จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

กระแส จักรพรรดิ

“กระแส จักรพรรดิเป็นพลังงานที่อยู่ในโลกนี้ตลอดเวลา สืบต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่มีประมาณ
กระแสจักรพรรดิมีเกิดขึ้นเรื่อยๆ แม้จักรพรรดิผู้นั้นได้บรรลุเป็นพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้าไปแล้ว แต่พลังงานบุญก็ยังทิ้งไว้ในสมบัติจักรพรรดิ

สมบัติจักรพรรดิเป็นสมบัติผลัดกันชม ยังมีอยู่ตลอดไม่หายไปไหน พลังงานบุญจึงฝากกระแสต่อไปสู่พระจักรพรรดิองค์ต่อไปเรื่อยๆ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ทุกยุคทุกสมัย ต้องมาเกิดเป็นพระจักรพรรดิกันแทบทั้งนั้น พระจักรพรรดิจึงเกิดมีสืบต่อกันไปไม่ขาดสาย เป็นเครือข่ายพลังานบุญที่ปรากฏสืบทอดต่อเนื่องในโลกนี้อย่างไม่มีที่สิ้น สุด

เวลาสวดจักรพรรดิไปนานๆกระแสแห่งพระจักรพรรดิจะเกิดขึ้นที่จิตเรา จะสะสมพลังงานหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ไปเรื่อยๆ ยิ่งสวดดี สวดด้วยใจเบาสบาย พลังงานก็ยิ่งหนาแน่นขึ้น กระแสจักรพรรดิ กระแสหลวงปู่ดู่ที่หนาแน่นนั้นมีประโยชน์มาก นำมาอธิษฐานอะไรก็ได้ เป็นกระแสที่มีพลังงานสูง ส่งพลังงานไปได้ไกลไม่มีประมาณทั่วสามแดนโลกธาตุ สามารถเปลี่ยนกระแสที่ไม่ดีต่างๆเช่นวิญญาณไม่ดี ฮวงจุ้ยไม่ดี ร่างกายป่วยไข้ไม่ดี กรรมไม่ดี ฯลฯ ให้กลายเป็นดีได้ ใช้เป็นประโยชน์ในการอธิษฐานได้ทั้งทางโลกเช่น ธุรกิจการงาน การเงิน สุขภาพ ครอบครัว ฯลฯ และทางธรรมเช่น การใช้พระกำหนดถามตอบข้อธรรมต่างๆ

ความ หนาแน่นของพลังงานในการสวดนั้น จิตสามารถบันทึกได้อย่างไม่มีประมาณ สวดไปด้วยคิดเรื่องธุรกิจการงานที่ติดขัดไปด้วยก็ได้ ถ้านึกไปสวดไป ก็คือการนำกำลังจักรพรรดิมาใช้เป็นครั้งๆไป การอัดความหนาแน่นของพลังงานก็จะช้าหน่อย แต่ถ้าไม่ได้ใช้แก้ปัญหาข้อขัดข้องใดๆ หมั่นสวดเป็นประจำ ก็อัดพลังงานได้เต็มเร็ว เพิ่มพลังงานความหนาแน่นของบุญบารมีในตัวเราได้มาก คนทำงานไม่มีเวลาว่าง แค่สวดตอนตื่นนอน กินข้าว อาบน้ำ ก่อนนอน ก็พอ สวดก่อนนอนจิตจะบันทึกบุญไว้ สามารถพิสูจน์ได้จริง ลองสวดดู ถ้าทำได้จริงแล้วจะไม่มีฝันร้ายเลย หากสวดจนนิ่งหลับไป จิตจะไม่ฝันเลย จะหลับเต็มอิ่ม ตื่นมาสดชื่นมาก กำหนดเวลาตื่นได้เอง หรือหากสวดด้วยใจสบาย จิตจะฝันว่าไปสวดมนต์ไปวัด ทำบุญ ไปส่งวิญญาณ แม้หลับอยู่จิตก็ยังได้บันทึกบุญ จิตฝันดีธาตุก็ดี ตื่นมาร่างกายสดชื่นแข็งแรง ถ้าจิตฝันร้าย ธาตุก็เสื่อม เหมือนเวลาฝันว่าวิ่งหนี ร่างกายเราก็รู้สึกเหนื่อยหอบจริงๆ

เราสวด จักรพรรดิ ระลึกถึงจักรพรรดิ สามารถอธิษฐานนำมากำหนดเป็นพลังงานให้เกิดเป็นทิพยอำนาจได้ ให้จิตอยู่ในจักรพรรดิ เราจะกำหนดไปที่ไหนก็ได้ จะมีคนเห็นเราปรากฏตัวในที่ต่างๆได้ สวดให้จริงแล้วจะหวังผลแบบไหนก็ได้ ปรารถนาจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ไม่อยากเกิดแล้วก็ได้ หรือปรารถนาจะสร้างบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ก็จะสร้างบุญบารมีได้เร็วขึ้น เชื่อหรือไม่เชื่อ ต้องลองปฏิบัติดูเอาเอง...”

