จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

1. พิสูจน์วิญญาณ- พิสูจน์นรกสวรรค์



ประสบการณ์วิญญาณและการอุทิศบุญของคนธรรมดา

ธรรมทาน
บทความเรื่องนี้เป็นประสบการณ์ของการศึกษาความรู้ทางพุทธศาสนา  เนื่องจากผู้เขียนฉุกคิดถึงคำสอนของพระพุทธศาสนา  เรื่องความไม่เที่ยงทุกคนเกิดมาต้องตาย  คำถามในใจมันเกิดขึ้นมาว่าเมื่อเราตายไปแล้วเราจะเป็นอะไรต่อ  พุทธศาสนาสอนถึงภพภูมิต่างๆ  มีทั้ง  พรหม  เทวดา  มนุษย์  สัตว์เดรัจฉาน  นรก  ถ้ามีอยู่จริงเราจะไปอยู่ที่ไหนขึ้นอยู่กับกรรมดี  กรรมชั่วที่เราทำไว้ในปัจจุบัน
                 พุทธศาสนาสอนให้เราสร้างบุญความดี  ในช่วงที่มีชีวิตอยู่พยายามหลีกเลี่ยงการทำชั่ว  ซึ่งพุทธศาสนาสอนถึงเรื่องวิญญาณ,  นรก,  สวรรค์,  นิพพานมีจริง  บุญบาปมีผลต่อเราจริง
            1.  พิสูจน์วิญญาณ
                  วิญญาณหรือที่คนเราเรียกว่า  ผี  มีจริงหรือ  เมื่ออายุ  17  ปี  มีอาคนหนึ่งที่ผมนับถือให้กุมารทองผมมาเลี้ยงไว้  ผมก็ไม่รู้ว่าในขวดนี้มีวิญญาณกุมารทองอยู่จริงไหม  พอดีรู้จากเพื่อนว่ามีลุงคนหนึ่งชื่อทองคำ  ท่านตรวจสอบด้วยสมาธิได้  ผมจึงเอากุมารไปให้ท่านดู  ท่านจับอยู่ครู่หนึ่ง  แล้วบอกว่ามีกุมารอยู่จริง  ผมก็รับฟังแต่ก็ไม่สามารถรู้ชัดแจ้งได้  พอดีลูกชายของลุงทองคำ  เขามีสมาธิดีสามารถให้กุมารทองเข้าทรงได้  จึงลองให้เข้าทรงกุมารทองของผมดู  ปรากฏว่าพอกุมารเข้าทรงร่าง  ร่างกายเขาสั่นตลอดเวลา  แต่สามารถพูดคุยกับผมเป็นเสียงเด็ก คุยกันเรื่องส่วนตัวของผม  ที่ผู้ทรงอยู่เขาไม่รู้เรื่องด้วยได้จริง ความเชื่อเรื่องวิญญาณก็มีมากขึ้น  ภายหลังผมได้ทั้งรักยม  และกุมารมาอยู่ด้วยจำนวนมาก  เวลากินข้าวต้องเรียกกินด้วยทุกครั้ง  บางครั้งนอนพอใกล้จะหลับจิตตกภวังค์  จะมีมือเล็กๆ  มาจับขาหรือสะกิดเป็นประจำจนชิน  ตอนนี้มั่นใจมากว่าวิญญาณมีจริง
                  ผมนำกุมารและรักยมจำนวนหนึ่งไปไว้ที่บ้านพ่อแม่  ที่สิงห์บุรีบอกท่านว่าเอามาช่วยเฝ้าบ้าน  ท่านเองก็ฟังแต่ไม่เชื่อไม่สนใจ ตกกลางคืน  กุมาร  รักยมวิ่งเล่นกันในบ้านได้ยินเสียงแต่ไม่เห็นตัวพอแม่ผมนอนหลับจะมีเด็กๆ  เข้ามานั่งทับอกกวนไม่ให้นอน ผลปรากฏว่าทั้งพ่อ แม่  เชื่อสนิทเลย  และช่วยผมเลี้ยงเด็กๆ  เหล่านี้ เพราะผมไม่ได้อยู่บ้านกับท่าน  เวลามีคนมาเรียกหาพ่อแม่ผม  ยามที่ไม่มีคนอยู่บ้าน  จะมีเสียงคนในบ้านรับปากแทน ยามค่ำๆ  คนแถวนั้นจะเห็นเด็กๆ  วิ่งเล่นอยู่ในบ้านหลายคน  ที่รู้เพราะเขามาบอกให้ฟัง เพราะสงสัยว่าเด็กๆ  มาจากไหนกัน
                  วิญญาณเหล่านี้มาอยู่กับผม  โดยผมเองรู้วิธีเลี้ยงเขาด้วยการเรียกกินด้วยกัน   แต่พอมามีความรู้เรื่องวิธีการให้บุญปัจจุบัน เด็กๆ  เหล่านี้ได้รับบุญตลอด และเขาเหล่านั้นปฏิบัติธรรมจนสภาพวิญญาณเขาเปลี่ยนเป็นเทพกุมารหมดแล้ว  อาคมที่สร้างปลุกเสกเขามาหมดสภาพควบคุมเด็กเหล่านั้น  แต่เด็กเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ไปไหน คอยอยู่ช่วยงานกับผม
            2.  พิสูจน์นรกสวรรค์
