปฏิบัติเช่นนี้ จังหวัดภาคกลางของเราก็ยังมีผู้สืบเชื้อสายของความดีอยู่มากเอ่ยชื่อ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม ใคร ๆ ก็รู้จัก แต่มีผู้ศรัทธาคิดจะหาเหรียญของท่านละก็ต้องคิดหนัก เพราะของปลอมมีมากกว่าของจริงเสียอีก อย่าเพิ่งน้อยใจในวาสนาเลยครับ ด้วยพระเครื่องที่ดีมีพุทธคุณสูงยังพอหาได้อยู่ แม้จะเป็นชั้นศิษย์ แต่ผมเชื่อว่าไม่น้อยหน้าครูแน่นอน

ท่านผู้นี้คือ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ แห่งวัดสะแก เมืองกรุงเก่านั่นเอง ท่านเป็นศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาหลาย ๆ อย่างจากหลวงพ่อกลั่น ผู้เป็นอุปัชฌาย์ แต่น่าประหลาดอยู่อย่างว่าหลวงพ่อกลั่น กลับไม่ยอมสอนการเจริญภาวนาให้ตรง ๆ คงบอกเพียงว่าให้ท่านภาวนา พุทโธ ไป เรื่อย ๆ เบื้องแรกก็ไม่มีใครเข้าใจว่าเพราะอะไร ครั้นมาภายหลังจึงทราบว่า หลวงปู่ดู่ ได้ค้นพบองค์ภาวนาด้วยจิตใจของท่านเอง โดยท่านใช้ “ไตรสรณาคมน์” เป็นคำบริกรรม นี้จะแสดงถึง “อนาคตังสญาณ” โดยหลวงพ่อกลั่นใช่หรือไม่ คงต้องขอให้ท่านพิจารณาเอง



หลวง ปู่ดู่ได้เริ่มสร้างพระ รวมถึงวัตถุมงคลในแบบต่าง ๆ มานานมากพอจะสืบได้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2484 เรื่อยมา พระเครื่องและวัตถุมงคลของท่านจึงมีมากมายหลายหลาก เมื่อศิษย์เรียนถามท่านว่า ทำไมท่านสร้างพระเยอะมาก ท่านตอบว่า “จิตใจเราจะได้อยู่กับพระ ดีกว่าสวดมนต์ทิ้งไปเปล่าๆ” ซึ่งเรื่องผูกใจให้อยู่กับพระนั้นท่านจะเน้นมาก ถึงขนาดเปิดไฟฟ้าใช้ ท่านก็ให้ภาวนาว่า “โอม อัคคีไฟ พุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา” ท่านย้ำ “แค่นี้ก็ได้บุญแล้ว”

ฟังแล้วทึ่งซะไม่มี

ผม จะไม่พูดถึงพระทั่ว ๆ ไปของท่านหรอกครับ เพราะไม่ใช่ของแปลก แต่ที่แปลกก็คือ พระผงที่ท่านพิมพ์เอง สร้างเองกับมือท่าน ซึ่งในวงการอาจไม่ใคร่นิยมนัก เพราะเป็นพระเนื้อปูนผสมผงเสียส่วนใหญ่ ศัพท์เซียนเขาว่า “ส่องแล้วไม่ซึ้ง” ว่างั้นเถอะ แต่พูดถึงประสบการณ์ละก็ คนที่เจอ “ซึ้ง” มานักต่อนักแล้ว

พระ ปูนของท่านที่ธรรมดาก็ธรรมดา ส่วนที่ไม่ธรรมดาจะปรากฏผลึกสีขาวขุ่นบ้าง สีขาวใสบ้าง จับเกาะอยู่ตามองค์พระทั่วไปโดยไม่เลือกพิมพ์ สานุศิษย์ที่ได้รับต่างก็แปลกใจกันถ้วนทั่ว เอ! อะไรหว่า ? ลุงผมซึ่งเคยบวชอยู่กับท่านยังเคยนึกค่อนอยู่ในใจ “เออ! หลวงลุงดู่เอากากเพชรมาโรยพระทำไม ยังกับยี่เก” หลายคนที่เคยถามได้รับคำตอบเดียวกันจากท่านว่าเป็น “พระธรรมธาตุ” คือพระธาตุหรือ? ท่านตอบ “ไม่ใช่” แต่ท่านก็มิได้อธิบายอะไร ๆ ให้ฟัง


พระผงรูปเหมือนหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เนื้อปูน เกิด "พระธรรมธาตุ"
ด้านหน้า / ด้านข้าง


พระผงรูปเหมือนหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เนื้อปูน
ด้านหลัง



ร้อน ถึงศิษย์ผู้มีภูมิรู้หลายท่านได้อรรถาอธิบายว่า “พระผงของท่านนั้นมิได้มีแต่ผงต่าง ๆ หากท่านยังผสมด้วยเส้นเกศาของท่านไว้เป็นจำนวนมากในทุก ๆ ครั้งที่มีการสร้างพระ เพราะเส้นเกศานั้นเองที่มีพลังงานบริสุทธิ์จากองค์ท่านเป็นอย่างสูงประจุ อยู่ในพลังงานนั้นก็ยังมี “เตโชธาตุ” (ธาตุไฟ) รวมอยู่ด้วยครั้นผสมกันไปได้ระยะเวลาหนึ่ง “ซิลิกอน” ซึ่งมีอยู่ในปูนก็ได้ถูกพลังงานความร้อน (ที่มีสภาวะเป็นทิพย์) ในเส้นเกศาของท่านเหนี่ยวนำให้ “ซิลิกอน” เกิดการควบแน่นและตกผลึกขึ้น จากนั้นก็จะค่อย ๆ ผุดขึ้นจากองค์พระมาเป็น “พระธรรมธาตุ” ดังที่เราเห็นกันอยู่ และนี่คือที่มา”

ผม ฟังศิษย์ท่านนั้นแล้วก็ได้แต่พยักหน้าหงึกหงักเพราะเป็นเหตุเป็นผลที่ดี และน่าเชื่อถือได้มาก ก็เอาเป็นว่าใครที่ยังหาข้อยุติไม่ได้จงอย่าไปหาเลยปวดหัวเปล่า แต่ที่แน่ ๆ พระที่มีพระธรรมธาตุเป็นที่ต้องการอย่างสูงของบรรดาศิษย์ทั้งหลายทั้งปวง

ความ แปลกของพระเครื่องหลวงปู่ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น องค์ที่ไม่มีพระธรรมธาตุจะทำให้เกิดมีขึ้นก็ได้ องค์ที่มีอยู่แล้วกลับหายไปหมดก็เคยปรากฏ อยากให้มีก็สวดมนต์ไหว้พระและภาวนามาก ๆ ก็จะ “ผุด” ขึ้นมาเป็นกำลังใจสำหรับคนทำจริง แต่มากน้อยเท่าไรนั้นผมขอโยนกลองให้เป็นเรื่องของ “บารมี” ก็แล้วกัน ส่วนที่จะทำให้หายก็ไม่ยาก นำพระเข้าอาบ อบ นวด ไนต์คลับบ่อย ๆ ก็จะเหลือแต่พระเปล่า ๆ ไปเอง ถึงขนาดนี้แล้วเรียกว่า "แปลก" ได้ไหมครับ

สำหรับ พระผงของหลวงปู่นั้น องค์ใดที่ไม่มีตรายางเป็นรูปตัว “พ” อยู่ในกงจักรละก็ หมายถึง พระนั้นเจ้าของได้รับจากท่านตั้งแต่สมัยท่านยังทรงสังขารอยู่ แต่ ถ้าองค์ใดถูกประทับอยู่ด้วยตรายางหมึกสีดำ หรือหมึกสีน้ำเงินละก็นั้นคือพระที่นำออกจากกุฏิของท่านภายหลังจากที่ ท่านมรณภาพแล้ว แต่ก็เป็นพระที่ท่านได้อธิษฐานจิตไว้โดยองค์ท่านเอง

ทว่า ของปลอมผู้ไม่เคยยอมพ่ายแพ้ของจริง ก็พากันโผล่ผุดประดุจผีลุกจากหลุมมาหลอนหลอกเอากับผู้ที่ไม่ประสีประสาในพระ ท่านกันอย่างบันเทิงกระบะ จึงจำเป็นต้องชี้แจงพอเป็นแนวทางสำหรับผู้ไม่รู้ไว้ก่อน พอให้เอาตัวรอดบ้าง ส่วนผู้ที่จะแจ้งในเชิงพระของหลวงปู่ ผมต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย หากจะมีข้อผิดพลาดไป

ด้วยเหตุที่พระของหลวงปู่มีส่วน ผสมเป็นปูนเสียมากนักปลอมแปลงจึงทำกันได้ อย่างง่ายดายไม่ยุ่งยาก เพียงทำบล็อกแล้วเทปูนใส่ก็จบเรื่อง แต่ถ้าพิจารณาให้ดีจะพบว่าพิมพ์ทรงของปลอมนั้นจะเบลอ ๆ ไม่คมชัด ยิ่งเป็นพิมพ์พระพรหมแล้วไม่ว่าจะเป็น หน้าตา, แขน, ขา,คันศร หรือตัวอักขระ “นะปิดล้อม” ที่อยู่รอบ ๆ องค์พรหมล้วนเบลอจนแยกแยะได้ไม่ยากเย็น สำหรับมือปลอมชั้นนำที่ได้มีการทำบล็อกขึ้นใหม่แม้จะคมชัดดุจโทรทัศน์สี แต่ก็จะเห็นได้ว่าทั้งแขนและขาของพระพรหมปลอมดูอวบอ้วนกว่าของจริงมาก ในขณะที่ของจริงจะเรียวงามสมส่วน

ทางด้านเนื้อพระผงของจริงนั้นส่วน มากจะดูฟู ๆ คล้ายพระของหลวงปู่โต๊ะอยู่ไม่น้อยอันเนื่องมาจากท่านได้นำพระไปแช่น้ำมนต์ หรือแช่น้ำชาเสกนั่นเอง ถ้าท่านส่องดูด้วยกล้องส่องพระก็ยิ่งจะเห็นความงามซึ้งข้อนี้ได้ชัดเจน และยังจะพบมวลสารต่าง ๆ เป็นจุดดำและเกล็ดสีทองกระจายอยู่ทั่วองค์พระ(เว้นแต่ด้านหลัง บางองค์ก็ปรากฏมีสีเขียวอมเหลืองประปรายไปทั่วด้านหน้าด้านหลัง หลายคนที่ได้ร้องกรี๊ดกร๊าดหาว่า “พระขึ้นรา”

โธ่! เวรกรรมท่านผสมผงตะไบพระกริ่งลงไปต่างหาก สนิมจากผงตะไบก็เลยเป็นเหตุให้พระมีวรรณะดังนั้น ที่ นี้เนื้อพระของปลอมไม่เป็นเนื้ออย่างนี้ละสิ แต่เนื้อจะดูด้าน ๆ แข็ง ๆ ยิ่งถ้าส่องกล้องก็จะเห็นชัดว่า ในเนื้อพระไม่มีมวลสารมงคลแทรกซึมอยู่เลย คงมีเพียงปูนขาวล้วน ๆ ชนิดไร้ยางอาย พระประเภทนี้ดูง่ายนัก ทว่ามือโปรก็มีอีกแหละ ใส่ผงมหาชุ่ยอะไรก็ไม่รู้ลงไปตอนผสมพระก็พอกล้อมแกล้มหลอกคนรีบร้อนเช่าไป ได้บ้างหรอก แต่สำหรับคนขี้ระแวง(อาจเพราะเงินหายาก)จะส่องแล้วส่องอีกจนเอะใจแล้วก็ “ปล่อยวาง” บางคนก็ร้ายหนักถึงกับผสมกากเพชรลงไปด้วยเพื่อให้ดูคล้าย
“พระธรรมธาตุ” อันจะทำให้มีราคาสูง

ทั้ง นี้ทั้งนั้น ไม่ว่านักปลอมจะปลอมอย่างไร ก็ขอเรียนให้ท่านผู้ศรัทธาทราบไว้เลยว่า ไม่เหมือน ทำอย่างไรก็ไม่เหมือน ถ้าท่านมีของแท้อยู่ในมือสักองค์หรือเคยพิจารณาของแท้อย่างถี่ถ้วนมาก่อนละ ก็ ท่านจะดูพระหลวงปู่ได้อย่างไม่ยากเย็นเลย โดยเฉพาะองค์ที่ขึ้นพระธรรมธาตุนั้น ไม่มีใครสามารถจะทำให้เหมือนหรือทำให้เกิดขึ้นได้ เพราะเป็นบารมีเฉพาะองค์หลวงปู่ท่าน ดังนั้นพระที่ขึ้นพระธรรมธาตุไม่ว่าจะพิมพ์ทรงใดก็ตามย่อมเป็นของแท้แน่นอน

ถึง ตรงนี้คงพอจะทราบแล้วใช่ไหมครับว่าทำไมองค์ที่มีพระธรรมธาตุจึงมีค่าสูง กว่าองค์ที่ไม่มี ก็นอกจากจะแสดงถึงบารมีอันเปี่ยมล้นในองค์พระแล้ว ยัง เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าแท้ให้ผู้รู้สบายใจ แต่ก็หายากอยู่สักหน่อยนะครับ วันนี้ก็ดูรูปเป็นครูไปก่อนแล้วกัน ใครที่เริ่มเสาะหาผมขออวยพรให้โชคดี พบกันฉบับหน้าครับ

บทความนี้ได้ตีพิมพ์เมื่อ วันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2539

ที่มา - กระดานสนทนา NAVARAHT "นวรัตน์ดอทคอม" • แสดงกระทู้ - พระผงหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก

การอธิษฐานฝากดวงไว้กับหลวงปู่ดู่.....


"... ให้นึกถึงหลวง ปู่(ดู่) แล้วอธิษฐานบอกท่านว่า ขอยกให้หลวงปู่เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้หลวงปู่ช่วยดูแลทั้งทางโลกและทางธรรม และขอฝากดวงฝากชีวิตนี้ไว้กับหลวงปู่ นับตั้งแต่บัดนี้ ไปจนกว่าข้าพเจ้าจะเข้าสู่พระนิพพาน..."

