จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อะไรคือภูเขาบุญ การตั้งภูเขาบุญ


ถ้าพูดอย่างภาษาชาวบ้าน ภูเขาบุญก็คือกองบุญใหญ่ที่หลวงปู่อาราธนาบุญของพระพุทธเจ้าทั้งหลายมาประดิษฐานที่นี้
หลวง ปู่ท่านเมตตาต้องการสงเคราะห์วิญญาณที่อยู่ที่นั่น รวมทั้งที่ผ่านไปผ่านมา จะได้อนุโมทนาเอาจากกองบุญอันนี้ เพราะการตั้งจิตแผ่เมตตาย่อมให้ผลเป็นคราว ๆ ไป แต่การทำอย่างนี้ วิญญาณเหล่านั้นไม่ต้องรอคนแผ่เมตตาให้ เขาสามารถโมทนาบุญเอาได้ตลอด จะได้เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้คลายทุกข์ยากลงบ้าง

ใน สมัยหลวงปู่มีชีวิต ท่านจะอธิษฐานซ้ำเข้าไปเรื่อย ๆ เรียกว่าเพิ่มพูนภูเขาบุญให้แน่นหนามั่นคงยิ่ง ๆ ขึ้นไป นอกจากนี้ ท่านยังส่งเสริมให้ลูกศิษย์กรรมฐาน เมื่อเวลาปฏิบัติดี ๆ ก็ช่วยกันอธิษฐานบุญสมทบเข้าไปอีกเรื่อย ๆ จึงนับเป็นหนทางทำบุญอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่าด้วยบุญบารมีของหลวงปู่ ภูเขาบุญบุญแห่งนี้จะอยู่ไปตราบนานเท่านาน



การอธิษฐานจิตตั้งภูเขาบุญนั้น ต้องเริ่มจาก
๑. ทำจิตของเราให้เป็นสมาธิ ให้สว่าง หรือมีปีติอื่น ๆ เช่น ขนลุก กายโปร่งเบา ฯลฯ เพื่อให้การอธิษฐานได้ผลสัมฤทธิ์เต็มที่ (แปลว่าต้องทำตอนจิตมีกำลัง) 
๒. ต่อไปก็ระลึกถึงหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ขอท่านเมตตาอัญเชิญบุญบารมีพระพุทธเจ้า ตั้งเป็นภูเขาบุญ (กรณีที่มีภูเขาบุญอยู่แล้ว เช่นที่วัดสะแก ก็เปลี่ยนเป็นอธิษฐานสมทบกองบุญเดิม) ซึ่งขั้นนี้แล้วแต่ผู้ปฏิบัติ หากเห็นแสงสว่างที่ลงมาที่ภูเขาบุญก็จะเกิดปีติและความเลื่อมใสยิ่งขึ้นไป อีก หากไม่เห็น ก็ให้น้อมจิตเลื่อมใส แล้วกำหนด (สมมติ) เป็นแสงสว่างลงมาที่กองบุญ
สิ่งที่ควรทราบเพิ่มเติมก็คือ
ก. การอธิษฐานบุญบารมีพระพุทธเจ้า (และครูบาอาจารย์) มาตั้งเป็นภูเขาบุญ ใช้ในกรณีที่พิจารณาเห็นว่าในบริเวณนั้นมีวิญญาณมาก และยากที่ให้บุญคราวเดียวจะคลายทุกข์เขาได้ จึงจำเป็นต้องตั้งกองบุญเป็นการถาวร (อยู่ได้นานขนาดไหนก็ขึ้นอยู่กับกำลังจิตของผู้อธิษฐานด้วยเหมือนกัน)
ข. ในขณะอธิษฐาน ก็ให้วางจิตด้วยเมตตาและกรุณาในฐานะเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย เสร็จแล้วก็วางจิตด้วยอุเบกขาว่าสุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ใครรับได้หรือไม่ได้ ก็สุดแต่กรรม เราก็ทำหน้าที่ของเราเท่านั้น สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ค. การอธิษฐาน สามารถทำซ้ำ ๆ ในโอกาสอื่น ๆ ได้อีก เพื่อให้กองบุญอยู่มั่นคง ยาวนาน
ง. สิ่งที่ต้องตระหนักก็คือการอธิษฐานจิตตั้งกองบุญนั้นยังเป็นขั้นของการปรุง แต่ง เพียงแต่เป็นการปรุงแต่งเพื่อพัฒนาคุณภาพจิต กล่าวคือสร้างความชำนาญในการทำ ภาวนา (ความตั้งมั่นของจิต) ประการหนึ่ง แล้วยังจะช่วยสร้างเสริมเมตตาจิตอีกประการหนึ่งด้วย

ที่มา
 http://www.luangpordu.com/

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

พระในลูกแก้ว

พระในลูกแก้วหลวงปู่ดู่ ของหนุ่มน้อยเมืองสิงห์บุรี
http://ainews1.com/article405.html



พื้นเพของครอบครัว
ผม เป็นคนจังหวัดสิงห์บุรี ครอบครัวค่อนข้างยากจน มีโอกาสเรียนแค่ประถม 6 ก็ต้องออกจากโรงเรียน โดยเหตุผลว่าเรียนต่อ ม.1 ค่าเทอมและค่าเสื้อผ้ารวมกันแล้วเกือบพันบาท ผมยังจำได้ดีตอนนั้นแม่ผมกอดผมไว้และบอกว่า"ลูกเรามันจนอย่าเรียนต่อเลยนะ ลูก"

ผม ได้ยินแม่พูดถึงกับน้ำตามร่วงอย่างไม่รู้ตัวเพราะสงสารแม่มากเมื่อวานผมเห็น แม่ไปขอเชื่อข้าวสารร้านข้างบ้านมา 1 กิโล ตอนนั้นผมบอกกับตัวเองว่าจะไปหางานทำเพื่อหาเงินมาให้แม่ ไม่อยากเห็นแม่ลำบากแบบนี้ผมออกจากโรงเรียนและไปเป็นลูกจ้างล้างจานที่ร้าน ข้าวแกงมีหน้าที่ยกข้าวแกงไปให้ลูกค้าพอว่างก็ต้องไปล้างจาน ค่าตัววันละยี่สิบบาท ผมทำอยู่นานเจ้าของร้านแกเป็นคนใจบุญบอกว่าผมขยันและอดทนดี


ผลงานและหน่วยก้านแห่งความตั้งใจ นาย จ้างจึงขึ้นเงินให้เป็นวันละห้าสิบบาทตามปกติเจ้าของร้านที่ผมอยู่ ถ้าวันไหนหยุดแกก็จะไปทำบุญตามวัดต่าง ๆ อยู่เสมอมีอยู่วันหนึ่งขายดีมากอย่างไม่เคยมีมาก่อนเพียงครึ่งวันก็ขายหมด พอเก็บร้านเสร็จ เจ้าของร้านก็บอกว่า วันนี้ขายดีเลิกเร็วไม่รู้จะไปไหน ไปกราบ 'หลวงพ่อดู่ที่วัดสะแก' ดีกว่า แกเลยชวนผมไปด้วย ผมว่างไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน ก็เลยไปกับเขาด้วย

ไป ถึงวัดสะแกประมาณสามโมงเย็น มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อดู่นั่งอยู่กับท่านสองคน เจ้าของร้านเข้าไปถึง ก็ก้มลงกราบหลวงพ่อ ผมก็กราบตาม เจ้าของร้านพูดทักทายลูกศิษย์ที่อยู่ก่อนแล้ว อย่างคุ้นเคยแสดงว่ารู้จักกันมานานแล้ว หลวงพ่อท่านท่าทางเมตตามาก ท่านยิ้มอย่างอารมณ์ดีและส่งถ้วยที่มีน้ำชาให้ผมและเจ้าของร้าน ท่านมองผมด้วยความเมตตา ผมขนลุกขึ้นไปถึงหัวไม่รู้เพราะอะไร ท่านบอกผมวา 'กินซะน้ำมนต์'