ที่มา http://www.watthummuangna.com/home/community/index.php?topic=245.0



กฎแห่งจักรวาล 7 ข้อ




เมื่อหลายพันปีมาแล้วในอียิปต์ "สุดยอดเดอะซีเคร็ต" หรือ "ความลับเหนือโลก”
ของ “กฎแห่งจักรวาล 7 ข้อ” ได้จารึกอยู่ใน “จารึกมรกต” แต่ก็ถือเป็นสิ่งต้อง
ห้ามมาช้านาน ด้วยพวกชนชั้นปกครองส่วนใหญ่ไม่อยากให้แนวคิดในจารึกนี้
แพร่พรายออกไป เพราะจะทำให้ยากแก่การปกครองครอบงำความคิดของ
มหาชน นับตั้งแต่พระของอียิปต์โบราณมาจนถึงวัดในยุคกลาง พวกผู้นำ
ศาสนาต่างสั่งห้ามไม่ให้พูดถึงจารึกมรกตเลย ใครหลุดปากออกมาแม้แต่คำ
เดียวก็จะถูกข้อหาว่าเป็นพวกนอกรีตหรือแม่มดทันที และโทษก็คือแขวนคอ
หรือตัดหัว
อย่างไรก็ตาม ความรู้ในจารึกนี้ได้ถูกท่องจำต่อๆ กันมา โดยสมาคมลับหลาย
สมาคม เช่น ไนต์เทมพลาร์ และฟรีเมซอน หรือซุกซ่อนอยู่ในบทกวี ภาพ
เขียน หรืองานศิลปะอื่นๆ แม้ตัวจารึกมรกตเองจะสูญหายไปแล้วก็ตาม
เมื่อ 40 ปีก่อน ดร.เมล กิลล์ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ประสบอุบัติเหตุตกเขา
จนต้องตัดแขนซ้ายทิ้ง และตายไประหว่างผ่าตัดเป็นเวลานานถึง 19 นาที!
ทว่า ในระหว่าง 19 นาทีที่สำหรับเขาแล้วราวกับผ่านไปหลายวันหรือหลาย
เดือนนี้ ทำให้เขามีโอกาสได้เรียนรู้ถึง “ความลับเหนือโลก”
หลังออกจากโรงพยาบาล เขาได้ค้นคว้าไปทั่วห้องสมุดใหญ่ๆ และเดินทาง
ไปยังดินแดนรกร้างห่างไกลทั่วทุกมุมโลก จนค้นพบและกลั่นกรองออก
มาเป็นหนังสือ “สุดยอดเดอะซีเคร็ต” เล่มนี้ได้
คงไม่ต้องบอกว่า ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึง “สุดยอดเดอะซีเคร็ต”
นี่เอง ที่แม้เขาต้องสูญเสียแขนซ้ายไป แต่ก็ยังสามารถต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรค
นานัปการ จนกลายมาเป็นนักพูดสร้างแรงจูงใจ นักจิตบำบัด นักสะกดจิต
ชั้นนำ ผู้เชี่ยวชาญชั้นแนวหน้าด้านการพัฒนาบุคคล เป็นที่ปรึกษาของ
ซีอีโอกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ (ฟอร์จูน 500) และเป็นผู้ที่
ประสบความสำเร็จจนมีที่ทำงานในต่างประเทศหลายๆ แห่งได้
โจ วิเทล ผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งอินเตอร์เน็ตกล่าวไว้ในคำนำว่า หนังสือ
เล่มนี้คือ “ภูมิปัญญาเร้นลับแห่งจักรวาล ที่ได้พิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรกใน
รอบหลายร้อยปีมานี้!”