"ถ้าทำอย่างนี้ ต่อไปเรื่องซวยๆจะไม่ค่อยมีในชีวิต เพราะเราฝากดวงไว้กับหลวงปู่แล้ว"

*************************************

ณ ตอนนั้น ผมได้เดินทางไปที่วัดพุทธพรหมปัญโญเป็นครั้งแรกของชีวิต เห็นหลวงตาม้าท่านนั่งอยู่ในถ้ำใหญ่และกำลังสนทนาธรรมกับศิษย์ผู้สูงอายุ ท่านหนึ่ง ผมนั่งอยู่เกือบจะหลังสุดและไม่สามารถมองเห็นหน้าของศิษย์ผู้สูงอายุท่าน นั้นได้ แต่ก็ยังได้ยินทุกถ้อยทุกคำของบทสนทนาอย่างชัดเจน


แต่ ว่า...นับตั้งแต่เกิดมา การฟังครั้งนี้ถือว่าเป็นการฟังที่มีประโยชน์มากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเลย ก็ว่าได้ หลวงตาม้าท่านพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำได้ใจความว่า

"... ให้นึกถึงหลวง ปู่(ดู่) แล้วอธิษฐานบอกท่านว่า ขอยกให้หลวงปู่เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้หลวงปู่ช่วยดูแลทั้งทางโลกและทางธรรม และขอฝากดวงฝากชีวิตนี้ไว้กับหลวงปู่ นับตั้งแต่บัดนี้ ไปจนกว่าข้าพเจ้าจะเข้าสู่พระนิพพาน..."

ทันที ที่คำพูดนี้เข้าหู ผมอาศัยครูพักลักจำ รีบกำพระนึกถึงหลวงปู่ดู่และอธิษฐานในทันใด! ก็ได้ยินหลวงตาม้าท่านพูดต่อไปได้ใจความว่า...

" อย่างที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านผูกพันกับสมเด็จองค์ปฐมเป็นพิเศษก็เพราะท่าน เคยอธิษฐานอย่างนี้กับสมเด็จองค์ปฐมเนี่ยแหละ คราวนี้ถึงแม้สมเด็จองค์ปฐมท่านเข้านิพพานไป ท่านก็ยังตามมาดูแลหลวงพ่อฤาษีลิงดำได้"

และท่านได้อธิบายเพิ่มได้ใจความว่า...

"ถ้าทำอย่างนี้ ต่อไปเรื่องซวยๆจะไม่ค่อยมีในชีวิต เพราะเราฝากดวงไว้กับหลวงปู่แล้ว"

การ ฝากดวงไว้กับ หลวงปู่นี้ผมเห็นว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับลูกหลานหลวงปู่ดู่หลวงตา ม้าเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเราฝากตัวเป็นลูกหลานท่านอย่างเต็มตัวแล้ว เราก็ควรจะทำตัวให้สมกับที่เป็นลูกศิษย์ลูกหลานของพระมหาโพธิสัตว์บารมีเต็ม ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลเบื้องหน้า

ครั้งหนึ่ง หลวงตาม้าท่านเคยพูดกับผมและพวกพี่บอยว่า " กลับลงไปจากถ้ำแล้ว อย่าไปทำให้เสียชื่อนะ อย่าลืมว่าเทวดาเขารู้จักหลวงตาเยอะนะ กลับลงไปแล้วที่สอนไปก็ให้ทำด้วย เจอกันครั้งหน้าเดี๋ยวก็รู้ว่าใครทำหรือไม่ทำ(หัวเราะ)"

หลวงตาม้าท่านเมตตาย้ำว่า
"รักทุกคน ไว้ใจบางคน ไม่เกลียดใครเลยสักคน นี่คือสูตรของหลวงปู่ดู่"


การสัพเพฯจำเป็นต้องมองเห็นภพภูมิวิญญาณก่อนหรือไม่

การสัพเพฯจำเป็นต้องมองเห็นภพภูมิวิญญาณก่อนหรือไม่

ศิษย์ : การสัพเพฯเนี่ยจำเป็นจะต้องมองเห็นภพภูมิอะไรอย่างนี้ด้วยมั๊ยครับ ถึงจะได้ผล ?

หลวง ตา : ฮืม... ถ้าสัพเพฯมองเห็น มันก็ได้เปรียบกว่าผู้ที่มองไม่เห็น แต่ถ้าสัมผัสได้นะ มีความรู้สึกนะ มันก็ได้นะ มันก็เหมือนกันกับเห็น เพราะเราสัมผัสได้อยู่แล้ว

ศิษย์ : บางคนเขาปฏิบัติมาใหม่ ๆ เขาจะชอบถามว่า “ผมสัพเพฯ ไปแล้วเขาจะได้มั้ย อะไรอย่างนี้” ?

หลวงตา : ได้ ถ้าเจตนาให้เขาจริงๆ

ศิษย์ : ถ้าเจตนาให้เขาก็ได้ อยู่ที่เจตนาว่าบริสุทธิ์อยากจะให้หรือเปล่า ?

หลวงตา : จุดใหญ่อยู่ที่หลวงปู่ดู่ จุดใหญ่ พลังงานใหญ่อยู่ที่ท่าน ต้องผ่านให้ได้นะ

ศิษย์ : ถ้าผ่านท่านได้ ก็จัดการให้หมด

การสัพเพฯปรับภพภูมิ เราจำเป็นต้องไปที่สถานที่นั้นหรือไม่

ศิษย์ : แล้วเวลาเราสัพเพฯในที่ที่เฉพาะเจาะจง เราจำเป็นต้องไปที่จุดนั้น อย่างเช่น โรงพยาบาลร้าง หรือ อะไรต่าง ๆหรือเราไม่ต้องไปก็ได้ ?

หลวงตา : ไม่ไปไม่ได้นะ

ศิษย์ : ต้องไป?

หลวง ตา : ต้องไป ต้องไปสวดให้เขาเห็นพลังงานก่อน เวลาเราสวดพลังงานจะมาตรงนั้น ให้เขาเห็นก่อน ขนาดเขาเห็นก่อนน่ะนะ บางวิญญาณยังไม่ไปเลย เพราะวิญญาณที่อาฆาตนี่นะ มันจะไม่รับ

ศิษย์ : ไม่ยอมรับ ?

หลวงตา : ไม่ฮะ แรงอาฆาต แรงพยาบาท มันต้องใช้เวลาหลาย ๆ ครั้ง ใช้เวลาเกลี่ยกล่อมหลาย ๆ ครั้ง ถึงจะยอมไปนะ

ศิษย์ : แสดงว่าเราอยู่นี่ ส่งไปถึงโน้น ไม่ได้ผลต้องไป ?

หลวงตา : ไม่ได้ฮะ มันไปไม่ได้นะ วิญญาณ สัมภะเวสี วิญญาณที่อาฆาต วิญญาณที่อธิษฐานไว้ เหมือนกับคนโบราณที่อธิษฐานไว้ ที่หลวงพ่อ..

ศิษย์ :อ๋อ..

หลวง ตา : อะไรพวกนี้ ไม่ได้นะ ต้องไปที่ที่เขาเลย เพราะว่าในช่วงที่เราสัพเพฯไปเนี่ย มันไปก็จริงนะ มันไปทั้ง 3 โลกก็จริงนะ แต่มันรู้ไม่หมดน่ะ มันรู้เฉพาะคนบางคน มนุษย์บางคน วิญญาณ หรือ เทวดา หรือ พรหม หรือ สถานที่ที่เราไปอธิษฐานไว้ เหมือนเราไปตั้งเสาไว้อย่างนี้ ตามบ้านคน ตามศาลาวัด ตามสถูปเจดีย์ วิหาร พระธาตุ พระบาท รอยพระพุทธบาทอย่างนี้ อย่างงั้น คือวิญญาณแถวนั้นน่ะรู้

ศิษย์ : ถ้าเราไปตั้งเสาไว้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไป ?

หลวงตา : ไม่ไปก็ได้นะ ก็คล้าย ๆ กับว่าเราสวดเนี่ย เหมือนกับพลังงานก็ไปอยู่แล้ว

ศิษย์ : แต่ว่าต้องไปตั้งซะก่อน ?

หลวงตา : อธิษฐาน

ศิษย์ : อธิษฐานไว้ ?

หลวงตา : หรือไม่ก็รูปลักษณ์ที่เราสร้างขึ้นเอาไปไว้

ศิษย์ : ไปสร้างพระพุทธรูป เป็นลูกแก้ว เป็นอะไร ?

หลวงตา : อะไรพวกนี้ มีรูป มีรูปนาม

ศิษย์ : มีทั้งรูปและนาม ?

หลวงตา : ต้องมีรูป มันถึงจะเพิ่ม เพิ่มโดยเรา เพิ่มโดยมนุษย์ ไปโดยมนุษย์

นั่งสมาธิแล้ว พระในมือขยับดิ้นได้ ต้องทำอย่างไร

เมื่อสวดมนต์ นั่งสมาธิแล้ว พระในมือขยับดิ้นได้ ต้องทำอย่างไร

ศิษย์ : ถ้านั่งสมาธิแล้วพระดิ้นนี่ เราต้องทำยังไงบ้างครับ ?

หลวงตา :ไม่ต้องทำ

ศิษย์ : ก็ดูไปเฉย ๆ?

หลวงตา : ก็เราภาวนาอันไหนก็ทำอย่างนั้น คือท่านดิ้นก็ดิ้นไป

ศิษย์ : เพราะมีหลายคนเขาถาม ทำไมพระดิ้น ดิ้นแล้วทำไงดี อะไรอย่างนี้?

หลวงตา : ไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวท่านดิ้น เดี๋ยวท่านก็หยุดฮะ ท่านเมื่อยดิ้นแล้วท่านก็หยุด

ศิษย์ : ที่ท่านดิ้นนี่เพราะเป็นเรื่องของกระแสพลังงาน?

หลวง ตา : ที่ท่านดิ้น เพราะจิตเราไปกระทบกับพลังงาน แล้วเกิดกระแส บางคนก็เหมือนไฟฟ้าช๊อต บางคนดิ้น สมัยไปภาวนาที่กุฏิหลวงพ่อดู่ เมื่อปี 24 หรือ 25 ประมาณนั้นนะ มีอยู่ 3 คน มีศุภรัตน์ มีหลวงตา มีหนานเล็ก เรานั่งอยู่ข้างหน้า พระก็อยู่ข้างหลัง ก็มีเสียงดังก๊อกแก๊ะ ๆๆๆ มันก็ดังอยู่อย่างงี้ ทุกคนมองดูข้างหลังก็ไม่มีอะไร ก็ภาวนากันใหม่ เอ้า...เริ่มสักครู่ดังอีกแล้ว เหมือนกับในไหเนี่ย...ดัง... พอดีหลวงพ่อท่านอยู่ข้างนอก ท่านว่า “ พระข้าน่ะ เดินได้ ” เราก็เลยอ๋อ... แล้วก็หยุด พระจะดิ้นก็ดิ้นไป เราก็นั่งต่อ

ศิษย์ : ไม่ต้องกำก็ยังดิ้นได้ ?

หลวง ตา : อยู่ในไห นะฮะ ในไห หึๆ... เรากำพระอยู่ แต่พระในไหน่ะดิ้น พระในมือไม่ดิ้นนะ ในไหข้างหลังเนี่ย 3 คนน่ะ ได้ยิน เขานึกว่าหนู มองดูกัน สองสามครั้งแน่ะ พอดีหลวงพ่อท่านมาถึง ท่านข้างนอกไม่ได้อยู่ข้างใน อยู่ในห้องท่าน ท่านบอก “ เอ้ย ไม่ต้องตกใจหรอก พระข้าดิ้น พระข้าน่ะเดินได้นะ ” พระท่านน่ะเดินได้ แค่นั้น เป็นเรื่องสมัยก่อน

สวดบทจักรพรรดิ ช่วยปรับฮวงจุ้ย

การสวดบทจักรพรรดิ ช่วยปรับฮวงจุ้ยได้หรือไม่

ศิษย์ : แล้วอย่างบางคนที่บ้านเขา อาจจะมีที่คับแคบ ตั้งพระไม่เหมาะ ผิดทิศทางอะไรต่าง ๆนี่ ถ้าฮวงจุ้ยไม่ดีนี่ เราใช้จักรพรรดินี่... มันแก้ได้ ไม่มีปัญหา?

หลวงตา : ไม่มีหรอก... มันเป็นการสร้างกระแสใหม่ตรงนั้น คือถ้าสวดทุกวันๆ เนี่ย กระแสตรงนั้น จะปรับให้หมดนะ แบบค่อย ๆ ออกไปเรื่อยๆ ออกเป็นวงกว้างมากนะ คือปรับตรงนี้เข้าไป แล้วก็ปรับตรงนี้ เข้าไป ออกไปเรื่อย ๆ นะยิ่งสวดเท่าไหร่ยิ่งดีนะ

ศิษย์ : แสดงว่า ไม่ต้องไปแก้ฮวงจุ้ย?

หลวงตา : ไม่มีนะ จักรพรรดิไม่มีฮวงจุ้ยนะ เพราะมันเหนือพลังไปแล้ว พลังเหนือพลัง เวลาสวดมันควบคุมให้แล้ว

ศิษย์ :งั้น... สวดอันนี้ก็ครบแล้ว?

หลวงตา : เหมือนล้างบ้านเขา มันล้างพลังงานใช่มั้ย พลังงานที่ไม่ดีมันก็จะโดนกดหมดแหล่ะ

ศิษย์ : อ๋อ... โดยปริยาย ทีนี้ถ้าเกิดสมมติเราไม่ได้อยู่ตรงนั้นต่อ มันจะกลับมาแย่อีกมั้ยครับ ?

หลวงตา :ไม่ ไม่ มันก็อยู่อย่างนั้นแหล่ะ นานกว่าจะเสื่อม... โน้นแหล่ะ ยุคพระศรี ฯ โน้นแหล่ะ

ศิษย์ : มันก็อยู่ในบ้าน?

หลวงตา : เลยพระศรี ฯ ไปโน้น

ศิษย์ : สมมติเราสวดตั้งแต่ตอนนี้ ไปถึงโน้นเลยหรือครับ?