                  นรกสวรรค์มีจริงหรือ  เราพิสูจน์ด้วยตาเนื้อไม่ได้หรอก  ต้องพิสูจน์ด้วยตาใน  คือดวงตาจากสมาธิ  ผมพยายามพิสูจน์ด้วยวิธีการต่างๆ  มามาก  แต่ไม่สำเร็จ คือไม่เห็น ได้แต่คุยกับวิญญาณด้วยวิธีเข้าทรง,  ผีถ้วยแก้ว  จนกระทั่งผมได้อ่านหนังสือของหลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง  จังหวัดอุทัยธานี  ท่านสอนเรื่องการฝึกสมาธิเพื่อพิสูจน์โลกวิญญาณ  ผมได้ทดลองฝึกกับครูฝึกที่วัดปรากฏว่าครั้งแรกไม่รู้เรื่องเลย  นั่งเพ่งจนปวดลูกตาก็ไม่เห็นอะไรเลย กลับบ้านด้วยความผิดหวัง  แต่ไม่ยอมท้อถอย  ลองศึกษาวิธีการของหลวงพ่อวัดท่าซุง  คำอธิบายต่าง ๆ  พยายามทำความเข้าใจ  และลองไปฝึกที่วัดต่ออีก  6  ครั้ง  ปรากฏว่าครั้งสุดท้ายผมเริ่มเข้าใจการวางจิตพุ่งจิต  ปรากฏว่าผมเห็นว่าตัวผมได้ขึ้นไปที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์  ได้ไปกราบพระอินทร์และแม่ศรี  แต่การเห็นยังไม่ค่อยชัดเจนนัก  ทันใดนั้นก็มีนางฟ้าท่านหนึ่งวิ่งเข้ามาหาผมด้วยอาการดีใจ  พอมาถึงผมก็เปลี่ยนสภาพร่างกายที่นุ่งผ้าถุงมีสไบเฉียง อายุประมาณ  16 – 17  ปี  กลายร่างเป็นยายของผมที่ชื่อยายจำปา  ซึ่งท่านเสียชีวิตไปประมาณ  5  ปีแล้ว  ตอนท่านจะสิ้นใจ  ท่านพุทโธจนหมดลมหายใจ  ด้วยความดีใจที่ได้พบยาย ทำให้จิตผมหลุดจากสมาธิ  ร่วงลงมาที่ร่างที่นั่งอยู่ที่วิหาร  100  เมตร  วัดท่าซุง พยายามรวมสมาธิเพื่อขึ้นไปใหม่ แต่ก็ไม่สำเร็จ พอหมดเวลาสอนสมาธิ  ผมขออนุญาตครูฝึก  ขอถามปัญหาและการวางจิต  ตัวต่อตัว  ครูฝึกท่านเลยสอนการวางจิตและให้พุ่งมองลงไปที่นรก  พอผมทำจิตตามอย่างเต็มที่ปรากฏว่าผมเห็นภาพของกะทะทองแดงด้วยความทรมานและเห็นนายนิรยบาลกำลังกรอกน้ำทองแดงให้สัตว์นรกอยู่  การเห็นเกิดขึ้นชั่วขณะจิตผมก็ตกจากสมาธิด้วยความตื่นเต้นและสังเวช  หลังจากกลับจากวัดผมพยายามฝึกเองหลายครั้ง แต่ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จ  จนจับเคล็ดว่าตอนเราตื่นนอนกลางดึกจิตเรายังอยู่ในภวังค์ แต่มีสติลองใช้เวลานี้ทำสมาธิ เพื่อพิสูจน์โลกวิญญาณดู  เห็นท่าจะดี พอทดลองปรากฏว่าได้ผลดี  จิตรวมได้ดี  สามารถเห็นโลกวิญญาณที่เราต้องการไปดูได้  และไม่ต้องกลัวอะไร  เพราะเราอาศัยบารมีพระพุทธเจ้าไปกับเรา
                  สรุปแล้วผลการพิสูจน์โลกวิญญาณ  ส่วนหนึ่งที่ผมประสพมานี้ ทำให้ผมเชื่อโดยสนิทใจว่าวิญญาณ,  นรก,  สวรรค์,  นิพพานมีจริง  แต่จะพิสูจน์ด้วยตาเนื้อไม่ได้  ต้องใช้สมาธิปรับคลื่นจิตของเราให้ละเอียด  จนสามารถสื่อสารตรงกับโลกวิญญาณได้  ก็จะสามารถพิสูจน์โลกวิญญาณได้เอง  ผมเองการเห็นการรู้ยังไม่ชัดเจนมากนัก  เนื่องจากกิเลสยังมีมาก  แต่ผู้หนึ่งที่ไปฝึกด้วยกัน  เขาเห็นชัดเท่าลืมตาและพูดคุยสื่อสารกันได้เลย ทั้งๆ  ที่ไปฝึกเพียงครั้งแรก  และเมื่อกลับมาอยู่บ้าน  บุคคลผู้นี้ทดลองดูก็สามารถติดต่อโลกวิญญาณได้ภายใน  10  วินาที  ซึ่งเป็นผลบุญปฏิบัติในอดีตชาติของเขาเองที่ส่งผลต่อเนื่องมาในปัจจุบัน  เรื่องอย่างนี้แข่งกันไม่ได้  เพราะผลบุญแต่อดีตทำมาไม่เท่ากัน  ท่านใดอยากพิสูจน์โลกวิญญาณต้องลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง  จะพิสูจน์ได้เอง  เมื่อพบเห็นแล้วจะไม่กล้าทำบาปเลย จะมุ่งแต่ทำบุญสร้างบารมี  เพื่อหนีนรกไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้นจนถึงพระนิพพาน  และเมื่อทำจนพร้อมแล้วจะไม่กลัวความตาย  ไม่กลัวผี  เพราะรู้เรื่องดีแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ดูดวงไพ่ยิปซีฟรี 1 คำถาม