ผมก็ยกขึ้นดื่มจนหมดถ้วย พอกินหมดวางถ้วยลงกับพื้น ผมรู้สึกสว่างไปทั่ว ตัวเบา ตาดูมองอะไรก็สว่างใสไปหมดทั้งหูก็ได้ยินชัดเจนขึ้นมากกว่าที่เคยเป็นมา จึง นึกไปว่าเราไม่เคยกินน้ำชาบ่อยนัก พอมากินเข้าร่างกายถึงสดชื่น เจ้าของร้านคุยกับหลวงพ่อดู่นานมากจนเย็นวันนั้นเขาเช่าพระองค์ละหนึ่งร้อย บ้าง สิบบาท ยี่สิบบาท ก็หลายองค์แหวนวงละสามร้อยบาทถึงห้าองค์
หลวง พ่อดู่บอกเขาว่าเอาเงินไปหยอดตู้ทำบุญไว้ ไม่ต้องเอาให้ท่าน วันนั้นผมไม่ได้พูดกับหลวงพ่อเลยสักคำ เจ้าของร้านเห็นว่าเย็นมากแล้วจึงลาหลวงพ่อกลับ เขากราบท่านผมจึงกราบตามแล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินไปที่รถ ผมก็ลุกขึ้นจะเดินตามเสียงหลวงพ่อพูดว่า 'เดี๋ยวก่อนมานี่'





ผมหันไปตามเสียง เห็นท่านยิ้มอย่างเมตตา จึงเข้าไปหาท่านใกล้ ๆ ท่านหยิบลูกกลม ๆ เล็กๆสีขาวอมเหลืองให้ผมหนึ่งเม็ด และท่านก็พูดว่า 'เก็บติดตัวไว้ให้ดี ในนั้นมีพระอยู่ อีกหน่อยจะทำให้แกรอดตาย แล้วแกจะรวยเป็นเศรษฐี'

ผมมองดูเม็ดกลม ๆเล็ก ๆ ที่ท่านให้ก็ไม่เห็นมีพระอะไรอย่างที่ท่านบอกเลยสักองค์ ท่านคงเห็นผมทำท่าแปลกใจ เลยพูดว่า 'แกไปได้แล้ว' ผมรีบกราบท่านอีกครั้ง แล้วรีบวิ่งไปที่รถเพราะกลัวเจ้าของร้านจะรอนาน ผมขึ้นรถเจ้าของร้านก็ถามว่า 'หลวงพ่อท่านเรียกทำไม' ผมบอกเขาว่า 'ท่านให้เม็ดกลม ๆ ผมครับ'






..ทั้ง ในอดีต ปัจจุบันและอนาคต โอ้ ช่างมากมายมหาศาล เรื่องเหล่านี้เราต้องเพียรหาจิ๊กซอร์ต่างๆเอาเอง หลวงปู่บอกเราไม่เท่ากับเราได้ตระหนักรู้เอง)


เจ้าของร้านหันมามองดูสิ่งที่อยู่ในมือของผมแล้วพูดเฮ้ยนี่ของดีหายาก 'พี่มาหาหลวงพ่อหลายครั้งแล้วยังไม่เคยได้เลย เก็บไว้ให้ดีนะโว้ย' ผมรับคำว่า 'ครับพี่' หลัง จากนั้นนานสักสิบกว่าวันเจ้าของร้านก็ไปหาหลวงพ่อดู่อีก แต่ผมไม่ได้ไปกับเขาด้วยพอเขากลับมาวันรุ่งขึ้น ก็บอกผมว่าหลวงพ่อท่านฝากของดีมาให้ผม แกส่งกระดาษให้ผมใบหนึ่ง พอผมเปิดดูในนั้นมีหนังสือเขียนว่าพุทธัง สรณัง คัจฉามิธัมมัง สรณัง คัจฉามิสังฆัง สรณังคัจฉามิ

ให้ภาวนามาก ๆ ผมนึกกราบท่านในใจ ผม เป็นเด็กจนๆ คนหนี่งคิดว่าท่านคงลืมผมไปนานแล้ว แต่นี่ท่านยังเมตตาจำผมได้ และเมตตาให้คำภาวนามาด้วย ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยไปกราบพระที่ไหน พอมาเจอแบบนี้ทำให้ผมเกิดความศรัทธาหลวงพ่อดู่เป็นอย่างมาก ด้วยความศรัทธาท่านผมจึงภาวนา ไตรสรณคมณ์เรื่อยมาผมไปไหนต้องมีลูกกลม ๆที่หลวงพ่อท่านให้ติดตัวอยู่ตลอดเวลา
(คำ ภาวนาที่หลวงปู่ให้มา ทำให้ผู้ภาวนา จิตคิดถึงพระ ซึ่งหลวงปู่เคยบอกว่า เราคิดถึงพระท่านครั้งหนึ่ง ท่านจะคิดถึงเรากลับมา 14 ครั้ง แล้วนี่เราคิดถึงพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ กี่แสนกี่ล้านองค์ที่ผ่านมา ทั้งในโลกเรานี้ และโลกอื่นๆที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น..



ระยะ หลังแม่ของผมเริ่มเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้งไปทำงานไม่ไหว ผมจึงขอเจ้าของร้านหยุดงานเพื่อพาแม่ไปหาหมอ ผลออกมาว่าแม่ของผมเป็นเบาหวานความดันไขมันในเส้นเลือด และอย่างอื่นด้วย ยาแต่ละอย่างแพงมาก ผมไม่มีเงินซื้อยาดี ๆทางโรงพยาบาลจึงให้ตัวที่ถูก ๆ คือยาที่ไม่มีมาตรฐาน
ผมเสียใจที่ตนเองไม่มีปัญญารักษาแม่ คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าทำยังไงถึงจะมีเงินซื้อยาดี ๆ ให้แม่ ก่อนออกจากบ้านเช้ามืดของทุกวัน ผมจะยกลูกกลม ๆ ที่แขวนอยู่ในคอขึ้นมาพนมและภาวนาไตรสรณคมณ์ทุกวัน เช้านี้ไม่เหมือนกับทุกเช้าพอผมภาวนาไตรสรณคมณ์จบ ก็อธิษฐานว่า 'หลวงพ่อดู่ครับผมขอเงินมาซื้อยารักษาแม่ด้วยเทอญ สาธุ' (นั่นพระท่านกำลังคิดถึงเราอยู่พอดี)
และก็ออกไปทำงานตามปกติ ตอนสาย ๆ ของวันนั้นมีผู้ชาย คนหนึ่ง ที่ผมพอจำได้ว่านานๆ หลาย ๆเดือนจะมากินข้าวแกงสักครั้ง ก็มานั่งกินอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เพราะผมไม่ทันสังเกต ผมจึงตักน้ำแข็งใส่แก้วและเดินไปให้เขาตามปกติเหมือนทุกครั้ง พอเขาเห็นผมก็พูดว่า 'มาทีไรเจอทุกครั้งเลยขยันจังนะ' ผมยิ้มรับในคำทักทายของเขา แล้วพูดว่า 'ถ้าไม่มาทำงานเดี๋ยวไม่มีข้าวกินครับ'

เขาก็พูดว่า "เออพูดตรงดี พี่ชอบว่ะ แบบนี้ไปทำงานกับพี่ไหม"ผมถามเขาว่า 'งานอะไรครับ' เขาบอกว่า 'งานอยู่เรือดูดแร่' เงินดีนะน้อง ผมถามต่อว่า 'ดีของพี่ได้เดือนละเท่าไหร่ครับ' เขาตอบทันทีว่า'เป็นหมื่น'พอได้ยินคำว่าเป็นหมื่น ผมถึงกับตาโตเลยทีเดียวผมเริ่มสนใจมาก