หลวงตา : ถึง... พระจักรพรรดิ ก็คือพระศรีฯนั่นเอง... ธุรกิจท่านยังเดินอยู่นะ บริษัทยัง ยังทำงานไม่เจ๊งนะ คือยังไม่ยุบบริษัทนะ

ทำบุญอย่างไรให้ได้บุญมากที่สุด

ทำบุญอย่างไรให้ได้บุญมากที่สุด

ศิษย์ : ทำบุญอย่างไร ถึงจะได้บุญมากที่สุดครับหลวงตา ?

หลวงตา : บุญแบบไหนล่ะ บุญมีตั้งหลายอย่าง

ศิษย์ : ขึ้นอยู่กับว่า บุญนั้นจะนำไปเพื่อประโยชน์อะไร ?

หลวงตา : ใช่... ส่วนมากจะคือ สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ ดีที่สุดแล้ว

ศิษย์ : ครบทุกอย่างแล้ว?

หลวงตา : เพราะตัวนี้ มันเป็นตัว ต่อไปจะเป็นตัวแยกแยะในการทำบุญทุกอย่าง สร้างบารมีจิตทุกอย่างมันอยู่ตรงเนี้ย

ศิษย์ : คือตัวนำที่ดี ?

หลวงตา : ใช่

อธิษฐานขอพรอย่างไร

อธิษฐานขอพรอย่างไรจึงจะดีที่สุด

ศิษย์ : เวลาทำบุญแล้วอธิษฐานอะไรก็ตาม อย่างบางคนอธิษฐานขอให้นิพพานชาตินี้ บางคนขอให้ถึงพระศรีอาริย์ ขออะไรต่างๆ เราจะอธิษฐานแบบไหนดีถึงจะดีที่สุด ?

หลวงตา : อธิษฐาน... อธิษฐานขอความขัดข้อง อย่าได้เกิดแก่ข้าพเจ้าทุกภพทุกชาติที่เกิด ขอความขัดข้อง ขอคำว่าไม่มีอย่าได้เกิด

ศิษย์ : ..ส่วนจะไปเป็นอะไร นิพพานอะไรอย่างไงก็ไม่ต้องไปกำหนด ?

หลวงตา : นิพพานก็ได้ ถ้ามันขัดข้องมันก็นิพพานไม่ได้นะ

ศิษย์ : ถ้ากำหนดขอให้ได้เป็นพระพุทธเจ้า ขอให้ได้เป็นอรหันต์ชาตินี้ อะไรอย่างนี้ไม่จำเป็นต้องกำหนด?

หลวงตา : อ๋อ... อย่างนั้น ต้องแล้วแต่บุคคล ถ้าต้องการไม่เกิด ก็อยู่ที่เขา มันอยู่ที่ตัวเขาเอง

ศิษย์ : แต่ถ้าเราไม่รู้ว่าเราอธิษฐานอย่างไรมา ก็เอารวม ๆ ขอให้สำเร็จตามปรารถนา ?

หลวงตา : อื่ม... ขอความขัดข้อง ขอคำว่าไม่มีอย่าได้เกิดแก่ข้าพเจ้า จนกว่าจะสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา

พระสมเด็จ และพระกรุอื่นๆมีพลังงานหรือไม่

พระสมเด็จ และพระกรุอื่นๆมีพลังงานหรือไม่

ศิษย์ : หลวงตาครับ แล้วพระสมเด็จฯ ที่ยังนิยมกันมากๆ มีพลังงานอะไรมั้ยครับ?

หลวงตา : มีฮะ มีพลังงาน มี... แต่คนใช้ไม่เป็นหรอก เป็นน้อย

ศิษย์ : พลังงานกับพระองค์ไหนก็ตาม ถ้าเราใช้ในหลักสูตรเดียวกันใช้ได้เหมือนกันหมด ?

หลวงตา : เหมือนกัน

ศิษย์ : เหมือนอย่างพระสมเด็จของสมเด็จโต…?

หลวง ตา : ฮึ ฮึ ..ผ่านมือนี่หลายหนแล้ว ได้ไปหลายองค์แล้ว ไม่เห็นอยู่สักองค์ ให้เอาสมเด็จโต ไปแลกกับพระที่ห้อยยังไม่เอาเล๊ย เอา แต่เอาไปขายนะได้อยู่ เอาเงินมาสร้างวัดน่ะได้... ผ่านมือมาหลายองค์แล้ว แต่ก็ให้เขาไป มันอยู่ที่ค่านิยมของที่คนปัจจุบัน ก็เหมือนกับพระทั่วไป ลองโฆษณาดีๆหน่อยก็ได้เหมือนกัน คนก็ชอบเหมือนกัน

ศิษย์ : พระกรุสมัยก่อน บางอันเขาก็ไม่ได้ทำพิธีอะไร แต่คนก็ยังบูชากัน?

หลวงตา : ไม่ฮะ เขาทำเสร็จแล้ว เขาก็ใส่กรุเลย เค้าตั้งจิตอธิษฐาน พลังงานมันก็เข้าไปแล้ว มีรูปที่ไหนมีพลังงานที่นั่น

ศิษย์ : โดยอัตโนมัติ?

หลวงตา : มันอยู่ที่คนอธิษฐาน

ศิษย์ : อ๋อ... งั้นต้องบอก?

หลวงตา : จะเป็นพระ เป็นฤาษี เป็นคนธรรมดา เป็นคนรักษาศีลอะไรอย่างนี้ ได้ทั้งนั้นนะ

การสัพเพฯปรับภพภูมิ กับการสวดสัพเพ สัตตา... แบบทั่วไป มีผลเหมือนกันไหม

การสัพเพฯปรับภพภูมิ กับการสวดสัพเพ สัตตา

ศิษย์ : เอ่อ...บางคนเขาถามว่า ถ้าระหว่าง การสัพเพ ฯ ของเราเนี่ยครับ กับ สัพเพ สัตตา... ที่คนส่วนใหญ่ทั่วไปสวดเนี่ย มันผลต่างกันมั้ยครับ?

หลวงตา : เอ...ไม่รู้นะว่าเขาคิดอะไร ตอนที่เขานึกถึง สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลาย... เนี่ยเขาคิดอะไร ไม่รู้

ศิษย์ : ถ้าเขาคิดแผ่ไปนี่ ก็จะได้ผลเหมือนกัน?

หลวงตา : ก็คล้ายๆของเรา แต่ปัญหามันว่า เขาแผ่ยังไง

ศิษย์ : เพราะคนส่วนใหญ่ จะไม่ค่อยรู้วิธีสัพเพฯ ก็จะใช้ สัพเพ สัตตา... เช่น เด็กนักเรียนที่สวดในโรงเรียน?

หลวงตา : ไม่รู้หรอกๆ การจะแผ่เมตตา เพียงแต่นึกเนี่ย นึกหน้าคนนั้น เวลาเราสัพเพฯ นึกหน้า พลังงานจะผ่านไปที่เรา แล้วพุ่งไปที่นั่น


ศิษย์ : ถ้าอย่างงี้ บังเอิญเรานึกถึงบางคนไม่ออก มันจะไปมั้ยครับ?

หลวง ตา : ไปนะ... เพียงแต่นึกหน้าไม่ต้องนึกชื่อก็ได้ เพียงแต่นึกคนนั้นน่ะ เขาสั่งมา เอ้ย... แผ่ให้คนนั้นหน่อยนะมันป่วยอยู่ ร.พ. นั้นน่ะ เพียงแต่เรานึก ไอ้คนนั้นแหล่ะ มันก็ไปเหมือนกัน ไอ้คนนั้น แหล่ะ ไอ้คนที่เขาฝากนั่นแหล่ะ มันก็ไปเหมือนกัน

ศิษย์ : การนึกถึงหลวงปู่ก่อนทุกครั้งแล้วค่อยสัพเพฯไป จะเป็นวิธีที่ดีกว่าใช้กำลังเราเอง?

หลวงตา : ถูก... ทุกครั้งเราก็ต้องจับจักรพรรดิอยู่แล้ว จับหลวงปู่ดู่ไว้ เวลาเราสัพเพ ฯทุกครั้ง พลังงานมันผ่านเราอยู่แล้ว

ศิษย์ : ถ้าคนเกี่ยวข้องมันเยอะมาก เราใช้รวม หรือว่าทุกคนที่เกี่ยวเนื่องกับเราได้มั๊ยครับ?

หลวง ตา : นึกภาพรวม เวลาหลวงตาสัพเพ ฯ จะนึกถึงว่า คนที่เคยมานั่ง ในเนี่ยะ ในถ้ำเนี่ยะ ตั้งแต่อดีต ถึงปัจจุบันเนี่ยะ คนที่เข้ามาในเนี่ยะ มาอธิษฐาน มันก็จะเห็นภาพคน

ศิษย์ : เยอะไปหมดเลยเหรอครับ?

หลวงตา : คนซ้อน ๆ คน

การใช้พระผงจักพรรดิทำน้ำมนต์ ต้องทำอย่างไร

การใช้พระผงจักพรรดิทำน้ำมนต์ ต้องทำอย่างไร

ศิษย์ : แล้วในการใช้พระทำน้ำมนต์ก็คือ อธิษฐานแล้วก็เอาท่านลงใส่ในน้ำ แล้วใช้ได้เลย ?

หลวงตา : สวดจักรพรรดิถ้ามีเวลา ถ้าไม่มีก็อธิษฐานเลย

ศิษย์ : แล้วน้ำนั้นก็คือเป็นหัวเชื้อ ก็ต่อไว้ใช้ได้เรื่อย ๆ ?

หลวงตา : ได้

ศิษย์ : ใส่ในแท็งค์ทั้งบ้านอย่างนี้ก็ได้ ?

หลวงตา : ก็ได้

ศิษย์ : เพราะบางคนเขากังวลว่าเอาไปแล้วน้ำมันเข้าไปในห้องน้ำอะไร.. ?

หลวง ตา : เขาไม่เข้าใจเรื่องพลังงานนะ น้ำเนี่ย… น้ำที่เราเห็นเนี่ย... ไม่ใช่ไม่มีเชื้อโรคนะ แต่เรามองไม่เห็นเท่านั้นเอง ใช่มั้ย มันอยู่ด้วยกันนั่นน่ะ ดีไม่ได้ก็อยู่ในกับน้ำนั่นแหล่ะ

ศิษย์ :มันก็ไม่มีอะไรสะอาด ?

หลวงตา : ไม่มีฮะ พลังงานก็คือพลังงาน

ศิษย์ : เอาน้ำนั้นไปอาบ ก็ไม่ถือว่าเป็นปรามาสพระใช่มั๊ยครับ?

หลวง ตา : เปล่า ก็อาบทุกวันนะ นี่ก็อาบ... ทั้งอาบทั้งกินนะ น้ำมนต์กินทุกวัน เกือบทุกวัน ถ้าไม่รีบนะ เกือบจะทุกวันแหล่ะ พูดถึง ถ้าอยู่นะ เช้าออกมาต้องกินล่ะ กินน้ำมนต์นะ กินเรื่อย ๆ ช่วงหลัง เนี่ยะ เยอะเลย กินที...

ศิษย์ : เอาไปใส่ทำประกอบอาหารได้ด้วย ทำต้มยำ?

หลวงตา :ก็ได้นะ สมัยอยู่กับท่านก็อาบน้ำมนต์ประจำ ทั้งกิน ทั้งอาบ

พระผงจักรพรรดิกับการปฏิบัติสมาธิ

พระผงจักรพรรดิสามารถใช้ในการปฏิบัติวิปัสสนาได้หรือไม่ อย่างไร

ศิษย์ : การทำพระกับวิปัสสนา มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร?

หลวง ตา : คือ โบราณกาลมา การทำพระนี่ เป็นการทำให้คนติดพระ คนโบราณเวลาเค้าจะไปไหนเค้าจะเอาพระมาห้อย จะอาราธนาพระทุกครั้งเลย เวลาออกจากบ้าน สมัยโบราณนะ ทุกครั้งเลย คือคนโบราณเค้าต้องการทำให้คนติดพระ เลยทำวัตถุมงคลรูปลักษณ์ของพระมาให้คนได้ห้อย เพื่อให้ติด แต่มาในยุคหลังๆนี่ เอาไปทำค้าขายอะไรกันซะ โดยส่วนมาก

ศิษย์ : อย่างนี้คนเมื่อก่อนเค้าทำพระกันเองรึเปล่าครับ?

หลวง ตา : ทำกันเอง แต่ว่าต้องให้พระท่านอธิษฐาน มีพิธีอธิษฐาน นั่นคือเจตนของการทำพระของคนโบราณ มันเป็นพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ เป็นอนุสสติ ไตรสรณคมน์ว่าอย่างนั้น เอาง่ายๆ ทีนี้เรื่องวิปัสสนามันก็อยู่ในนั้น

ศิษย์ : อยู่ยังไงครับ?

หลวง ตา : ก็พุทธนุสสติ จิตระลึกถึงพระ ไตรสรณคมน์ รวมแล้วก็ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ มันก็เป็นกรรมฐานกองหนึ่งของสมถะ 3 กอง ใน 40 กอง

ศิษย์ : แล้วจากสมถะ มันจะขึ้นไปวิปัสสนายังไงครับ?

หลวง ตา : มันไปเอง การไหว้พระสวดมนต์เนี่ย จิตมันสบายใช่ไม๊ พอจิตมันสบาย แล้วมันนิ่งไปเรื่อยๆ ถ้ามีอะไรมากระทบมันก็หนี มันก็ต้องพิจารณาใช่ไม๊ นั่นล่ะเริ่มเข้าเรื่องปัญญาแล้ว มันก็หนี มันหนีออกมา หนีจากกระแสที่ไม่สบาย กระทบแล้วมันเป็นทุกข์ มันก็เริ่มจะห่างออกมาเรื่อยๆ โดยอาศัยพระที่ห้อยก่อน นี่คือฐาน ท่านว่า

ศิษย์ : วิปัสสนาเบื้องต้นนี่คือดูกระแสพระ?

หลวงตา : อันนั้นมันเป็นวิชาพิเศษของแต่ละคน ถ้าฝึกไปแล้วมันก็รู้ ทำบ่อยๆมันจะรู้

ศิษย์ : ก็ใช้พิจารณาได้เหมือนกัน?

หลวงตา : ได้... นี่คือเจตนาในคนโบราณเค้าทำพระ

ศิษย์ : แล้วพวกที่จับพุทธคุณได้ว่า พระเหล่านี้ปลุกเสกมาทางแคล้วคลาด คงกระพัน นั่น?