วิธีดูดวงไพ่ยิปซีฟรี 1 คำถาม 

1.เขียนแนะนำตัวสักเล็กน้อย เช่น ชื่อ นามสกุล อายุ

2.เขียนคำถามที่คาใจอยู่ในตอนนี้ 1 คำถาม โดย
2.1 หากเป็นเรื่องของตัวเอง ก็ให้เขียนคำถามพร้อมแนบภาพถ่ายของคุณมาด้วย เช่น จะไปเรียนต่อที่ไหนดีระหว่างโรงเรียนA หรือ B หรือ C
2.2 หากเป็นคำถามที่คุณต้องไปเกี่ยวข้องกับคนอื่น ก็ให้แนบภาพของคุณและบุคคลที่คุณไปเกี่ยวข้องมาด้วย เช่น ชายหรือหญิง คนนี้ชื่อ.....คิดอย่างไรกับเราอยู่
3.เลือกหมายเลขตั้งแต่ 1 ถึง 10 มาจำนวน 3 หมายเลข เลขไหนก่อนหลังก็ได้
เช่น เลือกหมายเลข 9, 2 , 8 หรือ 1 ,5 ,9

 ปิดการดูไพ่ยิปซีแล้ว

วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แจกฟรี สมุนไพรพลูคาว ช่วยในการปรับสมดุลและช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน

แจกฟรี สมุนไพรพลูคาว ช่วยในการปรับสมดุลและช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน


พลูคาวดีอย่างไร-ข้อมูลอีกมุมหนึ่งของพลูคาว



   พลูคาวดีอย่างไร-การแพทย์ ทางเลือกกำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วโลกเป็นแนวโน้มใหญ่(Mega-trend)ของโลกใน การดูแลรักษาสุขภาพของตัวเอง ปัจจุบันการแพทย์ทางเลือก ก็มีมากมายโดยเฉพาะสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถพึ่งพาการแพทย์แผนปัจจุบันหรือ กระแสหลักได้ กล่าวกันว่าในชาติที่พัฒนาแล้วระบบการดูแลรักษาสุขภาพโดยการแพทย์แผน ปัจจุบันกำลังถึงทางตัน และเสี่ยงต่อการพังทลายทั้งระบบเพราะเหตุผลสำคัญสี่ประการคือ

 1. นายจ้างไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นเรื่อยๆได้อีกต่อไป 
 2. ผู้ป่วยไม่พอใจในระบบการรักษาปัจจุบัน
 3. ระบบการประกันภัยที่ไม่ดีทำให้คุณธรรมการทำงานในวิชาชีพของแพทย์ตกต่ำ  
4. การขาดแคลนเจ้าหน้าที่พยาบาล ส่วนเหตุผลอื่นเช่น ค่าเบี้ยประกันที่สูงขึ้น การขาดแคลนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและระบบการจัดการที่ไม่ทันสมัย ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดทางตันดังกล่าวด้วย 

 ช่องโหว่สำคัญอีกอย่างของระบบการแพทย์แผนปัจจุบันนี้ก็คือ การวางใจในการระบบผ่าตัดและยาที่ทันสมัย หรือการรอให้เกิดปัญหาสุขภาพแล้วจึงหาหนทางแก้ไขปัญหา การดูแลสุขภาพที่ถูกต้องจึงควรเป็นระบบการป้องกันโรคจะดีกว่า อ่านต่อ

วันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ยักษ์คืออะไร , มีอะไรอยู่ในวัตถุมงคลต่างๆ

คัดบทความมาจาก ประสบการณ์วิญญาณและการอุทิศบุญของคนธรรมดา นำความรู้มาแบ่งปันกันครับ