หนังสือเล่มนี้คือกุญแจไขไปสู่ “สุดยอดเดอะซีเคร็ต” หรือ “ความลับเหนือโลก”
อันเป็นความลับที่เหนือกว่าความลับทั้งมวล
“ความลับเหนือโลก” ก็คือความลับที่เปิดเผยให้เห็นถึงกฎการทำงานระหว่าง
จิตใจมนุษย์กับกฎแห่งจักรวาลนั่นเอง ผู้คนส่วนใหญ่ต่างเรียนรู้กันมาแต่กฎ
ทางฟิสิกส์หรือกฎทางวัตถุ โดยรู้ว่าเมื่อโยนลูกแอปเปิลขึ้นไปในอากาศ มัน
ก็จะตกลงมายังพื้นโลกตามกฎของแรงโน้มถ่วง แต่มีน้อยคนที่จะรู้ว่า เพียง
จิตใจเรา “คิด” ถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทั้งในระดับจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึก เราก็จะ
“ดึงดูด” เอาสิ่งนั้นๆ เข้ามาหา ตาม “กฎแห่งแรงดึงดูด” อันเป็นกฎแห่ง
จักรวาลข้อหนึ่ง
นี่เองที่ทำให้ผู้ที่ “คิด” และ “เชื่อ” ว่าตนเองจะประสบความสำเร็จ ร่ำรวย
เจริญรุ่งเรือง ได้รับความรัก หรือจะหายป่วยจากโรคร้ายแรงที่หมดทางรักษา
ก็สามารถเป็นไปตามนั้นได้จริงๆ ซึ่งต่างจากผู้ที่ไม่เคยคิดหรือไม่เคยเชื่อใน
ตัวเองแบบนั้นเลย
นอกจากนั้น กฎแห่งจักรวาลข้อนี้ที่ทำให้ “ผู้มองโลกในแง่ร้ายจะ ‘เห็น’
แต่ความยากลำบากในโอกาสทุกๆ อย่าง ส่วนผู้มองโลกในแง่ดีจะ ‘เห็น’
ถึงโอกาสในความยากลำบากทุกๆ อย่าง”
การเข้าใจถึง “กฎแห่งจักรวาล” จึงสะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจโลกในแง่
มุมใหม่ ไม่ใช่ด้วยกฎทางฟิสิกส์ แต่ด้วย “ภูมิปัญญาโบราณ” ของกฎแห่ง
“สุดยอดเดอะซีเคร็ต” ที่หนังสือเล่มนี้จะกล่าวถึงนั่นเอง
1. กฎแห่งมโนนิยม
2. กฎแห่งการสั่นสะเทือน
3. กฎแห่งขั้วตรงข้าม
4. กฎแห่งจังหวะ
5. กฎแห่งเพศ
6. หลักแห่งเหตุและผล
7. กฎแห่งความสอดคล้องกัน

“สุดยอดเดอะซีเคร็ต” ของ “กฎแห่งจักรวาล 7 ข้อ” ก็คือ
กฎแห่งมโนนิยม
กฎแห่งจักรวาลข้อแรกบอกเราว่า ทุกสิ่งก็คือจิต ดังนั้น ขั้นตอนของการเปลี่ยน
สิ่งที่อยู่รอบตัวเรา ก็มาจากพลังทางจิตของเรานั่นเอง เพราะจักรวาลเป็นเรื่องที่
อยู่ภายใน เราจึงสามารถควบคุมทุกสิ่งในชีวิตเราได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น เราจึง
ต้องใส่ใจจริงจังที่จะสังเกตความฝันของเรา เพราะบ่อยครั้งความฝันก็บอกถึงสิ่ง
ที่เราขาดไปในชีวิต และจะบอกใบ้ให้รู้วิธีที่จะเติมเต็มประสบการณ์ของเราให้
เข้มข้นยิ่งขึ้น บางครั้งความฝันก็เป็นพื้นฐานของสิ่งที่เราต้องการให้เกิดขึ้นจริง
ในชีวิตที่เราปรารถนา จักรวาลนั้นอยู่ภายในตัวเรานี่เอง! เพราะ “ภายในเป็น
อย่างไร ภายนอกก็เป็นอย่างนั้น”
กฎแห่งการสั่นสะเทือน
กฎจักรวาลข้อที่สองช่วยให้เราเข้าใจว่า เราเป็นยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตที่ผูกติดอยู่กับ