หลวงตา : อ๋อ... นั่นเค้าฝึกอีกระดับหนึ่งแล้วนะ มาจากการอาราธนาพระ กราบพระ นึกถึงพระ นึกถึงกระแสของพระ

ศิษย์ : แล้วเราดูตรงนี้ไปเรื่อยๆนี่ ก็สามารถใช้พระจนถึงนิพพานได้เลย?

หลวงตา : ได้

ศิษย์ : มันก็เหมือนการดูจิตอย่างหนึ่ง?

หลวงตา : เป็นการฝึกสติอย่างหนึ่ง คือการฝึกสติจริงๆแล้ว ก็คือเอาสติไปอยู่ที่พระ นี่คือแนวทางของโพธิญาณ

ศิษย์ : ก็คือใจไม่ฟุ้งซ่านไปข้างนอก ใจอยู่แต่ที่พระ?

หลวง ตา : ใช่... เมื่อจิตนึกถึงพระแล้วเนี่ย แม้แต่เราเห็นพระ เราจะปีติ ปีตินะ ปีติในพระ... มันจะแยกแยะออกว่า พระอะไรเป็นอะไร แยกพลังงาน แยกแยะพลังงานออกว่าอะไรเป็นอะไร แยกพลังงานพระออก แยกพลังงานสงฆ์ออก ดูว่าอะไร สงฆ์ก็คือมนุษย์ธรรมดาที่ยังมีกิเลส ตัณหา อุปาทาน เหมือนคนทั่วๆไป แต่เพียงออกมาเฉยๆ ห่างออกมาเฉยๆ ไม่ได้แตะต้อง ใช้ตา ใช้อะไรเฉยๆ ใช้อารมณ์คิด แต่ไม่ทำ

ศิษย์ : ถ้าทำให้คนติดพระได้ ทั้งผู้สร้างผู้ใช้?

หลวง ตา : อานิสงส์เยอะนะ เยอะมากเลยนะ เพราะทำให้คนเข้าถึงไตรสรณคมน์ ในพระไตรปิฏก ท่านว่า แม้แต่เลี้ยงมารดาตลอดชีวิต ยังสู้นำมารดาให้เข้าสู่ไตรสรณคมน์ไม่ได้ มันยาวไกล ไม่ใช่ชาติเดียว มันหลายชาติ นี่คือการห้อยพระ การนึกถึงพระ การเอาภาพพระไปติดไว้ที่บ้าน เปลี่ยนทัศนวิสัยใหม่

ศิษย์ : มองไปทางไหนก็เห็นแต่พระ?

หลวง ตา : ใช่... ให้จิตมันจับพระ สมัยนี้รูปพระเยอะแยะไป ยิ่งถ้าคนแก่เนี่ย ถ้าเอาไปติดไว้ในบ้าน มันจะนึกออก เหมือนเวลานึกถึงบ้านเราเนี่ย เราก็นึกถึงภาพบ้านของเราออก ด้วยความเคยชิน ความจริงคนโบราณเค้าฉลาด แต่คนข้างหลังมา... กลายเป็นการซื้อขาย การเลี้ยงชีพ บางคนนี่ร่ำรวยเพราะการขายวัตถุมงคล

ศิษย์ : แล้วอย่างการทำพระนี่ เราจะเอามาใช้ในการพิจารณาอริยสัจจ์ได้ไม๊ครับ?

หลวงตา : มันอยู่ที่พระฮะ พื้นฐานอยู่ที่การนึกถึงพระ ถ้านึกได้แล้วมันไปเอง

ศิษย์ : พระนี่ คือการทำฐานให้เค้า?

หลวง ตา : ใช่... อย่าลืมว่า คนเข้าถึงพระเนี่ย ในพระไตรปิฏกท่านก็พูดถึงอยู่หลายคน หลายคนมากที่เข้ามาเพราะได้ยินว่า พุทธะ ธรรมะ สังฆะ เกิดขึ้นในโลกนี้ อันนั้นเค้าเคยเกี่ยวข้องกับพระมาในอดีต

ศิษย์ : ทำไมสมัยพุทธกาลถึงไม่ทำพระไว้บ้าง?

หลวงตา : สมัยพุทธกาล ที่เค้าไม่ทำพระ เพราะพระพุทธเจ้าท่านยังอยู่ รูปลักษณ์ของพระพุทธะหมายถึงท่าน

ศิษย์ : สมัยก่อนเค้าก็เลยทำเป็นธรรมจักรอะไรไปแทน?

หลวง ตา : ใช่.... เป็นรูปลักษณ์ของพระ มันเป็นพุทธนุสสติ มันเป็นกรรมฐานกองหนึ่ง ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ ในสายพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ ท่านจะเน้นเรื่องไตรสรณคมน์

ศิษย์ : เพราะถือเป็นฐานที่สำคัญ?

หลวง ตา : หลวงพ่อดู่ท่านไม่เน้นนะฮะ วิปัสสนา ปัญญาอะไร หลวงพ่อดู่ท่านจะไม่สอน อยู่กับท่านมา ท่านไม่เคยสอน ท่านสอนให้นึกถึงพระอย่างเดียว

ศิษย์ : คนที่มาถึงจุดนี้แล้ว เค้าจะไปได้ของเค้าเอง?

หลวงตา : เค้าจะไปได้ของเค้าเอง

ศิษย์ : อย่างนี้ ถ้าเป็นสายโพธิญาณ เค้าต้องมีวิปัสสนาร่วมด้วยไม๊ครับ?

หลวงตา : ไม่รู้นะ สายอื่นไม่รู้นะ แต่สายหลวงพ่อท่านเน้นเรื่องพระ เน้นเรื่องการสร้างพระ เน้นเรื่องการนึกถึงพระ

ศิษย์ : คนเค้าชอบนึกกันว่า เรื่องพระเนี่ย มันไม่มีวิปัสสนา แต่เค้าไม่เคยนึกถึงว่า มันต้องสร้างฐานมาก่อน?

หลวงตา : ใช่... อย่าลืมว่า หลักของความเป็นจริงเนี่ยนะ จิตเนี่ย มันจะเข้าเป็นกรรมฐานกองไหน จิตมันต้องสบาย

ศิษย์ : การนึกถึงพระก็คือทำให้จิตสบาย?

หลวง ตา : ทำให้จิตสบายก่อน ทำให้จิตมันมีกำลังก่อน แล้วจึงค่อยพิจารณาในสิ่งที่กระทบกระทั่งอะไร แล้วมันก็จะไม่เกี่ยวข้อง เพราะมันไม่สบาย ใช่ไม๊... มันไปโยงกับคำว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ท่านเน้นเรื่องนี้มากเพราะว่า ถ้าทำอะไรกับท่าน จะเป็นกรรมฐานอะไรก็ตาม ถ้ามันหนัก มันไม่สบาย ท่านจะไม่ให้ทำ มันจะเกิดวิปลาส มันจะเกิดสับสน

ศิษย์ : เหมือนเห็นพระบางองค์ ท่านเพ่งพระอาทิตย์จนตาบอด จนเป็นอะไรไป

หลวงตา : ใช่... ทำอะไรมันต้องมีแนวทาง มีผู้นำ มีครูบาอาจารย์ มันถึงจะไปได้ ถ้าไม่มี จะไปฝึกเอง อย่าไปทำท่านว่า

ศิษย์ : อืม... ต้องมีครู?

หลวงตา : อื้อ... สิ่งที่ฝึกง่ายที่สุดก็คือ ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เป็นพื้นฐานที่ดีที่สุดอันดับแรก

ศิษย์ : หลวงปู่ท่านจะเน้นตรงนี้มาก?

หลวงตา : มาก.... ตื่นขึ้นก็ทำ กินข้าวก็ทำ เดินก็ทำ ท่านเน้นตรงนี้มาก

ครอบวิมานอย่างไรให้ได้ผลดีที่สุด

ครอบวิมานอย่างไรให้ได้ผลดีที่สุด

ศิษย์ : เวลาเราครอบวิมานนี่ จะครอบยังไงให้ได้ผลดีที่สุดครับ?

หลวง ตา : ครอบยังไงให้ได้ผลดีที่สุดเหรอ...พูดยากนะ... การครอบวิมานเนี่ย ต้องวางอารมณ์ ก่อนที่จะสัพเพฯ มันต้องมีหน้าที่ คือเราเป็นผู้ที่มีหน้าที่ หน้าที่เกี่ยวกับสรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ หรือเป็นอะไรอย่างนี้มีหน้าที่ ทำให้เป็นหน้าที่ มันจะดี

ศิษย์ : คือเราช่วยไปเรื่อยเลย ?

หลวงตา : คืออย่างนั้นแหล่ะ

ศิษย์ : เวลาเราครอบให้ใคร คือตัวเราได้มาก่อนด้วยเลย?

หลวงตา : ยังไงต้องผ่านเราอยู่แล้ว

ศิษย์ : เราก็ได้เลย ทันทีเหมือนกัน?

หลวงตา : พลังงานไม่ผ่านเรา มันไปที่อื่นไม่ได้หรอก เราเปิดเครื่องเมื่อไหร่ มันก็เข้ามานั่นแหล่ะพลังงาน

ศิษย์ : ทีนี้เวลาสัพเพ ฯ ให้ใครครั้งหนึ่งมันได้ 2 คนเลย ทั้งคนให้ คนรับ?

หลวงตา : ได้หมด ทั้งคนให้ ทั้งคนรับ และทั้งจุดที่มาของพลังงานนั้นด้วย

ศิษย์ : กระจายกันไปหมดเลย?

หลวงตา : กระแสมันหมด

ศิษย์ : เรากำหนดเป็นภาพหลวงปู่ครอบลงไปเลยอย่างนี้ก็ได้ใช่มั้ย ?

หลวงตา : ได้… แต่ท่านไม่ครอบ เพียงแสงสว่างเฉยๆ

ศิษย์ : อ๋อ เพียงเรากำหนดภาพ... ?

หลวงตา : ใช่ กำหนดภาพท่านปั๊บ พลังงานจากท่านพุ่งที่เรา ไปที่นั่นเลย

ศิษย์ : เหมือนอย่างเวลาสวด บางครั้งเห็นเป็นแสงสว่างผ่านหน้าเราไป?

หลวง ตา : ใช่... จริงๆ มันผ่าน ผ่านมาอย่างนี้เลย จริงๆที่เราเห็นเฉพาะหน้า แต่มันเป็นลำพุ่งขึ้นมา พอเริ่มนึกก็มาแล้ว ไวนะ ไม่ใช่ช้านะ

ศิษย์ : นึกปุ๊บ มาปั๊บเลย?

หลวงตา : ใช่... พอเรานึกถึงตรงโน้นปั๊บ ไปเลยนะๆ โดยอัตโนมัติ ถ้าเราทำทุกวันนะทำบ่อย ๆ

ศิษย์ : แค่นี้ก็ไปเลยไม่ต้องมาสวด ไม่ต้องอะไร?

หลวงตา : อย่างเราเห็นหมาตายกลางถนน... “ ปุ๊บ” มันก็ไปแล้ว ไม่ต้องสัพเพฯ นะ

ศิษย์ : นี่คือแบบที่ชำนาญแล้ว ?

หลวงตา : ใช่... ถ้าใหม่ ๆ ก็ต้องสัพเพพุทธา สัพเพธัมมา... มันเหมือนการยิงเลเซอร์ไปไหน มันดูดไปโดยอัตโนมัติ

ศิษย์ : ก็คือ ถ้าเราเห็นพลังงานชัดเจนแล้ว เราก็ส่งพลังงานนั้นไปยังจุดต่าง ๆ ได้เลย?

หลวง ตา :ได้ ปัญหานี้ เราต้องฝึกพลังงานก่อน ปัญหามันอยู่ตรงเนี๊ยะ จุดใหญ่ตรง เนี๊ยะ ตรงเนี๊ยะ ทำไงเราจะจูนพลังงานตรงเนี๊ยะ จูนภาพท่าน ทำยังไง

ศิษย์ : อย่างนี้ก็ครอบทั้งตึกได้ ครอบคนในตึกได้?

หลวง ตา : อย่าว่าแต่ตึกเลย ทั่วประเทศเมื่อกี้ยังครอบได้เลย อย่าว่าแต่ตึกเลย... ครอบปั๊บ มันก็ได้ไม่หมดหรอก คือกระแสจริง ๆ ที่จะเข้าไปเนี่ยะ มันไม่ได้เข้าหมดนะ มันยังมีพวกที่ยังเพลิดเพลินอยู่ พวกที่มีทุกข์อยู่ ไอ้อย่างนี้ไม่เข้านะ

ศิษย์ : อ๋อ... แล้วถ้าเค้ามีทุกข์อยู่ ผมเจาะจงครอบเค้าเลย ก็ไม่เข้าเหรอครับ?

หลวง ตา :ไม่เข้า... นอกจากไปเป็นราย ๆ ก็ไปครอบสุ่มให้เค้า ไม่ครอบ มันครอบมันก็เด้งออกมา เพราะว่า รัศมีของเขาไม่ไช่รัศมีบุญน่ะ... รัศมีของความเพลิดเพลินมั่ง รัศมีของทุกข์มั่ง

ศิษย์ : อย่างงี้ถ้ามีคนร้องไห้ ทุกข์ เสียใจ เราก็ไปช่วยเขาก็ไม่ได้?

หลวงตา : ให้เขาน้อมจิตถึงหลวงปู่ไว้

ศิษย์ : เขาต้องน้อมไว้?

หลวงตา : ใช่

ศิษย์ : แต่ถ้าเขาไม่น้อมก็ช่วยไม่ได้?

หลวงตา : เขาทุกข์เพราะเจ็บ คือป่วยไง มันต้องปรับเป็นรายๆไป อย่างงั้นน่ะ

ศิษย์ : แต่ถ้าเกิดครอบรวม ก็คือคนที่เขามีกระแสบุญอยู่แล้วเขาก็รับได้?

หลวงตา : ใช่... เทวดาเลยได้มากกว่ามนุษย์ เพราะเทวดาเขาไม่มีธาตุ แสงสว่างพอพรึ๊บไปหาเขา

ศิษย์ : เขาเห็นเลย

หลวงตา : เขาก็สว่างขึ้นนะ พอนึกออกมั้ย สว่างขึ้น สว่างไปเรื่อยๆทุกวัน เขาก็สว่างไปทุกวัน เขาจะไม่เอาเหรอ เอานะ อย่างไงเขาก็เอา

ศิษย์ : อย่างงี้เทวดาที่อยู่กับคนที่สวดจักรพรรดิบ่อย ๆก็จะสว่างดี?