ยักษ์ก็คือ
ผมมีวัตถุมงคลประเภทที่เป็นองค์ราหู  องค์ท้าวเวสสุวรรณอยู่  ลองติดต่อหาผู้ติดตามปรากฏพบยักษ์ครับ  ยักษ์เราจะคุ้นเคยกันมากในวรรณคดีของไทยเรา  แล้วจริงๆ  ล่ะยักษ์มีด้วยหรือได้กราบทูลถามท่านผู้อยู่สูงสุดเบื้ยงบน  เพราะผมก็สงสัยเช่นกัน  ได้รับคำตอบว่า  ยักษ์ก็คือเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกานี่แหละ  เทวดาทั่วไปที่สวรรค์ชั้นนี้เป็นบริวารอยู่ในปกครองขององค์ท้าวเวสสุวรรณ  แต่ยักษ์คือเหล่าเทวดาที่เป็นผู้รับใช้องค์ท้าวเวสสุวรรณ  มีทั้งฤทธิ์และพลังร่างกายสูงใหญ่  นุ่งจูงกระเบน  ใส่เสื้อแขนสั้น  มีอินธนูยอดแหลม  ที่ไหล่มีสายสังวาล
ผมลองสอบถามท่านยักษ์ที่รักษารูปองค์ท้าวเวสสุวรรณดู
                               ผม    :    สวัสดีครับขอทราบว่าท่านมาจากไหน
                             ยักษ์    :    เรามาจากป่าหิมพานต์  เบื้องบนให้มารักษารูปองค์ท้าว   
                                             เวสสุวรรณ
                               ผม    :    ป่าหิมพานต์นี่อยู่ภูเขาหิมาลัยใช่ไหม
                             ยักษ์    :    ไม่ใช่  อยู่ในภพวิญญาณอยู่เชิงเขาไกรลาส
                               ผม    :    ใช่ทางเหนือของอินเดียไม๊ครับ
                             ยักษ์    :    ไม่ใช่อยู่ในโลกทิพย์
                               ผม    :    แล้วบ้านผมมียักษ์หลายท่านไหม
                       ยักษ์    :    มีหลายคน  ก็ที่อยู่กับคนรักษาคน แล้วก็พวกที่อยู่กับรูปท้าวเวสสุวรรณ  รูปราหู  ส่วนใหญ่ก็ช่วยเธอเก็บวิญญาณลำบากเอาไปไว้ที่ดาดฟ้าให้พวกเทวดาสอน
                               ผม    :    ตอนไปเก็บวิญญาณพวกนั้นเขาไม่กลัวยักษ์หรือ
                       ยักษ์    :    ไม่หรอกเราไปพูดชวนเขาดีๆ  ชวนเขามาปฏิบัติธรรมรับบุญที่นี่  จะได้ไม่ไปลำบาก  เราเอาบุญอุทิศให้วิญญาณพวกนี้ก่อน  ให้รู้ว่าได้บุญแน่มันก็ตามมาแล้ว
                               ผม    :    ขอบคุณมากที่ร่วมงานสงเคราะห์วิญญาณกัน  ร่วมบุญกัน      
43.    เหล็กไหล
เหล็กไหลน้ำหนึ่งที่เรียกออกมาจากผนังถ้ำย้อยลงมากินน้ำผึ้งแบบนี้ผมไม่มีหรอกครับ  แต่ที่ผมมีเป็นเหล็กไหลน้ำสองคืออยู่ในสภาพแข็งตัวอยู่แล้ว  ได้มาจากวัดพุทไธสวรรค์  วัดถ้ำแฝด  วัดเขาแร่กายสิทธิ์มีทั้งเหล็กไหลเพลิง  เหล็กไหลตาน้ำ  เหล็กไหลบารมี  เหล็กไหลเจ้าป่า  โคตรเหล็กไหล  ข้าวตอกพระร่วง
เหล็กไหลพวกนี้ผมได้มาจากตามวัดต่างๆ  ส่วนหนึ่งและพบตามแผงพระที่เขาไปเหมาตามหิ้งพระชาวบ้านหลงมาคนขายเขาไม่รู้จักผมเลยได้มาแบบฟลุ๊คๆ  เหล็กไหลประเภทน้ำสองคือแข็งตัวแล้วนี้  สามารถพบอยู่ในมวลสารของพระเนื้อดิน   เนื้อผง  แต่โบราณ  ตั้งแต่ลำพูน  สุโขทัย  อยุธยาจนปัจจุบัน  ครูบาอาจารย์ผู้สร้างนิยมนำเหล็กไหลที่แข็งตัวแล้วนี้บดละเอียดบรรจุไว้  บางทีพบเป็นก้อนๆ  ในองค์พระเลย
                        จากการตรวจสอบพลังในเหล็กไหลมีพลังรุนแรงมาก  มีรังสีออร่าสีแดง  หมายถึง  คุ้มครองด้านคงกระพัน  แต่ไม่ได้หมายความว่าจะหนังเหนียวตลอดกาลนะ  ถ้ากฏแห่งกรรมตามมาทันเหล็กไหลก็คุ้มไม่ได้ครับ
                  จากการตรวจสอบพบแต่ละก้อนของเหล็กไหล  ส่วนใหญ่ผมพบเทวดาติดตามรักษาเหล็กไหล  มีครั้งหนึ่งผมคิดเอาปะคำเหล็กไหลบารมีถวายวัดป่าแดนนาบุญ  เพื่อเอาไปทำบุญช่วยสร้างเจดีย์  เลยติดต่อเทวดาที่รักษาประคำพวงนี้  ปรากฏว่าพบเทวดา  1  ท่าน
                               ผม    :    สวัสดีครับ  ท่านรักษาปะคำพวงนี้องค์เดียวหรือ  มาอยู่แต่
                                             เมื่อไร
                          เทวดา    :    อยู่องค์เดียวลงมาตามคำสั่งให้มาอยู่รักษาที่ปะคำตั้งแต่ที่วัดเขาแร่กายสิทธิ์  อำเภอโคกสำโรงแล้ว
                               ผม    :    ผมจะเอาปะคำพวงนี้ถวายวัดช่วยสร้างเจดีย์ท่านเต็มใจไหม
                          เทวดา    :    ตามใจซิ  ไปช่วยวัดก็ดีได้บุญ
                               ผม    :    คือผมจะตัดประคำพวงนี้ออกเป็นเม็ดๆ  สำหรับให้กับผู้ร่วมทำบุญสร้างเจดีย์แล้วท่านจะไปอยู่ตรงไหน
                          เทวดา    :    อ๋อ!  ถ้าตัดออกเป็นเม็ดๆ  เดี๋ยวเบื้องบนก็ส่งเทวดาลงมาประจำแต่ละเม็ดเอง
                               ผม    :    แล้วท่านล่ะ  จะอยู่ตรงไหนเม็ดไหนล่ะ
                          เทวดา    :    ก็คงอยู่ที่วัดนั่นแหละ  ปฏิบัติธรรมที่วัดเลย
                  ครับท่านใดมีวัตถุประเภทเหล็กไหลก็ขอให้ทราบด้วยนะครับว่า  มีผู้อยู่ในโลกทิพย์ตามมาด้วย  เขามาตามคำสั่งของเบื้องบน  ถ้าเราให้บุญเขา  เขาเหล่านั้นจะคุ้มครองเราได้ดีมาก
                  สรุปอย่างนี้ดีกว่า  ที่ผมพบวิญญาณที่มากับวัตถุมงคลของผม  มีใครบ้าง
1.            พระที่ได้รับการพุทธาภิเษก  มีบารมีของพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์มีเทวดารักษาอยู่
2.            พระบรมสารีริกธาตุ  พระธาตุ  มีเทวดารักษา
3.            เหล็กไหลพบเทวดา  (เท่าที่เคยทราบมาเหล็กไหลบางชนิดอาจมีจิตวิญญาณอื่นสถิตย์อยู่ที่เรียกพญาสมิงเหล็ก  แต่ทีผมมีอยู่ไม่พบ)
4.            องค์จตุคามที่โด่งดังมากในปี พ.. 2549-2550  มีเทวดารักษา
5.            พลอยพญานาค  พบมีนาคแต่งชุดเหมือนเทวดาแต่เป็นสีเขียวมารักษา
6.            รูปครุฑ  พบมีครุฑมารักษาร่างเป็นคนหัวเป็นครุฑขาเหมือนนกขนสีน้ำตาลแต่คุยกันรู้เรื่อง  เขาบอกว่าเขาเองเป็นเทวดาแต่ด้วยเหตุทำผิดศีลขณะอยู่บนสวรรค์จึงถูกลงโทษให้มาใช้กรรมเป็นสัตว์กึ่งเทพ
7.            นางกวัก  พบผู้หญิงนุ่งผ้าถุงห่มสไบเฉียงคงเป็นนางฟ้ามั๊งไม่เคยคุยด้วย
กุมารทอง  รักยม  พบเด็กไว้ผมจุก  มีสังวาลย์นุ่งจูงกระเบนที่บ้านผมมีเยอะ  เพราะใครเขาเลี้ยงแล้วกวน  เขาก็เอามาให้  ตามแผงพระผมเห็นเขาวางปนกับพระ  เด็กมันเป็นวิญญาณสัมภเวสี  มันร้อน  ผมสงสารก็ซื้อมาบ้าง  ถ้าแพงนักไม่ซื้อละ  ผมเอาบุญให้เด็กมัน  จนเด็กหลุดจากอาคมที่ผูกมัดไว้  ตามผมกลับบ้าน  เลยเต็มบ้านหมด