ถามต่อว่า'ไปทำที่ไหนพี่'ชายผู้นั้นบอกว่า'จังหวัดภูเก็ต'ผม ทวนคำพูดว่าภูเก็ตและนึกว่าแม่กำลังไม่สบายจะทิ้งแม่ไปได้อย่างไร แต่ถ้าได้ไปก็จะมีเงินมาซื้อยาดี ๆรักษาแม่ ชายผู้นั้นคงเห็นผมยืนคิดอยู่นาน ชายผู้นั้นจึงพูดขึ้นว่า'อาทิตย์หน้าพี่ถึงจะไปภูเก็ตอีกสองสามวันจะมากินข้าวใหม่น้องลองกลับไปคิดดูแล้วค่อยบอกพี่' แล้วเขาก็เดินออกจากร้านไปผมมองดูชายคนนั้นเดินจากไปจนลับสายตา

เย็น นั้นผมกลับถึงบ้านก็นึกถึงแต่เรื่องอยากไปทำงานที่ภูเก็ตคืนนั้นผมนอนไม่ หลับทั้งคืน วันต่อมาผมกำลังเอายาให้แม่กินแม่คงสังเกตเห็นผมผิดปกติเลยถามว่า'ไปมีเรื่องอะไรกับเขาหรือเปล่า เป็นอะไรแปลก ๆ ไป'

ผมจึงเล่าให้แม่ฟังทั้งหมด แม่ก็พูดว่า 'เรื่องแค่นี้เองลูกอยากไปไหมล่ะ ไม่ต้องห่วงแม่หรอกแม่อยู่ได้' ผมบอกแม่ว่า 'อยากรักษาแม่ให้หาย ถ้าผมมีเงินก็จะได้ไปซื้อยาทีดี ๆมาให้แม่กินครับ' แม่บอกว่า'ตามใจแกถ้าอยากไปทำงานแม่ก็ตามใจ' แม่กอดผมและพูดขึ้นว่า 'แม่รักลูกนะ ' ผมน้ำตาไหลและกอดแม่แน่นบอกว่า 'ผมก็รักแม่ครับ' และเราสองคนก็ร้องไห้

วันรุ่งขึ้นผมไปทำงานตามแบบทุกวันพอตอนเย็นเลิกร้านแล้ว ผมก็เข้าไปหาเจ้าของร้านบอกว่าผมขอลาออก เขาท่าทางตกใจพูดว่า 'อยู่กันมาตั้งนานไม่สบายใจมีอะไรบอกพี่ได้นะ' ผมจึงเล่าเรื่องแม่ไม่สบายผมอยากได้เงินไปรักษาแม่ ให้เจ้าของร้านฟังจนหมดเขาพูดเสียงดังว่า 'ให้มันได้อย่างนี้ เองทำถูกแล้วละจะไปเมื่อไหร่' ผมตอบว่า 'อีกสองสามวันครับ' เขาเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงควักเงินออกมานับน่าจะเป็นสองถึงสามหมื่นแล้วส่งให้ผม บอกว่า

'เอาไปพี่ให้'ผมงงบอกกับเจ้าของร้านว่า'ผมไม่รบกวนยืมเงินพี่หรอกครับถ้าเอาไปคงไม่มีปัญญามีเงินมาใช้คืนพี่' 'เอ็ง กับพี่นับถือหลวงพ่อองค์เดียวกันเท่ากับเราเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันเหมือน พี่เหมือนน้อง ต้องช่วยเหลือกันถึงจะถูกเงินนี้พี่ไม่ได้ให้ยืมแต่พี่ช่วยโดยไม่ต้องเอามา คืน' ผม เกรงใจเจ้าของร้านมากเขาเป็นคนใจบุญมีเมตตาและยังมีน้ำใจต่อผู้ที่ตกทุกข์ ได้ยากอีกผมก้มลงกราบเขาเพราะไม่มีอะไรจะตอบแทนความดีของเขา

และนึกในใจว่าขอให้พี่จงเจริญ ๆวันต่อมาชายผู้นั้นก็มากินข้าวแกง พอเขาเห็นผมก็ถามว่า 'คิดได้หรือยัง' ผมตอบว่า 'ไปครับ' เขาพูดว่า 'เออดีไม่เสียแรงที่ชวน' ผมนัดกับเขาถึงวันที่จะออกเดินทาง เมื่อรู้วันเดินทางแล้วผมก็ไปบอกกับแม่และให้เงินแม่เก็บไว้หาหมอรักษาตัวระ หว่งที่ผมไปทำงานผมบอกแม่ว่า 'ได้เงินเดือนเมื่อไหร่ผมจะรีบส่งมาให้แม่ทุกเดือน' ผมนำเงินติดตัวไปแค่หนึ่งพันบาทเป็นค่ารถ
และ ในที่สุดผมได้ไปขุดทองที่ภูเก็ตเหมือนกับเวลาที่ผู้ใหญ่เขาคุยกันสมัยก่อน ว่าใครไปทำงานขุดพลอยเมืองจันทบุรี หรือไปทำแร่ภาคใต้เท่ากับไปขุดทองแต่สิ่งที่มีคุณอนันต์ตรงกันข้ามก็จะมีโทษ มหันต์เหมือนกันไปร่ำรวยกันมาก็มากพากันไปตายมาก็เยอะผมนั่งรถไปใจก็คิดว่า เราจะไปแล้วรวยหรือไปตายก็ยังไม่รู้ คิดไปคิดมายิ่งสับสนผมจึงคิดว่าตายเป็นตาย ผมต้องหาเงินรักษาแม่ให้ได้มือก็กำลูกกลม ๆ ของหลวงพ่อดู่และอธิษฐานว่า
(การ ที่ลูกตั้งใจและส่งเงินรายไดส่วนหนึ่งมาให้แม่ทุกเดือน เท่ากับลูกได้ตักบาตรกับพระอรหันต์ในบ้านทุกๆวันนั่นเอง อานิสงส์ที่ลูกจะพึงได้รับคือความสุขความเจริญ)

'เรือลำไหนที่ดีเจ้าของเป็นคนดีมีเมตตาอยู่แล้วจะมีเงินมากหรือร่ำรวยขอให้ผมได้ไปอยู่กับผู้นั้นด้วยเถิดสาธุ'

และ ผมก็ไปถึงจุดหมายปลายทาง ที่นั่นเป็นท่าเรือใหญ่ผู้คนมองดูพลุกพล่านคุยกันเสียงดังอย่างไม่มีใครเกรง ใจกัน บางกลุ่มก็คุยภาษาอีสานบางพวกก็พูดใต้มีคนส่วนน้อยที่พูดภาษาภาคกลางที่นี่ มีคนจากหลายจังหวัดหลายพ่อหลายแม่ น้อยคนที่จะมองดูแล้วบอกได้ว่าเป็นคนสุภาพแทบจะหาไม่เจอเลยทีเดียว ส่วนมากจะท่าทางนักเลง บางคนก็ตัวดำยังไม่พอแถมยังสักยันต์เต็มตัวมองดูแล้วไม่น่าไว้ใจ หรือที่เขาเรียกกันว่าน่ากลัว ผมเดินตามพี่คนที่พาผมไปทำงานเขาบอกว่าตัวเราชื่อโก๋ พี่โก๋ เดินนำหน้าผมเดินตามเดินผ่านวงเหล้าที่นั่งกินกันเป็นกลุ่มๆ บางคนหันมาเห็นพี่โก๋ก็ร้องทักว่า

'เฮ้ยมากินเหล้าด้วยกันโว้ยไอ้โก๋' พี่โก๋ก็จะตอบว่า 'พวกมึงกินกันเถอะ วันนี้กูยังไม่อยากเมา' พอ มาถึงที่พักซึ่งเป็นเหมือนห้องแถวประมาณสิบกว่าห้อง ตรงกลางมีลานกว้างประมาณ 7-8 เมตร มีโต๊ะหินสองตัวต่อกันคนนั่งได้สักสิบกว่าคนสบายมาก ที่ตรงนั้นมีผู้ชายกลุ่มใหญ่นั่งกินเหล้ากันอยู่พอเห็นผมกับพี่โก๋ ก็ร้องทักว่า 'พี่โก๋พาใครมาด้วยละ' พี่โก๋บอกว่า 'น้องชายมันชื่อตั้ม'