หลวงตา : สว่างไปเรื่อยๆ ผ่านไป นานๆ ไป ก็ยังสว่างไปเรื่อย ๆ

ศิษย์ : ทีนี้อย่างเวลาที่เราสัพเพฯ ครอบวิมาน เราต้องอธิษฐานกำหนดมั้ยครับว่า ให้เทวดาประจำตัว ให้เจ้ากรรมนายเวร ให้อะไรหรือว่า เราส่งยาวไปเลย

หลวงตา : ไปเองนะ

ศิษย์ : ไม่ต้องไปอะไรมาก?

หลวงตา : ไปเองนะ

การสวดบทจักรพรรดิ กับภพภูมิต่างๆ

การสวดบทจักรพรรดิ ต้องบอกให้ภพภูมิต่างๆมาสวดด้วยไหม อย่างไร

ศิษย์ : อย่างนี้แสดงว่า บ้านไหนแบบมีภพภูมิไม่ดี อยู่ใกล้ป่าช้าอะไรพวกนี้ก็สวดจักรพรรดิ?

หลวงตา : เปลี่ยนหมดแล้ว เวลาสวดมันเปลี่ยนหมดแล้ว

ศิษย์ : ต้องบอกให้เขามาสวดมั้ยครับ หรือ เขามาเอง?

หลวง ตา : บอก...ต้องบอกนะ ทุกภูมิต้องผ่านมนุษย์ มนุษย์ต้องบอก มันไม่เหมือน ไม่เหมือนภูมิมนุษย์ คือ วิญญาณเราต้องบอกเขาถึงจะได้นะ เราต้องให้เขาถึงจะได้

ศิษย์ : อนุญาตให้เขามาสวด?

หลวงตา : ตลอดชีวิตของเรา

ศิษย์ : โห... บอกไปเลยว่าตลอดชีวิต?

หลวง ตา : ใช่... กระแสเขาไปอยู่แล้ว เขาไม่ย้ายกระแสมันก็ไปอยู่แล้ว ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่ เรานึกถึงมันก็ไปทั่วโลก ทั่ว 3 ภพ ถ้าเรานึกถึงน่ะ กระแสจิตมันไปได้หมดนะ

ศิษย์ : แสดงว่าถ้าเราไปเที่ยวญี่ปุ่น แล้วสวดอยู่ที่โน้น แล้วกระแสจะเกิดที่บ้านเราด้วย?

หลวง ตา : เกิดแล้ว เพราะเรายังอยู่ เราอธิษฐานไว้ เราสวดที่ไหนน่ะ ขอภพภูมิที่นั่น มาสวดกับเราตลอดชีวิต มันไปที่ไหน อันเก่าก็สวดนะ อันใหม่ก็สวดนะ มันเพิ่มไปเรื่อยๆ นะ

ศิษย์ : ก็เพิ่มไปเรื่อย?

หลวงตา : อันเก่าเขาก็สวดอยู่นะ เพราะเราสวดมันก็ถึงเขาอยู่แล้ว เพราะจิตมันสะเทือนอยู่แล้ว เพราะสภาพของพลังงานนะ

ศิษย์ : อย่างนี้ถ้าสวดเยอะ ๆ ก็ตามมาเป็นพรวนซิครับ?

หลวง ตา : เวลาทำบุญตามนะ อย่างเวลาเราทำบุญนี่ เยอะๆ เนี่ย อย่างบุญที่มันใหญ่หล่อพระ..อะไรพวกนี้ มีกิจกรรมใหญ่ๆ เนี่ยเยอะนะ เพิ่มขึ้นเยอะเลย

ศิษย์ : เขาก็จะมารับไปเรื่อยๆ เรื่อย ๆ?

หลวง ตา : ใช่... ก็เหมือนเราเนี่ย ก็มีงานทางโลกนี่นะ ถ้าเราติดโลก ก็ต้องไปอยู่ดี คาราบาวมา ก็ไปกับเขาแล้วใช่มั้ย ก็มันติดน่ะ ที่ไหนมันก็ไปใช่มั้ย

ศิษย์ : เขาไปสะดวกกว่าเราเยอะเลย…

หลวง ตา : เพียงแต่เราเริ่มนึก เท่านั้นแหล่ะ... เพียงแต่เราเริ่มนึกเท่านั้น แม้จะมาไม่ได้ เพียงเรานึก กระแสมันก็ไป ก็มาตามกระแสนั้น พอเสร็จแล้วก็กลับตามกระแส เขารู้จังหวะ

ศิษย์ : อืม... แล้วถ้าภพภูมิตรงนั้น เขามีคนเกี่ยวเนื่องกับเขาหลายคนที่สวดจักรพรรดิ แล้วเขาจะไปทางไหน?

หลวงตา : ก็ไปเรื่อย ๆ มันจะไปตรงจุดใหญ่ จุดไหนที่ใหญ่ เขาก็ไปที่นั่น

ศิษย์ : อ๋อ... เพราะว่ เวลาสวด เราถึงกันหมดทุกคนที่สวดอยู่แล้ว?

หลวงตา : ถูก... ถ้าจุดใหญ่ เราก็กำหนดที่จุดใหญ่นั้น

การฝากกระแสบุญ ต้องอธิษฐานอย่างไร

การฝากกระแสบุญ ต้องอธิษฐานอย่างไร

ศิษย์ : เวลาเราจะฝากกระแสบุญนี่เราจะต้องอธิษฐาน ทำยังไงบ้างครับ?

หลวง ตา : ตั้งสัจจะและอธิษฐานเอา สิ่งที่ข้าพเจ้าทำ ทำเพื่อศาสนาอย่างเดียวเลยฮะ ศาสนา ชาติ พระมหากษัตริย์ มันตั้งตรงนี้โดยตรง ไม่ได้ตั้งเพื่ออะไร มันเป็นเรื่องของโพธิญาณโดยตรง

ศิษย์ : เพื่อต่ออายุพระศาสนา ก็คือฝากไปเป็นทอดๆ?

หลวง ตา :ใช่... คือว่ายังต้องเวียนว่ายตายเกิด จิตยังไม่พ้นจากความทุกข์ 0b9ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ยังต้องเกิด ใช่มั้ย... เกิดก็ต้องเกิดกับคน เราก็อยากเกิดกับคนดีใช่มั้ย... เราก็หากระแสที่ดี กระแสที่ดีเราก็หากระแสที่ดี กระแสที่ไม่ดีเราก็อย่าไปเกิด

ศิษย์ : ท่านวางกระแสไว้เลือกได้เหรอครับ?
หลวง ตา : เอ้า... ทุกวันนี้เราก็เลือกอยู่แล้วนะ ทุกวันนี้เราก็เลือกกินอยู่แล้วนะ เลือกอยู่อยู่แล้วนะ เลือกที่จะทำอยู่แล้วนะ เลือกที่จะปฏิบัติอยู่แล้ว แม้แต่ทำงานเรายังเลือกเลยนะ แม้แต่เรียนเราก็ต้องเลือกนะ ฉะนั้นในกาลข้างหน้า ไม่เลือกไม่ได้นะ เราอยากไปเกิดในหมู่ชนที่ไม่ได้เรื่องได้ราวมั้ยล่ะ เราก็ไม่อยากอีกแหล่ะ เราก็ฝากกระแสเยอะๆ ที่กระแสเดียวกันนะ กระแสพุทธะด้วยกัน.. กระแสของกรรมร่วมกัน

ศิษย์ : โดยการฝากไว้ จะต้องมีรูปลักษณ์อะไรบางอย่างมาฝาก?

หลวงตา : มีทั้งรูปและนาม หรือมีแต่นาม ก็ได้

ศิษย์ : มีแต่นามก็ได้?

หลวงตา : ใช่ มีรูปเช่น เทพ พรหมทั้งหลาย เพียงแต่เราอาศัยเขา ตอนนี้เขาอาจจะอาศัยเรา ใช่มั้ย... ในการเพิ่มกำลัง เพิ่มบุญ

ศิษย์ : โดยอาศัยกันไปกันมา ?

หลวง ตา : ใช่... พอเราตายไปเป็นเทวดา หรือ เป็นพรหมเนี่ย เขาก็เกิดเป็นมนุษย์อยู่ดีนั่นแหล่ะ ถ้ายังอยู่ มันก็เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกันอยู่นี่แหล่ะ มันไม่หนีไปไหนหรอก มันหนีไม่ออก

ศิษย์ : วนไปวนมา?

หลวงตา : เพราะฉะนั้นต้องฝาก ต้องหาเพื่อน หาเพื่อนก็ต้องหาเพื่อนที่ดี

ศิษย์ : ยังไงก็ต้องมีหมู่คณะ?

หลวงตา : ใช่

ศิษย์ :แม้แต่พระปัจเจกฯ ก็ยังต้องมีหมู่คณะ?

หลวงตา : มีนะ แต่ท่านไม่ได้มากมายเท่าไหร่ ไม่มีมากมาย ไม่เอามากมาย มาก็ได้ ไม่มาก็ได้

การครอบดวงแก้ว หรือครอบวิมานให้แก่บ้าน

การอธิษฐาน ครอบดวงแก้ว หรือครอบวิมานให้แก่บ้าน (เพื่อป้องกันรังสี ทั้งบ้าน ในกรณีเกิดภาวะสงครามที่มีการใช้กัมมันตรังสี)

หลักการ
หลวงปู่ดู่ ท่านมองการไกลมาช้านานแล้ว ในเรื่องนี้ พระท่านหรือพระที่สร้างด้วยสูตรท่าน จะกันรังสีได้ทุกองค์ (เฉกเช่นเดียวกับพระของหลวงพ่อฤาษีลิงดำในยุคหลัง ๆ) สำหรับผู้ที่คล้องบูชา แต่หากต้องการให้ครอบคลุมทั้งบ้านประดุจมีดวงแก้วครอบบ้านทั้ง 6 ทิศ คือซ้าย ขวา หน้า หลัง บน ล่าง ควรอัญเชิญพระไว้ที่บ้าน 1 องค์ แล้วทำการอธิษฐานตามแบบอย่างข้างล่าง

วิธีการ

๑. ให้อัญเชิญพระกำลังพระจักรพรรดิ หรือพระที่สร้างด้วยสูตรหลวงปู่ดู่มาอธิษฐานทำน้ำมนต์ โดยควรเลือกเวลา 20.30 น. เพราะต้องอาศัยกำลังใหญ่

๒. ให้ตั้งจิตอธิษฐานทำน้ำมนต์โดยนำพระแช่ในภานะอันควร อาจจะเป็นขันน้ำมนต์ก็ได้ ตามร้านขายสังฆภัณฑ์ ราคาไม่แพงนักประมาณ 50-60 บาท โดยควรแช่ไว้เช่นนั้นตลอดเพื่อจะได้เป็นหัวเชื้อน้ำมนต์ สำหรับใช้ในการอื่น ๆ ได้อีก

๓. นำขันน้ำมนต์ที่แช่พระอยู่ ตั้งไว้ในที่อันควร ตั้งจิตดี ๆ นึกน้อมถึงหลวงปู่ดู่ และกล่าวคำอธิษฐานตามตัวอย่าง
ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ ข้าพเจ้าขอถวายแล้วซึ่งร่างกาย ดวงวิญญาณ ถวายแล้วซึ่งขันธ์ทั้ง ๕ กอง (มอบกายถวายตัวรับใช้ เข้าถึงพระไตรสรณคมณ์) เพื่อบูชาคุณแก่องค์พระตถาคตทศพล ขอบารมีแห่งพระองค์นับตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต จงสถิตอยู่เหนือศีรษะของข้าพเจ้าทุกวันคืน ทั้งยามหลับ ยามตื่น ยามยืน ยามเดิน ยามนั่ง ยามนอน ยามรู้ตัว ยามมิรู้ตัว (อัญเชิญพระ)

ขอเดชะ ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดีกรรมอันใดอันข้าพเจ้า ล่วงเกินกระทำแล้วในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า ทั้งรู้ตัวก็ดี มิรู้ตัวก็ดี โดยเจตนาก็ดี มิเจตนาก็ดี ทั้งชาตินี้ก็ดี ทั้งอดีตชาตินับสงไขยมิถ้วนก็ดี กรรมอันใดเหล่านั้นที่ข้าพเจ้าประมาทพลาดพลั้งไป ขอคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า จงโปรดละซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้น เพื่อการปราศจากเวรภัยแก่ตัวข้า และเพื่อการสำรวมระวังในกาลต่อไป (ขอขมาพระรัตนตรัย ตัดเวร)

ข้าพเจ้าผู้เป็นผู้รับใช้พระพุทธศาสนา เป็นทาสแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆพระองค์ ขออัญเชิญบารมีแห่งพระพุทธเจ้าทุก ๆพระองค์ นับตั้งแต่ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยมีพระบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด ขอได้โปรดแผ่บารมีมายังน้ำบริสุทธิ์นี้ ให้มีพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ และมหิทธานุภาพ ในการป้อง ขจัด ทำลาย รังสีและพลังงานอันไม่ดีทั้งปวง ที่เข้ามาในอาณาบริเวณเขตน้ำมนต์แห่งนี้ ให้เกิดเป็นปราการแก้วคุ้มครองเจ็ดชั้น ทั้ง 6 ทิศคือเบื้องหน้า เบื้องหลัง เบื้องซ้าย เบื้องขวา เบื้องบน และเบื้องล่าง ให้กระแสเย็นแห่งน้ำมนต์นี้จงเปล่งออกไปเป็นรัศมีเรืองรอง คุ้มครองป้องกันและครอบปกคลุมบ้านทั้งหลังของข้าพเจ้านี้ ให้ผู้ที่อาศัยอยู่ภายในบ้านนี้ จงร่มเย็นปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวงด้วยเถิด (อธิษฐาน)

๔. จากนั้นจึงกล่าว คำอัญเชิญพระเข้าตัว

สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา
พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพลัง
อรหันตานัญ จะ เตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส

(ใน ระหว่างนี้ให้วางจิตเบา ๆ โน้มนำพระบารมีเข้าตัว หรือผู้ที่ได้แล้ว จะเห็นเองว่าจะมีพระบารมีเข้าตัวเป็นแสงสว่างวาบไปหมด ในขณะเดียวกับแสงนั้นก็พุ่งตรงไปยังน้ำที่เราเราจัดเตรียมไว้ จากนั้นน้ำนั้นจะเปล่งรังสีออกทองหรือรุ้งครอบบ้านไว้ บางทีจะดูเหมือนพระอาทิตย์ทรงกลดครอบบ้านทั้งหลังเอาไว้ )

พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ

๕. สวดมนต์ตามตำรับหลวงปู่ดู่

๖. ให้อธิษฐานซ้ำอีกครั้งตามข้อ ๓ และข้อ ๔

๗. จากนั้นให้นำน้ำไปรดรอบบ้านอีกรอบ เพื่อความเป็นสิริมงคลอีกครั้ง แล้วนำน้ำมนต์นั้นไปตั้งไว้ในที่อันควร เพื่อใช้ในการต่าง ๆอีก และคอยหมั่นเติมน้ำอย่าให้แห้ง เป็นอันเสร็จ ส่วนพระก็แช่เป็นประธานป้องกันรังสีของบ้านไว้อย่างนั้น จะเป็นการดีครับ

การครอบวิมานให้แก่คน สัตว์ วิญญาน
ลักษณะ สำหรับผู้ที่ได้แล้วนั้นจะกำหนดกำลังบุญทรงวิชาคาถาจักรพรรดิอาราธนากำลัง หลวงปู่ดู่เป็นที่สุดกำหนดเป็นวิมานทิพย์ครอบลงไป คนสัตว์หรือวิญญานได้ ในกรณีที่ เป็น สัตว์ หรือ คน เพราะยังมี ธาตุขันธ์อยู่ จึงเป็นการครอบวิมานเอาไว้เฉยๆ ตราบใดที่สัตว์ หรือ คนๆนั้น ตายไป จิตตอนตายเป็นจิตที่อ่อนมาก พอไม่รู้จะไปไหนเขาเห็นวิมานที่เราครอบให้เขาโดยการกำหนดจิตของเราใช้กำลัง จักรพรรดิ หลวงปู่ดู่ เขาตามแสงนั้นไป ก็สามารถไปสู่สุขติภูมิได้ แม้กระนั้น หากเขายังมีชีวิตอยู่ เราครอบวิมานให้เขาเรื่อยๆทุกวันๆจะเป็นการปรับทั้งกาย และใจเขาให้ดียิ่งๆขึ้น ส่วนในกรณีที่เป็นวิญญานการครอบวิมานจะให้ผลทันที โปรดดูเพิ่มเติมที่ อธิษฐานส่งวิญญาณ ปรับภพภูมิ แผ่บุญ หรือป้องกันวิญญาณขั้นสูง

สำหรับผู้ที่เข้าใจวิชา และตรวจสอบวิชาเป็น คืออย่างน้อย สามารถครอบวิมานได้ มีความคล่องดี จะเข้าใจได้ลึกซึ้งขึ้น

อานุภาพพระเครื่องของหลวงปู่ดู่

ดูรายละเอียด
« เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2009, 11:58:50 AM »




เดิมข้าพเจ้าไม่มีความสนใจในแก่นหรือหลักของพระพุทธศาสนา
เพียงแต่มีความเข้าใจอย่างผิวเผิน และได้ประสบเหตุการณ์บางอย่างในการทำงานในต่างจังหวัด
ทำให้มีความสนใจในเรื่อง “ พระพุทธคุณ ”
( พระพุทธคุณ คือ พลังงานที่อยู่ในพระ ) ว่าจะมีจริงหรือเปล่า
จึงได้เสาะแสวงหา พระเครื่องของพระเกจิอาจารย์และพระกรุต่างๆ
จากหนังสือพระเครื่องหลายฉบับ
โดยเสียเงินในการเช่าบูชาเป็นจำนวนมากพอสมควร


เนื่องจากข้าพเจ้ามีพระเครื่องจำนวนมากมาย
ทำให้ไม่มีการจัดเก็บให้เป็นที่เรียบร้อย
มารดาข้าพเจ้าซึ่งเป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ( เรียกว่า เป็นคนต่างด้าว )
และมีความนับถือใน พระศาสดากับพระโพธิสัตว์กวนอิม
มารดาเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านได้สวดมนต์ทำสมาธิมาตั้งแต่เมื่ออายุเพียง 15 ปี
ตั้งแต่สมัยอยู่ในประเทศจีน จนมีอายุในขณะนี้ 70 ปี
และตั้งแต่ที่ข้าพเจ้าจำความได้
ก็เห็นมารดาสวดมนต์บูชาพระพุทธองค์และพระโพธิสัตว์กวนอิมทุกวัน
ในช่วงเย็นไม่น้อยกว่าวันละ 3 ชั่วโมง


โดยปกติลูกหลานจะทราบเพียงแต่ว่า
มารดาข้าพเจ้ามีความสามารถในการทำนาย โหงวเฮ้ง
( โหงวเฮ้ง หมายถึง การดูตรงหน้า ดูลักษณะ 5 อย่าง เช่น ดูตา ใบหู จมูก เป็นต้น ) ได้อย่างเเม่นยำมาก
แต่จะบอกเฉพาะลูกหลานหรือญาติเท่านั้น

จนมากระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง
มารดาได้ให้ข้าพเจ้าไปจัดเก็บพระเครื่องต่างๆ ที่วางไว้ระเกะระกะให้เป็นที่เรียบร้อย
เนื่องจากเป็นวันหยุด
ข้าพเจ้าจึงนำพระเครื่องทั้งหมดออกมาทำความสะอาดแล้ววางไว้บนโต๊ะ
มารดาข้าพเจ้า ( ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว )
ได้เดินมาที่โต๊ะที่วางพระเครื่องจำนวนหลายร้อยองค์ของข้าพเจ้า
พร้อมกับได้หยิบพระเครื่องแยกออกมาจำนวนหนึ่งประมาณ 4-5 องค์
แล้วเลือกพระเครื่องออกมาเพียง 1 องค์ยื่นให้ข้าพเจ้า
องค์ที่เหลือได้วางกลับลงไปที่เดิม


เนื่องจากมารดาเป็นคนจีนพูดไทยชัดบ้างไม่ชัดบ้าง
ได้พูดภาษาจีน แปลเป็นไทยได้ความว่า
“ พระเครื่องที่หยิบมาทุกองค์มีพลังหรือพุทธคุณสูงมาก
แต่องค์ที่พุทธคุณสุดยอดคือองค์นี้ ” (พระเครี่องของหลวงปู่ดู่)


มารดาได้กล่าวย้ำให้ข้าพเจ้านำไปเลี่ยมทองแขวนคอไว้เป็นมงคลแก่ตัว
โดยปกติมารดาไม่เคยสนใจในเรื่องพระเครื่อง และอ่านภาษาไทยไม่ได้เลย
แต่ท่านจะตักบาตรทุกวันและนับถือหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี
กับ สมเด็จพระพุฒโฆษาจารย์ ( ฟื้น ) วัดสามพระยา
ข้าพเจ้ามีความสงสัยเป็นอย่างมากว่า
มารดาทราบได้อย่างไรว่าองค์ไหนมีพุทธคุณสูง
และท่านสามารถตรวจสอบได้จริงหรือไม่


พระเครื่ององค์ดังกล่าวเป็นพระที่ข้าพเจ้าได้รับจากการทำบุญกับเพื่อน
เป็นพระรุ่นใหม่และไม่มีราคาเช่าหาแต่อย่างใด จึงสอบถามมารดาว่า
แม่รู้ได้อย่างไรว่าพระองค์นี้ดีและองค์ที่วางลงไปมีพุทธคุณน้อยกว่า
( พระที่มารดาวางลงไป 3-4 องค์ ล้วนเป็นพระเครื่องที่นิยมในวงการ
และมีราคาเช่าหาสูงในระดับหลักหมื่นขึ้นไปทั้งสิ้น )
ข้าพเจ้าได้เลือกพระองค์ที่บูชามาในราคาสูง
มาให้ตรวจสอบอีกจำนวนหนึ่ง ผลก็คงเป็นเช่นเดิม


มารดาบอกว่า พระองค์นี้(พระเครื่องของหลวงปู่ดู่)ดีมาก เป็น “ผ่อสัก” ( คือ “ พระโพธิสัตว์ ” )
ให้นำไปเลี่ยมแขวนที่คอ หากไม่มีเงินก็จะให้

ข้าพเจ้าแย้งว่า
พระองค์นี้ได้มาจากการทำบุญราคาถูกมาก จะดีกว่าพระองค์ที่มีราคาแพงๆ ได้อย่างไร ?

มารดาบอกว่า
พระองค์ราคาแพงมีพุทธคุณสูง มีลักษณะพลังงานแบบสายน้ำที่ไหลเรื่อยๆ มาไม่ขาดสาย
แต่พระองค์ที่เลือกให้ (พระเครื่องของหลวงปู่ดู่)
มีพุทธคุณสูงสุด มีพลังงานเหมือนกับน้ำตกที่ไหลแรงมาก
และไม่ขาดสายเช่นกัน


ข้าพเจ้ายังไม่เชื่อว่ามารดาจะตรวจสอบพุทธคุณได้จริงๆ
จึงได้ไปยืมพระเครื่องที่มีราคาเช่าหาในหลักแสนมา 2 องค์
ให้มารดาตรวจสอบใหม่อีกครั้ง ปรากฏว่ามารดาก็ยังยืนยันเหมือนเช่นเดิม
แต่ข้าพเจ้าก็ยังแคลงใจ จึงได้พิสูจน์อีกครั้งหนึ่ง
โดยนำกล่องใส่พระที่ปิดสนิท 3 กล่อง

- กล่องที่ 1 บรรจุพระเครื่องของหลวงปู่ดู่
- กล่องที่ 2 บรรจุพระเก่าราคาแพง
- กล่องที่ 3 บรรจุเม็ดลูกอมกิมจ๊อ

ไม่สามารถมองเห็นว่าข้างในกล่องมีอะไร
แม้แต่ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบ เพราะได้วางสลับไปสลับมาจนตัวเองก็งง


มารดาได้ยกกล่องใส่พนมมือทีละกล่อง โดยบอกว่า
กล่องนี้มีพระองค์ที่มีพุทธคุณเยี่ยมยอด(พระเครื่องของหลวงปู่ดู่)

ส่วนกล่องนี้พุทธคุณเบาบางมาก ( พระเก่า )
อีกกล่องท่านได้โยนทิ้งถังขยะ
กล่องที่ถูกทิ้งถังขยะเป็นกล่องที่บรรจุเม็ดลูกอมกิมจ๊อ

จึงทำให้ข้าพเจ้าเริ่มเชื่อสนิทใจว่า
มารดาตรวจสอบพุทธคุณได้จริง และพุทธคุณมีจริง


จากจุดนี้ทำให้ผู้เขียนเสาะหาพระเครื่อง
ที่ปลุกเสกโดย หลวงปู่ดู่ วัดสะแก มาโดยตลอด
ต่อมาได้อ่านหนังสือ พระผู้จุดประทีปในดวงใจ
ทำให้สนใจเริ่มค้นคว้าคำสั่งสอนของพระพุทธองค์อย่างจริงจัง
และนำมาปฏิบัติธรรม จึงขอสนับสนุนแนวทางที่ หลวงปู่ดู่ วางไว้ว่า


ติดวัตถุมงคล
ดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล


เมื่อสามารถฝึกจิตตนเองและปฏิบัติธรรมได้อย่างจริงจังแล้ว
ก็จะค้นพบของดีวิเศษในตนเอง



ข้อมูลจาก ตามรอยธรรม ย้ำรอยครู

การดูกายทิพย์และวิธีการทรงกายจักรพรรดิ

ขอนำเรื่องราวบางอย่างที่ได้เรียนรู้มาจาก หลวงตาม้าสมัยบวชเรียนอยู่กับท่านที่วัดถ้ำเมืองนะ นำมาถ่ายทอดเรียบเรียงเป็นบทความนี้เป็นธรรมทานครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย
-----------------------------
การดูกายทิพย์และวิธีการทรงกายจักรพรรดิ

ร่าง กายที่เราใช้ในการดำเนินชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เป็นแค่ ธาตุ 4 ที่รวมตัวกันขึ้นมา ประกอบเป็นสิ่งที่โลกๆเรียกว่า เราแต่แท้จริงแล้วนี้ไม่ใช่เรา ไม่มีส่วนไหนในร่างกายอันเน่าเหม็นสกปรกนี้ ที่เป็นเราแม้แต่อย่างเดียว ทุกอย่างกำลังแก่ตัวลงตามกาลและเวลาและในไม่ช้า จะสลายตัวคืนสู่ธรรมชาติไปในที่สุด

กายทิพย์ คือรูปและนามที่ประกอบขึ้นจากจิตและมีความเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะอารมณ์ของ จิต กายทิพย์คือกายที่ซ้อนอยู่ในกายเน่าๆกายนี้ กายเน่าๆกายนี้ที่กายทิพย์ซ้อนอยู่เป็นเพียงเปลือกเท่านั้น ทุกวันนี้เราเหมือนตัวทากที่อาศัยอยู่ในเปลือก ซึ่งเปลือกนี้แลที่เป็นสิ่งสำคัญที่จะดำรงอยู่ในภพมนุษย์ได้ เมื่อเปลือกแตกไปจิต กายทิพย์นี้ก็ไม่อาจทรงอยู่ในภพมนุษย์ได้อีกต่อไป ซึ่งเป็นที่ๆเราเอาร่างกายเนื้อมารับกรรม ใช้กรรม หรือ มาสร้างบุญบารมีมาปฎิบัติ ฯลฯ ต่อไปนี้จะลงลึกในส่วนกายทิพย์ซึ่งเป็นรูปและนามที่ประกอบขึ้นถูกตกแต่งจาก อำนาจกรรม (ใครจะใหญ่เกินกรรม) และ สภาวะจิต ที่ส่งผลต่อกายทิพย์โดยตรงว่าจะมีรูปร่างเช่นไร