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เบิกบุญมาสร้างทรัพย์ ทำอย่างไร

เบิกบุญมาสร้างทรัพย์ ทำอย่างไร

ทุกคนที่ได้อ่านบทความนี้ต้องได้เคยทำบุญ ทำทาน ในแบบต่างๆกันมามากมายหลายสิบปี
ทำบุญมากันมากมายแล้วเคยนำมาใช้หาทรัพย์กันบ้างไหม
เรามาลองทำการเบิกบุญมาสร้างทรัพย์กันดีกว่า

เบิกบุญมาสร้างทรัพย์ ทำอย่างไร
เคยได้อ่านหนังสือของคุณแม่ชีทศพร แล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์เลยนำมาแบ่งปันความรู้กันโดยสรุปได้ดังนี้

1.สมาทานศีลห้า
2.สวดมนต์ไหว้พระ + นั่งสมาธิ2-3นาที
3.อธิษฐานบุญ

ขั้นที่1.ทำเพื่อให้ตัวเราเกิดความบริสุทธิ์ ทางกาย วาจา ใจ
ขั้นตอนที่2 เพื่อสร้างบุญให้เกิด ทางกาย วาจา ใจ
ขั้นตอนที่3 เพื่อนำบุญที่เกิดขึ้นมาทำประโยชน์

ในขั้นตอนที่3 หากต้องการเบิกบุญมาสร้างทรัพย์ ให้อธิษฐานว่า
บุญกุศลใดที่ข้าพเจ้าทำไว้ดีแล้ว ขอเบิกบุญกุศลนั้นมาสู่ตัวข้าพเจ้า( ชื่อ+นามสกุล)
ตั้งแต่ตอนนี้เวลานี้ด้วยเทอญ

และอธิษฐานต่ออีกว่า
บุญกุศลใดที่ข้าพเจ้าทำไว้ดีแล้ว ขอบุญนั้นจงไปสู่สัมมาอาชีพและข้าวของปัยจัยสี่ที่เลี้ยงตัวข้าพเจ้า
และขอให้ข้าพเจ้าได้พบได้ใช้ทรัพย์ของข้าพเจ้าที่เคยกลบฝังไว้  ขอให้ได้พบกัลยาณมิตรผู้ชี้ขุมทรัพย์ ขอให้ได้ใช้ทรัพย์มาเลี้ยงตัว เลี้ยงครอบครัวและบำรุงพระพุทธศาสนา ตั้งแต่ตอนนี้ วันนี้ เวลานี้ ด้วยเทอญ

ให้ทำทุกๆวันจะเกิดผลดีแก่ผู้กระทำอย่างแน่นอน
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วย