เวลาและสถานที่ที่เราอยู่ เรามายังที่นี้เพื่อใช้ชีวิตและเรียนรู้บทเรียนอันทรง
คุณค่า แต่ประสบการณ์ชีวิตนั้นมีหลายด้าน เนื่องจากเรามีชีวิตสามด้าน นั่นคือ
ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ การจะมีชีวิตที่มีสุขและสมดุลได้ เราจะต้อง
ทะนุบำรุงชีวิตทั้งสามด้านนั้นให้สอดประสานกันเสมือนกับวงดนตรีประสานเสียง
ทั้งสามด้านจะต้องทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน
ทุกสิ่งล้วนแต่สั่นสะเทือน กฎจักรวาลข้อที่สองนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่า การสั่นสะ
เทือนนั้นจำเป็นต่อชีวิต ถ้าเราปล่อยให้การสั่นสะเทือนลดต่ำเกินไป เราจะล้ม
ป่วยหรือซึมเศร้าหดหู่ และร่างกายเราจะทุกข์ทรมาน ความรักเป็นวิธีที่จะช่วย
รักษาการสั่นสะเทือนให้อยู่ในระดับสูง ความรักเป็นผลมาจากการรู้คุณค่าและ
ซาบซึ้งในตัวบุคคลอื่น เมื่อเรารู้สึกรัก เราจะเชื่อมโยงสัมพันธ์กับโลกและทุก
สิ่งทุกอย่างในโลก เราสะท้อนรับเอาแรงสั่นสะเทือนจากสรรพสิ่ง เมื่อเราเรียน
รู้บทเรียนเหล่านี้และส่งต่อไปยังคนรุ่นต่อๆ ไป เราจะยกระดับการสั่นสะเทือนของมนุษยชาติด้วยการเชื่อมโยงสัมพันธ์กับคนอื่นๆ และด้วยความเข้าใจในโลก
กฎแห่งขั้วตรงข้าม
กฎแห่งจักรวาลข้อนี้สอนเราว่า ทุกสิ่งนั้นมีขั้วตรงข้ามกัน แต่ขั้วตรงข้ามนั้นแท้
จริงก็เป็นเพียงสิ่งเดียวกันที่ “ต่างระดับกัน” นั่นเอง และรอคอยจะเชื่อมประสาน
กัน เมื่อเราเข้าใจตรงนี้ เราก็จะสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นและรับมือกับสถาน
การณ์ในชีวิตได้ดียิ่งขึ้น เมื่อเข้าใจกฎแห่งขั้วตรงข้ามแล้ว เราก็จะสามารถหา
หนทางเพื่อให้ได้สิ่งที่เราต้องการได้ และเทคนิคนี้ใช้ได้ดีโดยเฉพาะเมื่อเรา
ต้องรับมือกับอารมณ์ต่างๆ ความเศร้าสามารถเปลี่ยนเป็นความสุข ความเกลียด
เปลี่ยนเป็นความรัก และความเจ็บปวดก็เปลี่ยนเป็นความสุขได้
กฎแห่งจังหวะ
กฎแห่งจังหวะเตือนให้เราระลึกว่า ขณะที่ลูกตุ้มนาฬิกาแกว่งไปยังด้านหนึ่ง
มันก็ต้องแกว่งกลับไปยังด้านตรงข้ามเท่าๆ กัน เพื่อเป็นการชดเชยถ่วงดุล
ผู้ที่ประสบกับความขมขื่นเหลือแสน ก็ย่อมรู้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ด้วย เพราะ
การที่จะรู้ถึงคุณค่าแท้จริงของสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความรัก และความ
สงบ เราต้องรู้ถึงขั้วตรงข้ามของมันด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อเราได้ประสบกับ
สิ่งเหล่านี้แล้ว เราจะสามารถแยกตัวเองออกมาได้ ก็โดยการก้าวถอยหลังเมื่อ
ลูกตุ้มนาฬิกาแกว่งไปยังด้านที่เราไม่ชอบ และบอกตัวเองว่าไม่ช้ามันจะแกว่ง