กำหนดดูกายทิพย์

หาก กำหนดดู ทำใจให้สบายๆ อธิษฐานขอกำลังหลวงปุ่ ขอดูเพื่อศึกษา แล้วกำหนดไป จับอารมณ์แรก จิตจะเห็นถึงกายทิพย์ที่ซ้อนอยู่ ไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องเกร็งวางใจสบายๆทรงอารมณ์กระแสหลวงปู่ที่ไหลผ่านเข้าสู่จิตเราให้มี กำลังแล้วน้อมไปอารมณ์คล้ายการนึกแล้วเห็นแต่ไม่ใช่อุปาทาน ขอแค่ใจสบายและอาราธนากำลังหลวงปุ่ มาก่อนกำหนดทุกครั้ง แล้วไม่ต้องลังเลไม่ต้องสงสัย ให้มีความกล้า นึกกำหนดไป หลวงตาเมตตาสอนว่าอุปาทานต่างๆ หลวงปู่ท่านคุมปิดให้หมด เราไม่ต้องกังวล นิมิตที่เห็นนั้นจริงทุกประการ ซึ่ง

หลักการนี้ยังใช้กับการกำหนดดูภพภูมิด้วย และที่สำคัญที่สุดและเป็นพื้นฐานหัวใจที่สำคัญที่สุดของวิชาเปิดโลกทั้งหมด คือ พรหมวิหาร ซึ่งหลักการง่ายๆ ไม่มีอะไรมากเลยหลวงตาสอนว่า " รักทุกคน ไม่เกลียดใคร ไว้ใจบางคน" ซึ่งแปลถึงว่าเราไม่มีอคติใดกับใครๆ รักทุกคนโดยไม่มีสิ่งใดแฝง แต่ในทางเดียวกันก็เป็นการมีเมตตาอย่างมีปัญญาทั้งนี้ในการทรงอารมณ์หลวงปู่ ในการน้อมไปดูนั้น การกำพระผงจักรพรรดิ จะช่วยได้มากสำหรับคนที่ฝึกใหม่ๆ ที่อำนาจจิตยังทรงกำลังหลวงปู่ได้ไม่นิ่งพอ
หลวงปู่ดู่ เป็นพระมหาบรมโพธิสัตว์เจ้าบารมีรวมทั้งก่อนและหลังรับพยากรณ์ถึง 80 อสงไขย กับเศษแสนมหากัป และ สร้างบารมีพิเศษด้านกำลังจักรพรรดิ และเป็นผู้ที่จักมาตรัสรู้เป็นพระศรีอาริยเมตไตรยในอนาคตกาลอีกประมาณล้านปี มนุษย์ ขอจงมั่นใจในกำลังและเมตตาท่านเถิด
คำแนะนำ - อย่าทิ้งการปฎิบัติภาวนา ตลอดชีวิต จนกว่าลมหายใจจะหมดไป

ประเภทของกายทิพย์

1. กายสัตว์นรก
- เป็นกายทิพย์ที่จะปรากฎกับผู้ที่อำนาจจิตใจอยู่ในกิเลศอย่างเข้มข้น มีจิตใจที่เร่าร้อน ไม่สงบ วุ่นวายมีความคิดที่น้อมไปสู่อกุศล กายสัตว์นรกยังจำแนกออกไป ตาม อบาย ขั้นต่างๆ เช่นเปรต หรือนรกชั้นต่างๆซึ่งความน่าเกลียดน่ากลัวของกายทิพย์เหล่านี้ก็แตกต่างกัน ออกไป
ตามชั้นของสถาวะจิตที่อยู่ในอารมณ์แห่งบาปเพียงใดเมื่อเราสามารถที่จะกำหนดดูกายทิพย์เหล่านี้ได้ เมื่อเราเห็นกายสัตว์นรกเราก็สามารถ
น้อมกระแสดูต่อได้ว่า เมื่อเขาตายไป จะไปตกนรก ชั้นใดแต่ในทางกลับกัน แทนที่จะปล่อยให้เขาตกนรก เราก็สัพเพครอบวิมาน
ให้ เขาเพื่อปรับพื้นฐานจิตใจเขาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครอบวิมานกำลังบารมีบุญตัวนี้จักไหลเข้าสู่กายทิพย์เขาทำให้เขาจะมี โอกาสที่จะดีขึ้นเรื่อยๆได้
หากไม่พ้นวิสัยของกรรมก็อาจรอดนรกได้ในที่สุด


2.กายในของสัตว์
- เมื่อพูดถึงกายในของสัตว์คนส่วนใหญ่คงนึกกันว่าจะมีลักษณะเหมือนสัตว์ชนิด นั้นๆ เช่นเมื่อสุนัขตายไป ก็ จะมีวิญญานในรูปร่างลักษณะ ของสุนัข แต่แท้จริงแล้วหาใช่เป็นยังงั้นเลย สุนัขที่เราเห็นนั้น แท้จริงกายในก็มีลักษณะคล้ายกับรูปร่างมนุษย์ที่ขดตัวลงไปคลาน 4 ขาในร่างของสุนัข และนับว่าเป็นความทรมานอย่างยิ่ง ภูมิของสัตว์พระพุทธเจ้าจึงจัดเป็นอบายภูมิชนิดหนึง แต่ทั้งนี้กายทิพย์ที่อยู่ในร่างของสัตว์ก็ยังมีลักษณะความหยาบละเอียดแตก ต่างกันไป เช่นหากเห็นสุนัขเรื้อนตามวัดวา พวกนี้ส่วนใหญ่คือสัตว์นรกที่ขึ้นมาชดใช้กรรมต่อในภูมิของสัตว์ ส่วนสุนัขที่เราเห็นอยู่ดีกินดี ก็ จะมีกายทิพย์ที่ยังเป็นกลางๆอยู่ ส่วนหากเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีบุญญาบารมีหรือผู้มีธรรม โดนกรรมวิสัย
ทำ ให้ต้องเกิดเป็นสัตว์ เช่นเกิดเป็นช้าง นก ฯลฯ จะมีความบริสุทธิ์ของกายทิพย์ที่มากกว่าสัตว์ทั่วไป แต่ทั้งนี้สำหรับโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มแล้ว
จะไม่มีการไปเกิดเป็นสัตว์ หรืออบายภูมิใดๆ อีกเลย จักขึ้นลงเพียง ภูมิมนุษย์ กับภูมิ เทวดา พรหม

3. กายมนุษย์
- มีความคล้ายคลึงกับร่างกายที่เราครองอยู่ในชาติปัจจุบันมากที่สุด เพราะกรรมตกแต่ง กายทิพย์มนุษย์ คือกายที่อยู่ตรงกลางของประเภทกายทิพย์ทั้งหมด โดยกายทิพย์มนุษย์โดยทั่วไปสภาวะ อารมณ์จะอยู่กลางๆ คาบเกี่ยวระหว่างบาปและบุญ ขึ้นๆลงๆ ไม่คานกันมากนัก แต่ทั้งนี้ก็ยังแตกต่างกันอยู่ในเรื่อง ความหมองคล้ำ หรือความใสของกายทิพย์ สำหรับกายทิพย์มนุษย์ที่หมองคล้ำนั้น เหตุเกิดจาก ศีล 5 ไม่ครบ ยิ่ง มากข้อก็ยิ่งหมองและสุดท้ายนำพาไปสู่การเป็นกายทิพย์สัตว์นรกในที่สุดส่วน สำหรับมนุษย์ที่มีศีล 5 เป็นพื้นฐาน กายทิพย์จะมีความละเอียดมากกว่ายิ่งสถาวะอารมณ์ดีด้วย ก็ยิ่งมาก และเข้าใกล้สู่การเป็นกายทิพย์เทวดาต่อไป
4.กายเทวดา
- คือผู้ที่สามารถทำสภาวะจิตจนตั้งมั่นอยู่ในบุญตลอดเวลา เป็นปกติ มีหิริโอตะปะ ความละอายในบาป เป็นปกติมีศีลบริสุทธิ์ และมี อารมณ์เมตตาระดับหนึง แม้จะมีอารมณ์ขุ่นเคืองบ้างในบ้างครั้งแต่ก็เบาบางมาก และหายไปทันทีและจิตก็กลับมาทรงอารมณ์ที่อยู่ในบุญทันที กายทิพย์ตั้งแต่ระดับเทวดาขึ้นไปจะมีเครื่องทรงที่มาจากอำนาจบุญที่เคยกระทำ ไว้ ไม่ว่าทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขาและรวมถึงความเข้มข้นของอารมณ์จิตที่ตั้งมั่นในบุญและความละเอียดของ จิต ซึ่งจะส่งผลต่อความะเอียดของกายเทวดาว่าจะสามารถเข้าถึงสวรรค์ชั้นใดได้ จาก 6 ชั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับบุญบารมี ด้วย จึงขึ้นอยู่กับเราที่จะทรงกายเทวดาได้ละเอียดแค่ไหนวิมานของเทวดาเองก็มี ความละเอียดประณีตแตกต่างกันตามกำลังบุญของเจ้าของวิมานนั้นๆ

5.กายพรหม
- มีความคล้ายคลึงกับกายทิพย์เทวดาแต่จะมีความละเอียดกว่ามากเครื่องทรงจะมี ความละเอียดกว่ามากและเบาบางลึกซึ้งสุขุม การจะทรงกายทิพย์ของพรหมได้จักต้องมีอารมณ์ตั้งมั่นและสมาธิของจิตที่ดีมาก อารมณ์ใจสบายอย่างที่สุด และ มีพรหมวิหาร เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาอย่างเข้มข้นครบถ้วน ซึ่งเป็นพรหมวิหารธรรม ความหมายตรงตามชื่ออยู่แล้ว
6.จิตพรหมลูกฝัก
- ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากเป็นเรื่องของคนที่เล่นณานสมาบัติขั้นสูงๆกัน พบมากในฤาษีและผู้ปฎิบัติบางสายที่เข้าใจผิดขั้นสุดท้ายว่านี้คือนิพพาน สถาวะนี้จิตจะไร้รูปไร้ร่าง ฯลฯ เมื่อตายไปจะไปติดแหง่กอยู่ในอรูปพรหม 4 ไปไหนไม่ได้ นิ่งอยู่อย่างนั้นไปไหนไม่ได้จนกว่าจะหมดกำลัง พอหมด หากมีกรรมบาปที่เคยทำเผลอๆดิ่งลงนรกต่อภูมินี้ให้อธิษฐานไว้เลยว่านับแต่บัด นี้ ตราบเข้านิพพานเราขอ ปิด อรูปพรหม 4 อย่างเด็ดขาด รวมถึงอบายภูมิ 4 แต่อธิษฐานอย่างนี้ ก็ต้องปฎิบัติด้วยต้องทำด้วยไม่งั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร
7.กายทิพย์ของพระอริยะเจ้า
- มีเครื่องทรงที่ใสคล้ายแก้วมีความบริสุทธิและละเอียดสูงส่ง ยิ่งตัดกิเลสมากข้อเท่าใดเข้าใกล้ความเป็นอรหันต์เพียงใดไล่ไปตั้งแต่ พระโสดาบัน พระ สกิทาคามี พระอนาคามีกายทิพย์รวมถึงเครื่องทรงก็ยิ่งใสเป็นแก้วมากขึ้นเท่านั้นส่วนถ้า ถึงกายทิพย์พระอรหันต์นั้นกายจะใสบริสุทธิ์หมดจดเป็นแก้วเป็นสภาวะกายทิพย์ ที่อยู่เหนืออำนาจของโลกสมมุติใดๆ และเมื่อละสังขารไป ก็จักเข้าสุ่แดนพระนิพพาน วิมานเป็นแก้วกายทิพย์ก็จักเป็นกายทิพย์พระวิสุทธิเทพ รูปลักษณ์กายพระอริยะเจ้านอกจากจะเป็นแบบมีเครื่องทรงโดยส่วนใหญ่ก็พบว่าจะอยู่ในลักษณะพระสงฆ์ได้ด้วย คือกายทิพย์ห่มบวชเป็นพระเลยก็อยู่ที่ความประสงค์ของพระอริยะองค์นั้นๆ

แต่ส่วนมากครูบาอาจารย์ที่เป็นพระเวลาท่านไปโปรดใครท่านจะไปในรูปลักษณ์พระเป็นส่วนใหญ่
8.กายทิพย์พระวิสุทธิเทพที่ประทับที่พระนิพพาน

เครื่องทรงแตกต่างกันตาม สาวกภูมิ ปัจเจกภุมิ พุทธภูมิ แต่ความบริสุทธิ์เหมือนกันวิมานที่พระนิพพานก็แตกต่างกันตาม สาวกภูมิ ปัจเจกภุมิ พุทธภูมิ สภาวะนิพพานทุกอย่างเป็นแก้ว บริสุทธิ์ลักษะเหมิอนเพชรประกายพรึกเมื่อต้องแสงแดด เป็นแดนทิพย์และสภาวะทิพย์พิเศษที่อยู่นอกเหนือจากอำนาจใดๆ ทั้งสิ้นไม่ใช่อัตตา และไม่ใช่อนัตตา ไม่ไช่สูญ เป็นวิมุติเหนือโลกเฉพาะผู้เข้าถึงจักเข้าใจถึงอารมณ์นี้อย่างถ่องแท้ปถุชน ทั่วไปก็ฟังเอาตามผู้ที่เข้าถึงแล้ว แต่ทั้งนี้พระวิสุทธิเทพหากท่านจะโปรดใครหรือใครกำหนดไปหาท่านท่านก็จะแสดง เป็นรูปลักษณ์พระพุทธเจ้าห่มจีวร(หากเป็นพระวิสุทธิเทพพุทธภูมิ)หรือเป็นรูป ลักษณ์พระสงฆ์หากเป็นพระวิสุทธิสาวกภูมิ เรื่องวิมานนี้ก็นิยามได้ว่าพลังงานนั้นต้องมีทั้งรูปและนามถึงจะทรงตัวอยู่ ได้วิมานแต่ละแบบที่จะรองรับกายทิพย์เรา ณ สวรรค์แต่ละชั้นนั้น

ก็เป็น เหมือนภาชนะรองสภาวะจิตตามกำลังนั้นๆ เป็นทั้งรูปและนามเกาะกันอยู่ แต่นั้นยังเป็นแบบสมมุติ วิมานแก้วที่พระนิพพานนั้นก็เป็นเหมือนภาชนะรองรับสภาวะธรรมที่เป็นที่สุด แล้ว มีทั้งรูปและนามประกอบกัน แต่เป็นรูปนาม แบบวิมุติและสุดท้ายจริงๆแล้ว รูปนามแบบวิมุตินี้ก็คือไม่มีอะไร นิพพานคือนิพพาน สภาวะอันปราศจากทุข์ แต่ไม่ใช่สูญ ที่สูญไปคือกิเลศ
-------------------------------------------
วิธีการทรงกายจักรพรรดิ

ก่อนจะเข้าสุ่การทรงกายจักรพรรดิ ให้ฝึกการบวชจิตให้เป็นปกติ
การบวชจิต-บวชใน

หลวงปู่ปรารภว่า... จะเป็นชายหรือหญิงก็ดี ถ้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติมีศีล รักในการปฏิบัติจิตมุ่งหวังเอาการพ้นทุกข์เป็นที่สุด
ย่อมมีโอกาสเป็นพระกันได้ทุกๆ คนมีโอกาสที่จะบรรลุมรรค ผล นิพพาน ได้เท่าเทียมกันทุกคนไม่เลือกเพศ เลือกวัย หรือฐานะ แต่อย่างใด
ไม่มีอะไรจะมาเป็นอุปสรรคในความสำเร็จได้ นอกจากใจของผู้ปฏิบัติเอง ท่านได้แนะเคล็ดในการบวชจิตว่า.....