ในกลุ่มนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งท่าทางคงเมามากแล้วพูดว่า 'หน้ามันอ่อนอย่างนี้มึงจะพามันเล่นลิเกหรือว่ะไอ้โก๋' 'กูจะพามันมาทำงานกับนายเค้า ไม่ได้มาเล่นลิเกแบบมึงว่าหรอก' เสียงชายคนเก่าพูดว่า 'ไอ้โก๋มึงยังกวนตีนเหมือนเดิมนะไม่ได้เห็นหน้ากันเสียหลายวัน' พี่โก๋พูด 'กูยังเหมือนเดิม' แล้วแกก็พาผมไปพักห้องเดียวกับแก 'มึง อยู่กับพี่ที่นี่แหละพี่อยู่คนเดียวห้องมันใหญ่ไปจะได้มีเพื่อนคุยถ้ามึงไป อยู่คนเดียวไอ้พวกเหี้ยมันเยอะเดี๋ยวไม่มีคนดูแลจะเกิดเรื่อง'
เช้า ของวันต่อมา พี่โก๋พาผมไปยังบ้านหลังหนึ่งใหญ่โตมากมีคนมาเปิดประตูรั้วบ้านให้เราสองคน เข้าไปในบ้าน มีผู้ชายตัวใหญ่ดำสักมังกรพันแขนใส่กางเกงตัวเดียวไม่ใส่เสื้อ อยู่ที่โต๊ะทำงาน พอเห็นพี่โก๋ก็พูดว่า 'เป็นยังไงกลับบ้านซะหลายวันพี่นึกว่าอาทิตย์หน้ามึงถึงจะกลับมาเรือมันขาดคนทำงานไม่ได้ดีเลยวะ'

ตัวดำใหญ่ผมคิดว่าแกคงน่ากลัว แต่ที่ไหนได้แกพูดจายิ้มแย้มอารมณ์ดีท่าทางใจดีอีกต่างหากชายเจ้าของบ้านถามพี่โก๋ว่า 'แล้วพาใครมาด้วยละ' แกตอบ 'น้องครับพี่ผมจะเอามันมาฝากให้ทำงานกับพี่ครับ' 'รูปมันหล่อหน้ามันอ่อนจะทำงานไหวหรือวะโก๋' 'พี่ก็ให้งานเบา ๆ ให้มันทำก็ได้'

เป็น อันว่าผมได้งานทำในห้องนั้น ที่โต๊ะรับแขกมีผู้หญิงแต่งชุดนักศึกษานั่งเขียนหนังสืออยู่สามคน มุมโต๊ะมีจานขนมและผลไม้วางอยู่ พวกเธอมองผมและก็ยิ้มให้ ผมยิ้มตอบพี่โก๋ลาชายเจ้าของบ้าน ผมก็ยกมือไหว้เขาและพากันกลับยังที่พัก ตอนหลังผมมารู้ว่าผู้หญิงสามคนนั้นคนหนึ่งเป็นหลานสาวของเจ้านาย อีกสองคนเป็นเพื่อนของเธอ เรื่องมันยาวครับผมขอเล่าเรื่องที่สำคัญดีกว่า เดือนต่อมาผมได้เงินเดือน พอได้ก็รีบส่งไปให้แม่ เงินประมาณหนึ่งหมื่นบาทต่อเดือนผมให้แม่เกือบหมด เหลือไว้บางเดือนก็ห้าหกร้อยบาทเท่านั้นก็พอใช้ เพราะผมไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่

คน อื่นเขาได้เงินมาก็ไปกินเที่ยวกัน แต่ผมไม่ไปเพราะไม่ชอบที่นั้นมีทุกอย่างทั้งเหล้า การพนัน ผู้หญิง เพราะเรือแร่ขึ้นทีคนงานจะมีเงินกันเป็นจำนวนมาก บางคนก็ไปสิบห้าวันจะได้เงินประมาณสามหมื่น บางคนงานเบาเป็นคนถือสายน้ำฉีดแร่ก็จะได้ประมาณหมื่นแปดพัน หรือสองหมื่น คนที่ถือสายท่อดูดแร่ลงไปใต้น้ำเสี่ยงชีวิตมาก ก็จะได้เงินมากกว่าหน้าที่อื่นเป็นเท่าตัว
มี คนมากมายที่ต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่น ฆ่ากันตายก็เยอะ ลงไปดูดแร่เกิดเรื่องต่างๆ ตายกันไปจนนับไม่ถ้วน ที่นั่นไม่มีใครสนใจใคร เพราะเป็นที่ไกลปืนเที่ยง ฆ่ากันตายบ่อยมากพอตายตำรวจมาตรวจดูศพแล้วก็ไป โดยมาเอาผิดกับใครไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะตำรวจไม่ค่อยใส่ใจ เพราะคนมาอยู่รวมกันมากๆ เป็นร้อยพ่อพันธุ์แม่ยากแก่การดูแล มีทั้งดีและชั่วปนกันไป ผมมาอยู่ตั้งแต่ตัวยังไม่โตนัก ตอนนั้นผมอายุ 16 ปี ตัวเล็กเอวบางร่างน้อย

คน อื่นดูแล้วว่าท่าทางไม่แข็งแรง เราออกเรือจะใช้เวลาไปกลับสิบห้าวัน เจ้าของเรือตั้งเป้าของน้ำหนักแร่ไว้ว่าถ้าได้ 1,000 กิโลเมื่อไหร่ก็กลับได้เลย แต่ถ้าสิบห้าวันแล้วยังได้แร่ไม่ถึง 1,000 กิโลต้องกลับเหมือนกัน เพระอาหารและน้ำดื่มที่เตรียมไปพอแค่สิบห้าวันสิบห้าวัน ถ้าได้แร่ 700-800 กิโล ลูกเรือก็จะได้เงินน้อยแต่ถ้าได้แร่ถึง 1,000 กิโล คนถือท่อดูดแร่ที่ลงไปใต้น้ำจะได้เงินประมาณ 30,000 บาทคนฉีดน้ำบนเรือจะได้เงินประมาณ 20,000 บาท ส่วนผมจะได้ 10,000 บาท

แต่ ต่อมาผมได้เงินมากกว่าคนอื่นเสียอีก ด้วยเหตุผลว่าพี่เจ้าของเรือแกชอบผมมาก เขามีเรืออยู่หลายลำ แต่ลำที่ผมอยู่เจ้าของเรือไปคุมด้วยตัวเอง แกเคยบอกผมว่าครั้งไหนที่ผมไม่สบาย และไม่ได้ไปด้วย ต้องไปนานจนครบสิบห้าวันทุกครั้งเลยแต่ถ้าผมไปด้วยอย่างมากก็แค่ 7 วันก็ได้แร่ถึง 1,000 กิโล และบางครั้งก็ห้าวันก็มีบางหนสามวันยังมีเลย

'พี่สังเกตเห็นแกเวลาที่เรือจะออกจากฝั่งจะยกสิ่งที่แขวนคอซึ่งเป็นเม็ดกลมๆ เล็ก ขึ้นมายกมือพนมแล้วว่าคาถาอะไรไม่รู้ แต่คาถาของเองนี่ขลังจริง ๆ ว่ะพี่นับถือ' ตอนหลังถ้าผมไม่สบาย แกบอกว่าไม่ต้องหยุดงานไปนอนในเรือแต่ไม่ต้องทำงานก็ได้ แต่แกแบ่งเงินให้เหมือนเดิมแกว่า 'แค่เองไปด้วยพี่ก็ได้กลับเร็วกว่าปกติตั้งเยอะ' ผม มาอยู่กับพี่เขานี่ก็สามปีแล้วผมโตเป็นหนุ่มเต็มตัวตอนนี้ไม่ได้เงินน้อย แล้วคนที่ลงถือท่ออยู่ใต้น้ำถ้าเขาได้เงิน 30,000 บาท ผมก็จะได้เงินถึง 40,000 บาทเลยทีเดียว