กลับไปยังด้านที่เราชอบมากกว่าเอง ถ้าเราพลิ้วไปกับกระแส แม้ในยามที่ดู
มืดมนสิ้นหวัง เราก็ยังยอมรับได้ว่า แม้นั่นไม่ใช่สิ่งที่เรามุ่งหวัง แต่ก็ยังทำใจ
ให้ผ่อนคลายโดยไม่กังวลได้ เพราะกฎแห่งจังหวะทำให้เรารู้ว่าอะไรที่กำลัง
จะตามมา
กฎแห่งเพศ
ทุกคน ทุกสถานที่ และทุกสิ่งต่างก็มีทั้งลักษณะที่เป็นทั้งเพศชายและเพศหญิง
ซึ่งทำงานสอดประสานกันเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมา โดยพลังเพศชายนั้นอยู่
ภายนอก อันเป็นสิ่งที่ถูกส่งออกไปสู่จักรวาล ขณะที่พลังเพศหญิงนั้นอยู่ภายใน
ด้วยเหตุนี้ พลังเพศชายและหญิงจึงทำงานร่วมกันเหมือนสายพ่วงแบตเตอรี่
เพศชายคือสายขั้วบวก ก็จะผลักออกเสมอ ส่วนเพศหญิงหรือสายขั้วลบก็จะ
ดึงดูดเสมอ ว่าตามวิทยาศาสตร์แล้ว ขั้วบวกไม่ใช่หมายถึงสิ่งที่ดี และขั้วลบก็
ไม่ได้หมายถึงสิ่งไม่ดี ต่างเป็นแค่คำเรียกสมดุลการไหลของพลังงาน สภาพ
เพศหญิงจึงหมายถึงเส้นทางขั้วลบของพลัง เพราะเป็นจุดเกิดแห่งการสร้าง
เช่นเดียวกับที่ผู้หญิงตั้งครรภ์หรือสร้างชีวิตใหม่ขึ้นมา
กฎจักรวาลข้อนี้ช่วยให้เราเอาชนะความไม่มั่นใจในตัวเองและการผัดวันประกัน
พรุ่งได้ พลังของหญิงและชายนั้นต่างทำงานประสานกันเสมอ เว้นแต่จะถูกปิด
กั้นด้วยอคติหรือความคิดเชิงลบอันเกิดมาจากความกลัว วิธีที่ดีอย่างหนึ่งใน
การเปิดรับพลังงานที่สมดุลคือ การมีส่วนร่วมในการให้และรับทุกๆ วัน
หลักแห่งเหตุและผล
กฎแห่งเหตุและผลเป็นกฎแห่งจักรวาลที่รู้จักกันดีที่สุดข้อหนึ่ง พวกเราหลาย
คนต่างเคยได้ศึกษากฎนี้มาแล้วตอนเรียนวิทยาศาสตร์ นั่นก็คือ “ทุกๆ แรง
กระทำจะมีแรงปฏิกิริยาตรงข้ามที่เท่าๆ กัน”
ไม่มีสิ่งใดหลีกพ้นกฎแห่งเหตุและผลไปได้ แต่เราสามารถใช้กฎจักรวาลข้อ
นี้เพื่อเอาชนะกฎแห่งชีวิตประจำวันซึ่งอยู่ภายใต้กฎจักรวาลอีกที เมื่อเราใช้
กฎจักรวาลเพื่อดึงเอาสิ่งที่เราต้องการผ่านทางการคิดหรือการกระทำเชิงบวก
เมื่อเรายกระดับการสั่นสะเทือน และเมื่อเราตระหนักถึงความสมดุลระหว่าง
เพศ เมื่อนั้นเราก็กำลังปฏิบัติการอยู่ในเครื่องบินลำที่อยู่สูงขึ้นไป เราจะไม่
ถูกพัดพาไปกับเรื่องต่างๆ ในชีวิตอีกต่อไป
กฎแห่งความสอดคล้องกัน
กฎแห่งจักรวาลข้อนี้ทำให้เราตระหนักว่า แม้ตัวเราอาจเป็นเพียงสิ่งเล็กกระ
จ้อยร่อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับจักรวาล แต่กฎแห่งความสอดคล้องกันก็บอกว่า
เรามี “เครื่องช่วย” อยู่ในตัว ที่จะช่วยให้เราทุกคนเข้าใจมันได้อยู่แล้วด้วย
นั่นก็เป็นเพราะ ไม่ว่าสิ่งที่เราพยายามทำความเข้าใจนั้นจะยิ่งใหญ่เกินกว่าที่
เราจะเข้าใจมันได้ทั้งหมด หรือเล็กเกินกว่าจะมองเห็นด้วยตาเปล่าเพียงใดก็