" ในขณะที่เรานั่งสมาธิเจริญภาวนานั้น คำกล่าวว่า

พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ให้นึกถึงว่าเรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัฌาย์ของเรา
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ... ให้นึกว่าเรามีพระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ... ให้นึกว่าเรามีพระอริยสงฆ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
แล้วอย่าสนใจขันธ์ 5 หรือร่างกายเรานี้ ให้สำรวมจิตให้ดี มีความยินดีในการบวช

ชายก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุ หญิงก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุณี
อย่างนี้จะมีอานิสงส์สูงมาก จัดเป็นเนกขัมบารมีขั้นอุกฤษฎ์ทีเดียว "

กาย ทิพย์ของเรานั้นหากก่อนภาวนาเราได้ตั้งจิตบวชพระแล้ว ระหว่างที่ภาวนาอยู่กายทิพย์เราก็เป็นพระมีรัศมีกายทิพย์สว่างมากอย่างนี้จะ มีอานิสงส์พลังบุญสูงมาก ภาวนาได้ง่าย เนื่องจากตั้งจิตไว้ในศีลและฐานะอันสูง อย่างนี้เรียกว่าบวชจิต ซึ่งการบวชจิตด้วยใจกุศลศรัทธานั้น มีอานิสงค์ดีกว่าผู้ที่บวชรูปลักษณ์ภายนอกแล้วไม่บวชจิตเสียอีก แต่หากบวชได้ทั้งนอกและในอานิสงค์ก็ทวีคูณแต่สำหรับฆราวาสผู้ครองเรือนนั้น เวลาสวดมนต์หรือภาวนาทำสมาธิ ตั้งจิตบวชเป็นพระแล้วอานิสงค์มากภาวนาได้ง่าย หลวงตาท่านสอนไว้ว่าหากเราภาวนาคาถาจักรพรรดิสบายๆ ทรงไว้ ภาวนาบ่อยๆ กายทิพย์จิตจะทรงเครื่องจักรพรรดิ เพราะว่าเป็นไปตามพลังงานที่เราสวด พอเป็นเช่นนี้แล้วอารมณ์สภาวะทิพย์นั้นจะทรงตัวได้เข้มขึ้นส่งผลดีต่อการปฎิ บัติ

การทรงกายจักรพรรดิ
เราสามารถจะทรงกายพระจักรพรรดิได้ก็ต่อเมื่อเราสามารถปรับสภาวะจิตให้เข้าถึงกายทิพย์ตั้งแต่กายเทวดาขึ้นไป คุณสมบัติพิเศษของกายทิพย์
คือ เมื่อเราทรงกายเทวดา หรือ พรหม เราก็ทรงเครื่องจักรพรรดิเข้าไปอีกซึ่งจะทำให้มีกำลังบุญมาก เครื่องทรงจักรพรรดินี้ก็จะทรงที่กายทิพย์
ตั้งแต่ชั้นเทวดาขึ้นไปตราบใดที่อารมณ์จิตยังไม่ตก สำหรับผู้ที่ฝึกบ่อยๆเข้าจนชำนาญแล้ว ก็จะสามารถทรงเครื่องจักรพรรดิเป็นปกติไปเลยเวลา

ไปที่ไหน เมื่อเราทรงกำลังบุญเปิดโลก รัศมีจะแผ่ในโลกทิพย์กว้างไกล การสัพเพมีกำลังมาก ฯลฯเรียกได้ว่าหากจะชำนาญในวิชาขั้นสูงของวิชาเปิดโลกได้ก็ต้องฝึกทรง เครื่องจักรพรรดิให้ชำนาญ ที่สำคัญอารมณ์ต่างๆ อย่าไปหมายมั่นว่าฉันจะทรง ให้เราทำอารมณ์ใจสบายๆ ก็พอ พยายามทำใจให้ถึงสภาวะของกายทิพย์ที่อธิบายไว้ตั้งแต่ชั้นเทวดาขึ้นไป ทำไปเพื่อความดี เพื่อความระงับกิเลศ เดี๋ยวก็ได้เองถึงเอง

การทรง คือการทรงคาถาจักรพรรดินั้นเอง คาถาจักรพรรดิหลวงปู่เข้าถึงได้หลายระดับเมื่อเราเข้าถึงระดับที่ทรงคาถาจักรพรรดิจน
เป็น อารมณ์ เราไม่ต้องมานั่งไล่ กายทิพย์ เพราะศีล อารมณ์ สภาวะกำลังบุญ พระไตรรัตน์ อยู่ในคาถาจักรพรรดิ หมดแล้ว ขอเพียงทำใจให้สบาย นึกถึงหลวงปุ่ ขอบารมีท่าน ตั้งท่านเป็นอารมณ์ พระพุทธเจ้าทรงเครื่องจักรพรรดิ อยู่บนหัว หลวงปู่ทวดอยู่บ่าซ้ายหลวงปุ่ดุ่อยู่บ่าขวา ภาวนา คาถาจักรพรรดิให้ใจสบายๆ อารมณ์สบายๆ คาถาจักรพรรดิเป็นอารมณ์ยิ่งดีเข้าเท่าไร โดยไม่ต้องสนใจว่าถึงไหนๆ เดี๋ยวก็ค่อยๆทรงได้เอง

คาถาจักรพรรดิ หลวงปู่ดู่ คือ คาถาทรงกายจักรพรรดิ

เมื่อ ภาวนาคาถาจักรพรรดิจนเป็นอารมณ์ ฝึกบ่อยๆ ทำให้เป็นนิสัย ให้เป็นปกติ ฝึกให้ชำนาญ ใช้เวลา มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับ ความตั้งใจของคุณเอง ข้อคิดที่ฝากไว้คือ อย่าเหลิง ไม่ว่าได้ถึงไหน อย่าหลงตนเอง ไม่ว่าคนจะสรรเสริญตนเช่นไร ให้มีสติ ตั้งใจภาวนา ไม่ประมาท ไม่มีใครจะใหญ่เกินกรรมเมื่อทำได้ คุณก็จะได้ พลังเหนือพลัง ที่จะสร้างประโยชน์สืบไป กำลังพระ+จักรพรรดิหลวงตาท่านเองก็ทรงเครื่องจักรพรรดิ กายในท่านก็บวชพระจึงเป็นกำลังเหนือกำลัง และที่สำคัญที่สุด อย่าทิ้งหลวงปู่เป็นอันขาด ไม่งั้นทุกอย่างที่กล่าวมา คุณจะไม่มีกำลังของตนเองที่จะทำได้แม้แต่ข้อเดียว เราปฎิบัติไปโดย ตั้งให้ท่านคุมเราทุกขณะจิตให้อธิษฐานไว้ยังนี้เลย

วิชาต่างๆที่อธิบายมานี้ให้ไว้เป็นแนวทางสำหรับผู้ที่มีจริตแบบนี้ เป็นตัวเลือกหนึ่งในการฝึกปฎิบัติในสายเปิดโลก ไม่ปฎิบัติแบบนี้ก็ไปต่อถึงจุดหมายได้เหมือนกันบางคนชอบแบบลึกซึ้งบางคนชอบ แบบเรียบง่ายก็ว่ากันไปเสมือนว่ามีถนน 10 สาย ที่จุดสุดท้ายถึงที่เดียวกันไม่ว่าปฎิบัติไปแบบไหน ขอให้ถูกตามที่หลวงปู่หลวงตาสอนเป็นพอ

ถนนแต่ละสายจะแตกต่างกันที่ลีลาการเดินทางและประโยชน์ที่ สร้างทิ้งไว้ระหว่างเดินทาง มากน้อย แตกต่างกันอยู่ที่ตัวเรา ใครที่เน้นอยากจะช่วยผู้อื่นให้มากๆ ช่วยสรรพวิญญาณอย่างลึก ส่วนมากเป็นพุทธภูมิหรือสาวกภูมิพิเศษก็จะเดินอีกสายหนึง กับท่านที่มุ่งตัดกิเลศเพื่อพระนิพพานซึ่งทุกสายทุกทางย่อมถึง ที่หมายเดียวกัน บริสุทธิ์เหมือนกัน ขอโมทนา

จะอ่านไว้เป็นความรู้หรือจะ เอาข้อที่ตนสนใจลองปฎิบัติดูก็ได้ ไม่ว่าปฎิบัติเน้นแบบใดจุดสุดท้ายก็เหมือนกัน ทุกคนมีหลวงปู่ สุดท้ายสำคัญที่สุด อยู่ที่ความสบายของใจนั้นและธรรมรักษา

วิธีตั้ง ภูเขาบุญ

ภูเขาบุญ คือ กองบุญใหญ่ที่หลวงปู่ดู่อาราธนาบุญของพระพุทธเจ้าทั้งหลายมาประดิษฐานที่นี้
หลวงปู่ท่านเมตตาต้องการสงเคราะห์วิญญาณที่อยู่ที่นั่น รวมทั้งที่ผ่านไปผ่านมา จะได้อนุโมทนาเอาจากกองบุญอันนี้ เพราะการตั้งจิตแผ่เมตตาย่อมให้ผลเป็นคราว ๆ ไป
แต่การทำอย่างนี้(ตั้งภูเขาบุญ) วิญญาณเหล่านั้นไม่ต้องรอคนแผ่เมตตาให้ เขาสามารถโมทนาบุญเอาได้ตลอด
จะได้เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้คลายทุกข์ยากลงบ้าง


ในสมัยหลวงปู่ดู่มีชีวิต ท่านจะอธิษฐานซ้ำเข้าไปเรื่อย ๆ เรียกว่า เพิ่มพูนภูเขาบุญให้แน่นหนามั่นคงยิ่ง ๆ ขึ้นไป
นอกจากนี้ ท่านยังส่งเสริมให้ลูกศิษย์กรรมฐาน เมื่อเวลาปฏิบัติดี ๆ ก็ช่วยกันอธิษฐานบุญสมทบเข้าไปอีกเรื่อย ๆ
จึงนับเป็นหนทางทำบุญอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่าด้วยบุญบารมีของหลวงปู่ ภูเขาบุญแห่งนี้จะอยู่ไป
ตราบนานเท่านาน


การอธิษฐานจิตตั้งภูเขาบุญนั้น ต้องเริ่มจาก
๑. ทำจิตของเราให้เป็นสมาธิ ให้สว่าง หรือมีปีติอื่น ๆ เช่น ขนลุก กายโปร่งเบา ฯลฯ เพื่อให้การอธิษฐานได้ผลสัมฤทธิ์เต็มที่ (แปลว่าต้องทำตอนจิตมีกำลัง)

๒. ต่อไปก็ระลึกถึงหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ขอท่านเมตตาอัญเชิญบุญบารมีพระพุทธเจ้า ตั้งเป็นภูเขาบุญ (กรณีที่มีภูเขาบุญอยู่แล้ว เช่นที่วัดสะแก ก็เปลี่ยนเป็นอธิษฐานสมทบกองบุญเดิม) ซึ่งขั้นนี้แล้วแต่ผู้ปฏิบัติ หากเห็นแสงสว่างที่ลงมาที่ภูเขาบุญก็จะเกิดปีติและความเลื่อมใสยิ่งขึ้นไป อีก หากไม่เห็น ก็ให้น้อมจิตเลื่อมใส แล้วกำหนด (สมมติ) เป็นแสงสว่างลงมาที่กองบุญ

สิ่งที่ควรทราบเพิ่มเติมก็คือ
ก. การอธิษฐานบุญบารมีพระพุทธเจ้า (และครูบาอาจารย์) มาตั้งเป็นภูเขาบุญ ใช้ในกรณีที่พิจารณาเห็นว่าในบริเวณนั้นมีวิญญาณมาก และยากที่ให้บุญคราวเดียวจะคลายทุกข์เขาได้ จึงจำเป็นต้องตั้งกองบุญเป็นการถาวร (อยู่ได้นานขนาดไหนก็ขึ้นอยู่กับกำลังจิตของผู้อธิษฐานด้วยเหมือนกัน)

ข.ในขณะอธิษฐาน ก็ให้วางจิตด้วยเมตตาและกรุณาในฐานะเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย
เสร็จแล้วก็วางจิตด้วยอุเบกขาว่า สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ใครรับได้หรือไม่ได้ ก็สุดแต่กรรม
เราก็ทำหน้าที่ของเราเท่านั้น สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


ค.การอธิษฐาน สามารถทำซ้ำ ๆ ในโอกาสอื่น ๆ ได้อีก เพื่อให้กองบุญอยู่มั่นคง ยาวนาน

ง. สิ่งที่ต้องตระหนักก็คือ การอธิษฐานจิตตั้งกองบุญนั้นยังเป็นขั้นของการปรุงแต่ง เพียงแต่เป็นการปรุงแต่งเพื่อพัฒนาคุณภาพจิต กล่าวคือสร้างความชำนาญในการทำภาวนา(ความตั้งมั่นของจิต)ประการหนึ่ง แล้วยังจะช่วยสร้างเสริมเมตตาจิตอีกประการหนึ่งด้วย



***เรียบเรียงจากบทความของ คุณสิทธิ์