ซึ่งผมไม่ได้มีคาถาอะไรอย่างที่เขาว่าหรอก เพียงแต่เวลาจะออกเรือผมก็จะยกลูกกลม ๆ ที่หลวงพ่อดู่ให้มาแล้วอธิษฐานว่า 'ขอให้ผมปลอดภัยได้เงินมา เพื่อเอาไปรักษาแม่ด้วยเทอญ สาธุ' ออกเรือทีไรลำอื่นไม่ได้แร่กัน แต่ลำที่ผมไปกับได้มากและกลับเร็วกว่าลำอื่นเสมอเจ้าของเรือจึงรักผม มากบอกว่าอยู่กันแล้วเจริญรุ่งเรืองคนแบบนี้หายากผมโชคดีทั้งเรื่องงานและ ความรัก หลานสาวของเจ้าของเรือ
เธอ ก็มารักผมด้วยไม่เพียงแค่นั้นเพื่อนรักของเธอทั้งสองคนก็รักผมเหมือนกันจึง ทำให้ผมเลือกไม่ถูกว่าคนไหนดี เธอทั้งสามคนเป็นคนสวยและน่ารักมากผมเคยบอกกับเธอทีละคนว่าบ้านผมที่จังหวัด สิงห์บุรีหลังเล็กเพราะครอบครัวของผมยากจนเธอบอกว่าจน ๆ แหละชอบ แค่เห็นผมครั้งแรกที่ผมมาสมัครงานกับพี่โก๋คืนนั้นกลับไปนอนไม่ค่อยหลับเลย
ผม นึกในใจอะไรจะขนาดนั้น อยู่มาไม่นานนักพวกชายหนุ่มที่หลงรักพวกเธอแต่ผมไม่รู้ว่าคนไหนเพราะมี ผู้ชายมาจีบพวกเธอมากมายหลายคน ส่วนมากจะรวย ๆกันทั้งนั้น
และ วันนั้นก็มาถึงผมจะต้องจำไปตลอดชีวิตอย่างไม่มีวันลืมเลยทีเดียวผมออกเรือ ไปดูดแร่ตามปกติแต่ครั้งนี้เจ้าของเรือไม่ได้ไปด้วยเพระเขามีธุระสำคัญต้อง ไปทำ ออกเรือไปเป็นวันที่สี่ได้แร่ประมาณ 800-900 กิโลแล้ว จะกลับอีกสองวันนี่แหละคืนนั้นอากาศดีดาวเต็มท้องฟ้า

ผม ยืนคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่ท้ายเรือได้ยินเสียงคนเดินมาข้างหลังจึงหันไปดูก็เห็นลูกเรือด้วยกันแต่ วันนี้เขาไม่ได้มาอย่างมิตรในมือเขาถือปืนมาด้วย พอเขารู้ว่าผมเห็นเขา ก็ยกปืนในมือมายิงผม มีเสียงดัง ปั้งปั้ง ปั้ง เป็นระยะ ๆ คมกระสุนปืนพุ่งเข้าหาผมทุกนัด อย่างแม่นยำตัวผมกระเด็นตกจากเรือ
ตอน นั้นผมตกใจยังทำอะไรไม่ถูก หล่นไปในน้ำมันก็มืดผมมองไม่เห็นตัวเอง ได้แต่เอามือลูบๆ ดูว่าแผลถูกยิงตรงไหนบ้างแต่น่าแปลกตัวผมไม่มีบาดแผลสักแห่งเดียวแต่ผมต้อง ลอยคออยู่ในทะเลจนถึงเช้าและมีคนที่อยู่เรือลำอื่นมาช่วยและพาขึ้นฝั่ง ตอนหลังผมมารู้ว่าผู้ชายที่หลงรักผู้หญิงที่มารักผม จ้างลูกเรือที่อยู่เรือลำเดียวกับผม เป็นเงิน 50,000 บาท เพื่อฆ่าผมทิ้งกลางทะเล
ตอน ที่ผมถูกยิง ผมจำได้ว่าผมเห็นพระพุทธรูปเหมือนกับองค์ที่อยู่ที่วัดหน้าพระ เมรุในพระอุโบสถ จำได้ดีว่าเป็นพระมหาจักรพรรดิมาลอยอยู่ข้างหน้าของผม กระสุนปืนทั้งหมดทะลุผ่านองค์พระมหาจักรพรรดิ แล้วถึงมาโดนตัวผมด้วยอำนาจ ของพระพุทธคุณนี้เองจึงทำให้ลูกกระสุนปืนทุกนัดไม่ระคายผิวของผม (พลังแรงของลูกปืน ถูกพลังงานบุญบารมีของพระสลายไปหมด)
ทำให้ผมนึกไปถึงตอนที่ 'หลวงพ่อดู่'ท่านมอบลูกกลม ๆ ให้ผมและท่านบอกว่ามีพระอยู่ในนั้นหลายปีที่ผ่านมาผมมองดูทีไร ไม่เคยเห็นพระที่ท่านบอกสักองค์มาเห็นพระตอนที่ผมถูกยิงนี่เอง ดีที่ผมจำคำสอนของหลวงพ่อดู่ได้ตลอดไม่เคยลืมคำว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณังคัจฉามิ และภาวนาอยู่ทุกวัน ถ้าไม่มี พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ผมคงตายไปแล้ว (ที่หลวงปู่บอกให้ฟัง มันเป็นภาพจากอนาคตังสญาณ ที่แม่นยำของหลวงปู่นั่นเอง)
(ท่านอ่านมาถึงตรงนี้ จะได้เห็นความเมตตาของหลวงปู่ดู่ ที่มีญาณรู้คอยให้สติแก่ลูกศิษย์ตลอดเวลา)
ผม รอดตายโดยไม่มีบาดแผลไม่สามารถเอามือปืนและคนว่าจ้างมาลงโทษได้ตามกฏหมาย ทั้งตำรวจก็ไม่สนใจในเรื่องคดีเพราะคนที่ว่าจ้างเป็นลูกของผู้มีอิทธิพล ในพื้นที่ ผมไม่ตายยิ่งเพิ่มความโกรธแค้นให้กับคนที่ว่าจ้างคนมาฆ่าผม หลายเดือนผ่านไป
เมื่อ เขารู้ว่ากระสุนปืนไม่อาจฆ่าผมได้จึงเปลี่ยนวิธิใหม่ เขาไปจ้างหมออิสลามหรือที่เรียกกันว่าหมอแขก เพราะพวกนี้มีวิชาอาคมเข้มขลังมาก สามารถทำคุณไสย์ ให้คนตายมามากต่อมาก ที่นั่นคนอยู่เรือเขาไม่นิยมใส่รองเท้ากัน เพราะเวลาเดินบนเรือมันจะลื่นง่ายเลยเป็นเรื่องไม่ยากนักที่เขาจะให้คนแอบมา เอารองเท้าของผม ไปทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์มนต์ดำ