และหากต้องการพบกัลยาณมิตรผู้ชี้ขุมทรัพย์คลิกที่นี่ครับ

วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

รวมจิตทำอย่างไร และการใช้พลังจิตใช้อย่างไร

ได้ไปอ่าน บทความที่มีประโยชน์แก่ผู้ต้องการความรู้ด้านนี้ เลยขออนุญาตนำมาฝากกันที่นี้เลย สิ่งที่นำมาฝากคือ 

วิธีรวมจิตและการใช้พลังจิต
ก่อนอื่นต้องเข้าใจการทำงานของจิตกับกายก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุปทาน คิดปรุงแต่งไปเอง โดยจะเปรียบเทียบระบบกายและจิตดั่งนี้ ยกตัวอย่าง อย่างการเห็นของกายมีขีดจำกัดคือ เห็นข้างหน้า ได้ แต่จิต เห็นได้รอบทิศ 360 องศา เป็นต้น ลักษณะระบบกาย คือ การเห็นของกายใช้ตาเห็น การได้ยินคือใช้หูฟัง และประสาทรับสัมผัส ส่วนการพูดก็ต้องใช้ปากพูด เป็นต้น

ส่วนระบบจิตเห็น คือรู้สึก จิตได้ยินก็ คือรู้สึก และการสื่อสารของจิต คือ รู้วาระจิต ดั่งที่หลวงพ่อเคยกล่าวว่า โลกแห่งวิญญาณไม่มีการโกหก คือ โลกแห่งจิต จะรู้วาระจิตกัน ไม่สามารถโกหกได้ คิดอะไรรู้หมดเป็นต้น ... อย่างการฝึกมโนมยิทธิ ที่หลวงพ่อกล่าวว่า ให้รู้สึกคล้ายตาเห็น เอาความรู้สึกแรก เป็นคำตอบ ... นั้นก็หมายถึง เอาจิตรู้สึก ไม่ได้เอาสมองมาคิดวิเคราะห์ รู้สึกแรกคือการใช้จิต พอรู้สึกที่สองคือ เอา สัญญา ความรู้ต่างๆ มาประมวลความน่าจะเป็น นั้นคือ การใช้กาย ... และในการฝึกมโนมยิทธิที่บอกว่าให้ตัดการก่อน แล้วจะใช้มโนได้ คือ ให้เข้าถึง
ระบบจิต โดยไม่ยุ่งกับระบบกายกันอุปทานและสัญญามากั้นความจริงนั่นเอง ... ทีนี้เมื่อเข้าใจว่าการใช้ระบบจิตและกายแตกต่างกันอย่างไร สามารถแยกได้แล้ว ทีนี้เรามาทำความเข้าใจขอบเขตของการใช้กาย และจิตกัน


ระบบจิตและระบบกาย
กายเข้าใจ โดยการประมวลผลตาม ตาดู หู ฟัีง และสมองคิด และเอากายกระทำ ส่วนจิตนั้น รู้สึก และเข้าใจโดยไม่ต้องบรรยาย อะไรให้ละเอียดเหมือนกายเลย เช่น จิตรู้สึกเหมือนมีอะไรมายืนข้างหลัง นั่นคือการเห็นของจิต ส่วนกายต้องเหลียวหลังดูใช้ตาดู ใช้หูฟัง และใช้สมองประมวลผลออกมาเป็นคำตอบ ถึงรายละเอียดในสิ่งที่อยู่ด้านหลัง ... แต่จิตจะรู้ไวกว่ากาย ประมวลผลได้ไวมาก เพราะเอาตัวรู้ไปเข้าใจนั้นเอง โดยไม่ต้องสาธยายให้ละเอียดรู้คำเดียวคือจบ
กายคือรูป ของหยาบ การที่จะเอากายไปหาคนอื่น ก็ต้องเดินไปนั่งรถไป ต้องใช้เวลา แต่เอาจิตไป ไม่มีคำว่าเวลา แค่ระลึกก็ถึงทันที เพราะจิตอยู่เหนือเวลา มีความไวมากกว่าแสง พูดง่ายคือ จิต เป็น นาม มีความละเอียด คำว่านามจึงไม่มีขอบเขต ... ที่หลวงพ่อท่านกล่าวว่า แค่นึกก็ถึง หมายถึงเอาจิตนึก ไม่ใช่ใช้สมองจิตนาการภาพออกมา ... เช่น เอาจิตไปที่วัดท่าซุง จิตก็ไปทันที รู้สึกบรรยายว่าวัดท่าซุงเป็นยังไง แค่เอ่ยถึงวิหารแก้วร้อยเมตร ภาพออกมาทุกมองมองเลยทีเดียว แต่ถ้าเอากายไปวัดท่าซุง กายยังอยู่ภายใต้ระยะเวลา ยังถูกควบคุมให้เป็นไปตามกาลเวลาทุกอย่าง ต้องกระทำ ต้องผ่านระบบของกาย เช่น การที่จะเดินไปไหน สมองประสาท ในร่างกายต้องประมวลผลหมด เช่นไปถึงวัดท่าซุงจะเข้าวิการร้อยเมตร ก็ต้องเดินเข้าไป นั่นคือใช้ระบบกาย ...