ตาม ไม่ว่ามันจะอยู่ในโลกด้านไหน ทุกสิ่งก็สร้างขึ้นจากเนื้อแท้อย่างเดียว
กัน จาก “สรรพสิ่ง” นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ ทุกสิ่งจึงสะท้อนถึงหรือจำลองแบบ
มาจากสิ่งอื่นๆ
กฎข้อนี้ยังทำให้เราเข้าใจแจ่มชัดว่า “ทำอย่างไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น” หากเรา
ปฏิบัติต่อผู้อื่นไม่ดี พวกเขาก็ย่อมทำแบบเดียวกัน แต่ความดีจะเอาชนะความ
ชั่วได้ หากเราควบคุมชีวิตและชะตากรรมของเราเอง โดยใช้วิธีคิดและการ
กระทำในทางที่ดี ตามกฎแห่งความสอดคล้องต้องกันนี้
กฎแห่งมโนนิยม กฎแห่งขั้วตรงข้าม กฎแห่งเหตุและผล กฎแห่งเพศ กฎแห่ง
การสั่นสะเทือน กฎแห่งความสอดคล้องกัน และกฎแห่งจังหวะ กฎทั้งหลาย
นี้รวมกันในลักษณะและระดับต่างๆ จนทำให้เราประสบสัมผัสกับกฎแห่งแรง
ดึงดูดอันหลีกเลี่ยงไม่ได้
เราต้องเรียนรู้วิธีที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความคิดเชิงลบเกิดขึ้นในสมอง และ
เรียนรู้ที่จะเติมความคิดด้วยพลังภายในจากกฎจักรวาล แล้วเราก็จะก้าวเข้า
สู่วิถีชีวิตที่สูงส่งกว่าเดิม สงบกว่าเดิม และดีกว่าเดิม ส่วนหนึ่งของขั้นตอนที่
ว่านี้ก็คือ เราจะได้ตระหนักถึงปัจจุบันขณะ เมื่อเราตระหนักถึงตัวเอง เมื่อใส่
ใจกับคนที่เรารักหรืองานที่กำลังทำอยู่ ชีวิตก็จะชัดเจนและแจ่มกระจ่างมาก
ขึ้น สิ่งดีๆ ทั้งหลายก็จะไหลพลิ้วเข้ามาหาอย่างนิ่มนวล และเป็นไปอย่างง่าย
ดายสำหรับเรา ตามกฎแห่งแห่งแรงดึงดูดนี่เอง
เราสามารถทำให้ชีวิตมีความสุขและความมหัศจรรย์ เกินกว่าที่เราเคยคิดว่า
จะเป็นไปได้ โดยอาศัยกฎจักรวาลทั้ง 7 ข้อนี้ เพราะเมล กิลล์ ผู้เขียนหนังสือ
เล่มนี้ ได้สร้างเครื่องมือที่จำเป็นต้องใช้ เพื่อเข้าถึงและปฏิบัติตนตาม
สุดยอดเดอะซีเคร็ต แล้ว โดยมีเนื้อหาครอบคลุม กล่าวอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
และ “แนะ” เทคนิคอันจะช่วยทำให้ปรากฏขึ้นเป็นรูปธรรมขึ้นจริงๆ ได้ เพื่อ
ช่วยให้เราสร้างความมั่งคั่ง ความรัก ความสัมพันธ์ สุขภาพ และความสุขที่
ฝันถึงเสมอมา
หนังสือเล่มนี้เดิมสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกันโดยผู้เขียน ทั้งยังได้รวบ
รวมข้อคิดของนักคิดด้าน “สุดยอดเดอะซีเคร็ต” ผู้ประสบความสำเร็จอย่าง
สูงไว้หลายๆ คนด้วย เช่น ดร. โจ วิเทล, แจ็ก แคนฟีลด์, บ็อบ พร็อกเตอร์,
ดร. มาซารุ อีโมโตะ, เจย์ อับราฮัม, ที. ฮาร์ฟ อีเกอร์, แดน พอยน์เตอร์,
เอลี เดวิดสัน, เดวิด ริกลาน, ดับเบิลยู. มิตเชลล์ อาร์เทอร์ คาร์มัซซี และ
เกรเกอรีย์ ฮาร์ต
ที่มา http://dmgbooks.ecwid.com/product?8658934