ช่วง นั้นผมคงกำลังดวงตก อยู่ๆ เชือกแขวนพระขาด เลยยังหาเชือกใหม่ไม่ได้ ผมเก็บลูกกลมๆ ของหลวงพ่อดู่ไว้หัวนอน รุ่งเช้าก็ลืมนำติดตัวไปด้วย เที่ยวนั้นเรือดูดแร่ออกไปได้เพียงวันเดียวผมก็ปวดท้องอย่างแรง จนพี่เจ้าของเรือจะเอาเรือเข้าฝั่ง ผมบอกว่าอย่าเลยพี่ เดี๋ยวนอนพักก็หาย แต่ไม่เป็นอย่างนั้น ผมเริ่มปวดจากท้อง แต่เดี๋ยวก็ปวดหัวจนลูกตาแทบจะหลุดออกมาจากเบ้าตา หนักเข้าไม่หัวอย่างเดียว ในที่สุดก็ปวดไปทั้งตัว แม้แต่กระดูกยังปวด คิดในใจว่าจะรอดหรือเปล่า กลางคืนนอนก็ฝัน เห็นแต่ฝีปีศาจจะมาเอาชีวิต
บาง ครั้งเหมือนกับครึ่งหลับครึ่งตื่น ฝีแขกใส่หมวกแบบอิสลาม มาบังคับให้ผมเอาเชือกมาผูกคอผมไม่ยอมทำตาม มันก็บอกว่าให้ไปโดดทะเล ผมนอนดิ้นไปดิ้นมาปวดทรมานไปทั้งตัว ผีเข้ามาบังคับจะเอาชีวิตอีก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ตอนหลังมันมากันเป็นสิบๆตัว มันพูดว่ามึงต้องตาย บางตัวก็จับแขนกดเอาไว้อีกตัวก็กดขา ไอ้ตัวดำสูงใหญ่เข้ามาบีบคอ จนผมเริ่มหายใจไม่ออก ตอนนั้นผมร้องไห้คิดถึงแม่ คิดว่าคงไม่ได้กลับไปเห็นหน้าแม่อีกแล้ว ครั้งนี้ต้องตายแน่นอน

มีเสียงหนึ่งซึ่งผมจำได้ว่า เป็นเสียงของ หลวงพ่อดู่ ท่านพูดว่าพุทธังธัมมังสังฆัง พอผมได้ยินหลวงพ่อท่านบอก ผมก็ตั้งจิตภาวนาว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมังสรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ก็ มีรัศมีเป็นแสงสว่างหลายสีพุ่งออกมาจากตัวผม รอบตัวทำให้แสงรัศมีนั้นโดนปีศาจทุกตัว มันร้องอย่างเจ็บปวด แสงสว่างนั้นกลายเป็นไฟเผาพวกปีศาจทั้งหมด ละลายไปกับอากาศ ผมเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นกราบหลวงพ่อดู่ ใจก็บอกตัวเองว่ารอดตายแล้ว
(เมื่อมีเหตุปัจจัย สิ่งที่จะเกิดก็เกิด เมื่อจิตคิดถึงพระ พระท่านก็มาโปรดทันที)
คืน นั้นผมไม่ยอมนอน ผมนั่งสมาธิทั้งคืน จนเช้าประมาณแปดโมงเช้า มีเรือผ่านมาจะเข้าฝั่ง เจ้าของเรือที่ผมอยู่ รีบเรียกเรือลำนั้น ผมนอนอยู่ใต้ท้องเรือได้ยินเสียงเขาชัดเจน เขาบอกคนคุมเรือลำนั้นว่า 'น้องกูไม่สบายฝากเข้าฝั่งด้วย' แกรักและเป็นห่วงผมแบบน้องชาย

พอเรือเข้าถึงฝั่งผมรีบตรงไปยังห้องพัก แทนที่จะไปหาหมอ ถึงห้องก็ไปที่หัวนอนหยิบลูกกลม ๆ ยกมือพนมพระ นึกถึงหลวงพ่อดู่ ตั้งนะโมสามจบแล้วภาวนาไตรสรณคมณ์ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณังคัจฉามิ เท่านั้นผมอ๊วกออกมาเป็นน้ำสีเหลือง ๆ เหม็นไปทั่วบริเวณนั้น สิ่งที่ออกมามันเหมือนกับน้ำเหลืองผีอย่างไงอย่างนั้นเลยทีเดียว พออ๊วกเสร็จ ผมรู้สึกร่างกายเบาสบายสดชื่น เหมือนไม่เคยเจ็บปวดมาเลยทั้งที่เมื่อคืนผมปวดไปทั้งตัว ครั้งนี้ถ้าไม่ได้อำนาจของไตรสรณาคมณ์ ผมจะเป็นอย่างไรอาจจะไม่รอดก็ได้ใครจะรู้

ตอนหลังผมมารู้ชื่อของลูกกลมๆ ที่หลวงพ่อดู่ให้มาว่าชื่อ 'ลูกแก้วสารพัดนึก' ภูเก็ตที่ผมไปอยู่ตรงนั้น เขาเรียกว่าท่านุ่น



สมัย นั้นยังเป็นดินแดนป่าเถื่อน หรือที่เรียกว่า ไกลปืนเที่ยง แต่ผมก็รอดชีวิตมาได้ถึงสองครั้ง ครั้งแรกโดนยิง แต่กระสุนปืนไม่อาจระคายผิวของผม ครั้งสองโดนคุณไสยมนต์ดำของหมอแขก แต่ก็รอดมาอีก ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีคนดีคอยช่วยเหลือ รักใคร่เมตตาโชคลาภทั้งทรัพย์สินเงินทองก็ได้มาจากการทำกิน
(ทั้ง นี้ ด้วยได้คำแนะนำของหลวงปู่ดู่ และให้ลูกแก้วสารพัดนึก มาไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ผู้ที่ยังไม่อยู่บน ทางมรรค ตลอดเวลา ย่อมมีเวลาเผลอสติได้ การมีลูกแก้วติดตัวตลอดเวลา จึงช่วยช่องโหว่ของสติ)
จะ ไปทำอะไรอาชีพเดียวกับคนอื่น คนอื่นเขาทำแล้วไม่ค่อยได้ดี แต่พอผมทำก็จะเจริญและร่ำรวยอย่างผิดหูผิดตาทั้งผู้หญิงดี ๆ ก็มารักผมหลายคน ผมเป็นคนที่ไม่ชอบแต่งตัวทองสลึงเดียวก็ไม่เคยมีติดตัว ใส่เสื้อผ้าถูกๆ แต่ผู้หญิงกลับมาชอบอย่างมากมายหลายคน เงินทองทั้งหมดที่ได้มา ผมส่งไปให้แม่หมด เหลือไว้ใช้เพียง 500-600 บาทต่อเดือนเท่านั้น ชีวิตของผมดีขึ้นเรื่อย ๆหลายปีผ่านไปเดี๋ยวนี้ผมกลายเป็นเศรษฐีมีเงินทองมากมายทั้งเป็นเจ้าของเรือ ดูดแร่อีกหลายลำ แต่ผมไม่เคยลืมตัวยังแขวนลูกแก้วสารพัดนึกอยู่ในคอตลอดเวลา (เนื่องด้วย ความศรัทธา หลวงปู่ดู่ และเพียรระลึกถึง ทั้งสวดไตรสรณาคมณ์ทุกวัน แล้วอธิษฐานขอสิ่งที่ต้องการ เป็นประจำ และยังได้ตักบาตรกับพระอรหันต์ คือแม่ของตนเองด้วยทุกวัน ด้วยเงินเดินส่วนใหญ่ที่ส่งไปให้แม่ได้ใช้จ่าย ...ลูกกตัญญู.. ขอโมทนาสาธุ...แล้วอย่างนี้ใครนึกอยากได้ลูกแก้วบ้าง ?)