การรวมจิต
เมื่อเข้าใจและแยกแยะระบบกายและจิตได้แล้ว ทีนี้เรามาดูวิธีการทำยังไงจะใช้จิตได้เต็มที่ นั้นคือ คือการหาวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งให้จิตรวมเป็นหนึ่ง ณ ที่นี้จะยกตัวอย่างการรวบจิตโดยการเพ่งจิตใว้ตรงกลางหน้าผากหรือจุดระหว่าง คิ้วนั้นเอง ... การเพ่ง ไม่ใช่การใช้กายเพ่ง คือไปเน้น นั่นไม่ใช่การเพ่ง ... แต่การเพ่งโดยการใช้จิตคือ เอาความรู้สึกไปจดจ่ออยู่ตรงส่วนกึ่งกลางหน้าผากนั่นเอง ... จะใช้คาถาช่วยให้จิต รวมได้ไวก็ได้ คาถาที่ใช้คือ คาถารวมจิต "อิติสัมมา สัมพุทธัสสะ มะมะจิตตัง" เวลาท่องให้จับความรู้สึกไว้ตรงระหว่างคิ้ว แล้วท่องพร้อมกับการผ่อนคลายร่างกายคือ การรู้ลมหายใจเข้าออกไปด้วย สลับกันได้ แบบนี้จะได้ผลไวมาก ... ทีนี้จะรู้ได้อย่างไรสังเกต จะเกิดอาการตึงๆ ตรงหลางหน้าผาก และจะมีอาการหน่วงๆ เหมือนมีอะไรมาแปะตรงกลางหน้าผากเรา พอเกิดอาการแบบนี้อย่าตื่นเต้นเด็ดขาด


ทำหน้าที่ของเราไปอย่าสนใจอาการที่เกิดแล้วจะเดินหน้าไปเรื่อย หน้าที่ของเราคือ ภาวนาคาถาหรือ รู้สึกตรงกลางหว่างคิ้วพร้อมสลับกับ ลมหายใจเข้าออก เบาๆ คือ อย่าบังคับลม ควรปล่อยให้เป็นธรรมชาติ ... ทีนี้เมื่อจิตเราเป็นหนึ่งจะรู้สึกว่ามีก้อนอะไรกลมๆ เหมือนก้อน อากาศมาลอย อยู่กลางหน้าผากเรา และสังเกตว่ารู้สึกสบายๆ กายจะเบา จิตจะเบาๆ ยิ่งรู้สึกยิ่งรวม นั้นหละ จิตเริ่มรวม ตรงจุดกลางหน้าผากแล้ว ... ทีนี้จับอาการแบบนั้นรู้สึกแบบนั้นให้นานที่สุด ตอนแรกจะดูมันขัดๆ แต่ทำไปทำมามันจะปกติและนิ่งอัตโนมัติเอง และสติจะรู้ไวขึ้นกว่าเดิม ...


แนวทางการใช้พลังจิต
ทีนี้ในทางวิทยาศาสตร์บอกว่าจิตคือพลังงานรูปหนึ่งที่มีความไวกว่า แสง ถ้าจิตเป็นพลังงาน การขอบารมีพระ ก็เหมือนการเชื่อมพลังจิต แค่นึกถึงพระพลังงานแห่งพุทธคุณก็จะเชื่อมกับจิตเรานั่นเอง ... และเมื่อเราสามารถรวมจิตให้เป็นก้อนแบบนั้นและทำให้ทรงอยู่ได้นานๆแล้วล่ะก็ เวลามีพลังงานใด เช่น วิญญาน หรือ เทวดา เป็นต้น มาอยู่ใกล้เรา ตรงกลางหน้าผากจะมีปฏิกิริยา คือเหมือนมีแม่เหล็กมาดูด จะรู้สึกหน่วง มากน้อยขึ้นอยู่กับพลังงาน ที่ส่งเข้ามาเหมือนกัน ... และการส่งจิตไปหาคนอื่น หรือส่งคลื่นพลังจิตไปหาคนอื่น จะเหมือนการโยนเชือกไปหาคนๆ นั้น พอเขารับเชือกจากที่มันหย่อนๆก็ตึง และมีการดึงตอบ เหมือนกัน เราจะรู้สึกตึงๆ กลางหน้าผากเรา เมื่อเขาเพ่งตอบก็เหมือนการดึงเชือกไปมา จากนั้นก็ใช้จิตรู้สึก ถ้าอยากสื่อสาร โดยการรู้วาระจิต หรือรู้สึกให้เห็นภาพคล้ายตาเห็น ซึ่งที่เรียกกันว่า มโนมยิทธิ นั้นเอง ... ส่วนถ้าจะใช้สื่อสารกับ พลังจากวัตถุมงคลก็เหมือนกัน รวมจิตให้เป็นก้อนแล้วเพ่ง ไปที่วัตถุมงคลนั้นๆ เมื่อวัตถุมงคลแผ่พลังมาจะรู้สึก หน่วงและตึงๆ ตรงหลางหน้าผาก ถ้ากลัวคิดไปเองทดสอบโดยการเอาวัตถุมงคลมาใกล้หน้าผาก และเอาห่างออก และสังเกตอาการหน่วงที่เกิดว่า เอาใกล้จะหน่วงหนักมากกว่า เอา ออกห่างหรือไม่ ทีนี้ เรียกว่าเปลี่ยนนามให้เป็นรูป โดยการเอาพลังงานมาสัมผัสกับร่างกายเอาใช้จิตเป็นตัวดึง แล้วจะเกิดอาการกับร่างกาย แบบนี้สัมผัสได้ เหมือนเราไม่เห็นลมว่าเป็นยังไง แต่รู้ว่าเป็นลมเพราะมากระทบกับใบไม้เป็นต้น ... พอเกิดอาการแบบนั้นเราสามารถใช้คาถากำกับ วัตถุมงคลนั้นได้ เช่น คาถาเงินล้านก็ได้ ถ้าช่วงนั้น เรากุศลกรรมเข้า คือ พลังงานด้านบวก เมื่อเรารับพลังงานจากวัตถุมงคล แล้ววัตถุมงคล เป็นพลังงานด้านพุทธคุณ ก็เป็นบวกเช่นกัน บวกกับบวกมารวมกันก็ส่งเสริมเป็นกำลัง ทำให้เกิดโชคลาภ และสิ่งที่ดี นั้นคือ ผลจากพลังงาน ด้านบวกมารวมกัน ตรงกันข้ามถ้าจิตเราเศร้าหมองจิตเปิดรับพลังงานด้านลบเข้ามา อกุศลกรรมก็เข้ามา เหตุแห่งทุกข์ก็ย่อมเกิด ต่างๆ นานาๆ นั้นคือ  ผลของพลังงานทาด้านลบ ... ทีนี้ถ้าจะประยุกต์ถอดกายทิพย์ก็สามารถทำได้รวมจิตให้เป็นก้อน แล้วย้ายความรู้สึกไปอยู่ที่ก้อน พลังงานนั้น กำหนดให้เป็นกายทิพย์ขึ้นมา แล้วใช้จิตบังคับกายนั้น เป็นต้น ... และถ้าจะใช้รักษากายก็สามารถทำได้คือ รวมจิตเป็นก้อน แล้วรู้สึกตรง ส่วนไหน ที่เจ็บปวดในร่างกายเราแล้วกำหนด ธาตุลม มาทำให้เย็นตรงกลางท้องแล้วกระจายออกไป เป็นการใช้ลมปราณรักษานั้นเอง ... หรือจะถ่ายทอด ให้คนอื่น โดยกำหนดให้เย็นที่เรา แล้วเพ่งนึกไปหาคนที่เราจะรักษาก็ได้ ... นี่คือ ตัวอย่างการใช้จิตที่รวมแล้ว