ผมจำได้ตอนที่หลวงพ่อดู่ให้ลูกแก้วสารพัดนึกท่านบอกว่า 'เก็บติดตัวไว้ให้ดีในนั้นมีพระอยู่อีกหน่อยจะทำให้แกรอดตาย แล้วแกจะรวยเป็นเศรษฐี' คำ พูดของหลวงพ่อดู่ท่านศักดิ์สิทธิ์ เป็นจริงทุกคำผมอยู่ที่ภูเก็ตนานจึงมีเพื่อนมาก เคยมีเพื่อนคนหนึ่งมันชอบสะสมพระดังๆ ที่มีราคาแพงมากๆ มันถามผมว่า 'มึงเป็นเถ้าแก่ใหญ่เงินทองมากมาย ทำไมเอาลูกอมกลมๆ มาแขวนคอลูกเดียววะ ไม่หาสมเด็จวัดระฆังมาแขวนคอสักองค์' ผม ตอบมันว่า 'พระสมเด็จน่ะดีต้องคนมีบุญมีวาสนาถึงจะได้มีไว้ครอบครอง สำหรับกูลูกกลมๆ นี่แหละดีที่สุดแล้ว มึงรู้ไว้เลยนะ ที่กูมีวันนี้ได้ก็เพราะลูกกลมๆนี้แหละ'
เรื่อง ราวที่คุณราชสีห์ ได้เผชิญกับมันมา ทั้งร้ายและดี คงจะช่วยทำให้ท่านผู้ติดตาม มีความเข้าใจและเข้าถึง ลูกแก้วสารพัดนึก ของหลวงปู่ดู่ ได้มากยิ่งขึ้น ... และหลายๆท่านอาจมีคำถามว่า แล้วป่านนี้เราจะมีโอกาสเช่นนั้นบ้างไหม ..ลองแวะที่นี่ครับ

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การดูกายทิพย์ ในวิชชาของหลวงปู่ดู่

การดูกายทิพย์ ในวิชชาของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก
http://www.ainews1.com/article528.html






เป็นข้อมูลจากเว็บเก่าของวัดถ้ำเมืองนะ ที่ได้นำมาลงในเว็บไซท์ปัจจุบัน ให้ผู้สนใจศึกษากัน
ขอ นำเรื่องราวบางอย่างที่ได้เรียนรู้มาจาก หลวงตาม้าสมัยบวชเรียนอยู่กับท่านที่วัดถ้ำเมืองนะ นำมาถ่ายทอดเรียบเรียงเป็นบทความนี้เป็นธรรมทานครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย
การดูกายทิพย์และวิธีการทรงกายจักรพรรดิ
ร่าง กายที่เราใช้ในการดำเนิน ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เป็นแค่ ธาตุ 4 ที่รวมตัวกันขึ้นมา ประกอบเป็นสิ่งที่โลกๆเรียกว่า เราแต่แท้จริงแล้วนี้ไม่ใช่เรา ไม่มีส่วนไหนในร่างกายอันเน่าเหม็นสกปรกนี้ ที่เป็นเราแม้แต่อย่างเดียว ทุกอย่างกำลังแก่ตัวลงตามกาลและเวลาและในไม่ช้า จะสลายตัวคืนสู่ธรรมชาติไปในที่สุด


กาย ทิพย์ คือรูปและนามที่ประกอบขึ้นจากจิต และมีความเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะอารมณ์ของ จิต กายทิพย์คือกายที่ซ้อนอยู่ในกายเน่าๆกายนี้ กายเน่าๆกายนี้ที่กายทิพย์ซ้อนอยู่ เป็นเพียงเปลือกเท่านั้น ทุกวันนี้เราเหมือนตัวทากที่อาศัยอยู่ในเปลือก ซึ่งเปลือกนี้แลที่เป็นสิ่งสำคัญที่จะดำรงอยู่ในภพมนุษย์ได้ เมื่อเปลือกแตกไป จิต กายทิพย์นี้ก็ไม่อาจทรงอยู่ในภพมนุษย์ได้อีกต่อไป ซึ่งเป็นที่ๆเราเอาร่างกายเนื้อมารับกรรม ใช้กรรม หรือ มาสร้างบุญบารมีมาปฎิบัติ ฯลฯ

ต่อ ไปนี้จะลงลึกในส่วนกายทิพย์ ซึ่งเป็นรูปและนามที่ประกอบขึ้นถูกตกแต่งจาก อำนาจกรรม (ใครจะใหญ่เกินกรรม) และ สภาวะจิต ที่ส่งผลต่อกายทิพย์โดยตรงว่าจะมีรูปร่างเช่นไร

กำหนดดูกายทิพย์
หากกำหนดดู ทำใจให้สบายๆ อธิษฐานขอกำลังหลวงปู่ ขอดูเพื่อศึกษา แล้วกำหนดไป จับอารมณ์แรก จิตจะเห็นถึงกายทิพย์ที่ซ้อนอยู่ ไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องเกร็งวางใจสบายๆ ทรงอารมณ์กระแสหลวงปู่ที่ไหลผ่านเข้าสู่จิตเราให้มีกำลัง แล้วน้อมไปอารมณ์คล้ายการนึกแล้วเห็น แต่ไม่ใช่อุปาทาน ขอแค่ใจสบายและอาราธนากำลังหลวงปู่มาก่อนกำหนดทุกครั้ง แล้วไม่ต้องลังเลไม่ต้องสงสัย ให้มีความกล้า นึกกำหนดไป หลวงตาเมตตาสอนว่าอุปาทานต่างๆ หลวงปู่ท่านคุมปิดให้หมด เราไม่ต้องกังวล

นิมิต ที่เห็นนั้นจริงทุกประการ ซึ่งหลักการนี้ยังใช้กับการกำหนดดูภพภูมิด้วย และที่สำคัญที่สุด และเป็นพื้นฐานหัวใจที่สำคัญที่สุดของวิชาเปิดโลกทั้งหมด คือ พรหมวิหาร ซึ่งหลักการง่ายๆ ไม่มีอะไรมากเลยหลวงตาสอนว่า " รักทุกคน ไม่เกลียดใคร ไว้ใจบางคน" ซึ่งแปลถึงว่าเราไม่มีอคติใดกับใครๆ รักทุกคนโดยไม่มีสิ่งใดแฝง แต่ในทางเดียวกัน ก็เป็นการมีเมตตาอย่างมีปัญญา ทั้งนี้ในการทรงอารมณ์หลวงปู่ ในการน้อมไปดูนั้น การกำพระผงจักรพรรดิ จะช่วยได้มากสำหรับคนที่ฝึกใหม่ๆ ที่อำนาจจิตยังทรงกำลังหลวงปู่ได้ไม่นิ่งพอ

หลวงปู่ดู่เป็นพระมหาบรมโพธิสัตว์เจ้าบารมีรวม ทั้งก่อนและหลังรับพยากรณ์ถึง 80 อสงไขย กับเศษแสนมหากัป และ สร้างบารมีพิเศษด้านกำลังจักรพรรดิ และเป็นผู้ที่จักมาตรัสรู้เป็นพระศรีอาริยเมตไตรยในอนาคตกาล อีกประมาณล้านปี มนุษย์ ขอจงมั่นใจในกำลังและเมตตาท่านเถิด