แนวการเสริมพลังจิต
อันนี้เราสามารถเสริมพลังจิตโดยใช้พลังจากวัตถมงคลหรือแร่ธาตุที่มีพลังใน ตัว เช่้น รังของเหล็กใหลได้ หรือพวก ธนสิทธิ์ต่างๆ เช่นไผ่ตัน คริสตัล เห็นหินแร่ต่างๆ ที่ มีการสะสมพลังจากธรรมชาติไว้ วิธีการคือเวลานั่งสมาธิก็เอาจิตเพ่งไปที่วัตถุนั้น ให้มีการหน่วงหนักจากวัตถุนั้นจากนั้น กำหนดเอาพลังงานมาเก็บไว้กลางท้อง หรือกลางหน้าผากก็ได้ แล้วส่งออกไปก็ได้ พวกนี้ยิ่งเรากระตุ้นให้เกิดการใช้พลังงาน ยิ่งสร้างพลังงานใหม่ เกิด การแตกตัวเลยก็มี และพระธาตุก็เหมือนกัน สามารถดึงพลังมาใช้ได้เช่นกัน โดยการกำหนดจิตให้รวมเป็นก้อน ก่อนการใช้จิตทุกครั้ง ...


อันนี้ก็เป็นวิธีการรวมจิตและการใช้จิต แบบคร่าวๆที่จริงต้องนำมาปฏิบัติแล้วได้ความรู้จากการปฏิบัติ อาจจะมากกว่านอกเหนือที่ผมได้บรรยายก็ได้

อ่านจบแล้วลองนำไปทำดู  ขอขอบคุณ ที่มา  dannipparn.com

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

แนะนำ บ้านแก้วจักรพรดิ

บ้านแก้วจักรพรรดิ 
บ้านแก้วจักรพรรดิ ให้ประโยชน์อะไรบ้าง ?
บ้านแก้วจักรพรรดิ ให้อะไรคุณบ้าง ?


 เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้พัฒนาไปไกลมาก  ผู้คนบนโลกใบนี้จึงต้องทำงานหนัก  หามรุ่งหามค่ำ  เพื่อหารายได้มาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว  บ้างก็ประสบความสำเร็จ  บ้างก็ไม่สำเร็จ  ความเครียดจึงมาเยือน  โดยเฉพาะกับผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ   เมื่อสะสมความเครียดนานวันเข้า  ประกอบกับอาหารที่ทานเข้าไปในร่างกายมีส่วนประกอบไปด้วย  สารเคมีต่าง ๆ ในการปรุงแต่งรสชาติของอาหารให้อร่อย  สารเร่งการเจริญเติบโตของสัตว์ เช่น หมู ไก่ เป็ด พืชผัก ผลไม้ น้ำอัดลม  และยังรวมถึง  สารเคมีที่ทำให้เนื้อสัตว์เน่าเสียช้าลง เช่น  สารฟอมารีน  สารฟอกขาว  เป็นต้น

จากสาเหตุข้างต้นทั้งหมด  ทำให้เซลล์ในร่างกายมีความผิดปกติ   เลือดมีความข้นเหนียว  หรือมีความเป็นกรดสูงมากขึ้น  ขาดความสมดุลในร่างกาย   ดังนั้นจึงไปตรงกับพุทธภาษิตที่ว่า  " ความไม่มีโรค  เป็นลาภอันประเสริฐ "  เห็นได้ว่า  ถ้าใครที่ไม่เจ็บ  ไม่ป่วย  นับว่ามีความโชคดีเป็นอย่างมาก  แต่ว่าจะมีสักกี่คน  ที่จะโชคดี   อ่านต่อ