คำแนะนำ - อย่าทิ้งการปฎิบัติภาวนา ตลอดชีวิต จนกว่าลมหายใจจะหมดไป
ประเภทของกายทิพย์
  1. กายสัตว์นรก
    - เป็นกายทิพย์ที่จะปรากฎกับผู้ที่อำนาจจิตใจอยู่ในกิเลศอย่างเข้มข้น มีจิตใจที่เร่าร้อน ไม่สงบ วุ่นวายมีความคิดที่น้อมไปสู่อกุศล กายสัตว์นรกยังจำแนกออกไป ตาม อบาย ขั้นต่างๆ เช่นเปรต หรือนรกชั้นต่างๆซึ่งความน่าเกลียดน่ากลัวของกายทิพย์เหล่านี้ก็แตกต่างกัน ออกไป
    ตามชั้นของสถาวะจิตที่อยู่ในอารมณ์แห่งบาปเพียงใดเมื่อเราสามารถที่จะกำหนดดูกายทิพย์เหล่านี้ได้ เมื่อเราเห็นกายสัตว์นรกเราก็สามารถ
    น้อมกระแสดูต่อได้ว่า เมื่อเขาตายไป จะไปตกนรก ชั้นใดแต่ในทางกลับกัน แทนที่จะปล่อยให้เขาตกนรก เราก็สัพเพครอบวิมาน
    ให้ เขาเพื่อปรับพื้นฐานจิตใจเขาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครอบวิมานกำลังบารมีบุญตัวนี้จักไหลเข้าสู่กายทิพย์เขาทำให้เขาจะมี โอกาสที่จะดีขึ้นเรื่อยๆได้
    หากไม่พ้นวิสัยของกรรมก็อาจรอดนรกได้ในที่สุด
  2. กายในของสัตว์
    - เมื่อพูดถึงกายในของสัตว์คนส่วนใหญ่คงนึกกันว่าจะมีลักษณะเหมือนสัตว์ชนิด นั้นๆ เช่นเมื่อสุนัขตายไป ก็ จะมีวิญญานในรูปร่างลักษณะ ของสุนัข แต่แท้จริงแล้วหาใช่เป็นยังงั้นเลย สุนัขที่เราเห็นนั้น แท้จริงกายในก็มีลักษณะคล้ายกับรูปร่างมนุษย์ที่ขดตัวลงไปคลาน 4 ขาในร่างของสุนัข และนับว่าเป็นความทรมานอย่างยิ่ง ภูมิของสัตว์พระพุทธเจ้าจึงจัดเป็นอบายภูมิชนิดหนึง แต่ทั้งนี้กายทิพย์ที่อยู่ในร่างของสัตว์ก็ยังมีลักษณะความหยาบละเอียดแตก ต่างกันไป เช่นหากเห็นสุนัขเรื้อนตามวัดวา พวกนี้ส่วนใหญ่คือสัตว์นรกที่ขึ้นมาชดใช้กรรมต่อในภูมิของสัตว์ ส่วนสุนัขที่เราเห็นอยู่ดีกินดี ก็ จะมีกายทิพย์ที่ยังเป็นกลางๆอยู่ ส่วนหากเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีบุญญาบารมีหรือผู้มีธรรม โดนกรรมวิสัย
    ทำ ให้ต้องเกิดเป็นสัตว์ เช่นเกิดเป็นช้าง นก ฯลฯ จะมีความบริสุทธิ์ของกายทิพย์ที่มากกว่าสัตว์ทั่วไป แต่ทั้งนี้สำหรับโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มแล้ว
    จะไม่มีการไปเกิดเป็นสัตว์ หรืออบายภูมิใดๆ อีกเลย จักขึ้นลงเพียง ภูมิมนุษย์ กับภูมิ เทวดา พรหม
  3. กายมนุษย์
    - มีความคล้ายคลึงกับร่างกายที่เราครองอยู่ในชาติปัจจุบันมากที่สุด เพราะกรรมตกแต่ง กายทิพย์มนุษย์ คือกายที่อยู่ตรงกลางของประเภทกายทิพย์ทั้งหมด โดยกายทิพย์มนุษย์โดยทั่วไปสภาวะ อารมณ์จะอยู่กลางๆ คาบเกี่ยวระหว่างบาปและบุญ ขึ้นๆลงๆ ไม่คานกันมากนัก แต่ทั้งนี้ก็ยังแตกต่างกันอยู่ในเรื่อง ความหมองคล้ำ หรือความใสของกายทิพย์ สำหรับกายทิพย์มนุษย์ที่หมองคล้ำนั้น เหตุเกิดจาก ศีล 5 ไม่ครบ ยิ่ง มากข้อก็ยิ่งหมองและสุดท้ายนำพาไปสู่การเป็นกายทิพย์สัตว์นรกในที่สุดส่วน สำหรับมนุษย์ที่มีศีล 5 เป็นพื้นฐาน กายทิพย์จะมีความละเอียดมากกว่ายิ่งสถาวะอารมณ์ดีด้วย ก็ยิ่งมาก และเข้าใกล้สู่การเป็นกายทิพย์เทวดาต่อไป
  4. กายเทวดา
    - คือผู้ที่สามารถทำสภาวะจิตจนตั้งมั่นอยู่ในบุญตลอดเวลา เป็นปกติ มีหิริโอตะปะ ความละอายในบาป เป็นปกติมีศีลบริสุทธิ์ และมี อารมณ์เมตตาระดับหนึง แม้จะมีอารมณ์ขุ่นเคืองบ้างในบ้างครั้งแต่ก็เบาบางมาก และหายไปทันทีและจิตก็กลับมาทรงอารมณ์ที่อยู่ในบุญทันที กายทิพย์ตั้งแต่ระดับเทวดาขึ้นไปจะมีเครื่องทรงที่มาจากอำนาจบุญที่เคยกระทำ ไว้ ไม่ว่าทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขาและรวมถึงความเข้มข้นของอารมณ์จิตที่ตั้งมั่นในบุญและความละเอียดของ จิต ซึ่งจะส่งผลต่อความะเอียดของกายเทวดาว่าจะสามารถเข้าถึงสวรรค์ชั้นใดได้ จาก 6 ชั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับบุญบารมี ด้วย จึงขึ้นอยู่กับเราที่จะทรงกายเทวดาได้ละเอียดแค่ไหนวิมานของเทวดาเองก็มี ความละเอียดประณีตแตกต่างกันตามกำลังบุญของเจ้าของวิมานนั้นๆ
  5. กายพรหม
    - มีความคล้ายคลึงกับกายทิพย์เทวดาแต่จะมีความละเอียดกว่ามากเครื่องทรงจะมี ความละเอียดกว่ามากและเบาบางลึกซึ้งสุขุม การจะทรงกายทิพย์ของพรหมได้จักต้องมีอารมณ์ตั้งมั่นและสมาธิของจิตที่ดีมาก อารมณ์ใจสบายอย่างที่สุด และ มีพรหมวิหาร เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาอย่างเข้มข้นครบถ้วน ซึ่งเป็นพรหมวิหารธรรม ความหมายตรงตามชื่ออยู่แล้ว
  6. จิตพรหมลูกฝัก
    - ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากเป็นเรื่องของคนที่เล่นณานสมาบัติขั้นสูงๆกัน พบมากในฤาษีและผู้ปฎิบัติบางสายที่เข้าใจผิดขั้นสุดท้ายว่านี้คือนิพพาน สถาวะนี้จิตจะไร้รูปไร้ร่าง ฯลฯ เมื่อตายไปจะไปติดแหง่กอยู่ในอรูปพรหม 4 ไปไหนไม่ได้ นิ่งอยู่อย่างนั้นไปไหนไม่ได้จนกว่าจะหมดกำลัง พอหมด หากมีกรรมบาปที่เคยทำเผลอๆดิ่งลงนรกต่อภูมินี้ให้อธิษฐานไว้เลยว่านับแต่บัด นี้ ตราบเข้านิพพานเราขอ ปิด อรูปพรหม 4 อย่างเด็ดขาด รวมถึงอบายภูมิ 4 แต่อธิษฐานอย่างนี้ ก็ต้องปฎิบัติด้วยต้องทำด้วยไม่งั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร
  7. กายทิพย์ของพระอริยะเจ้า
    - มีเครื่องทรงที่ใสคล้ายแก้วมีความบริสุทธิและละเอียดสูงส่ง ยิ่งตัดกิเลสมากข้อเท่าใดเข้าใกล้ความเป็นอรหันต์เพียงใดไล่ไปตั้งแต่ พระโสดาบัน พระ สกิทาคามี พระอนาคามีกายทิพย์รวมถึงเครื่องทรงก็ยิ่งใสเป็นแก้วมากขึ้นเท่านั้นส่วนถ้า ถึงกายทิพย์พระอรหันต์นั้นกายจะใสบริสุทธิ์หมดจดเป็นแก้วเป็นสภาวะกายทิพย์ ที่อยู่เหนืออำนาจของโลกสมมุติใดๆ และเมื่อละสังขารไป ก็จักเข้าสุ่แดนพระนิพพาน วิมานเป็นแก้วกายทิพย์ก็จักเป็นกายทิพย์พระวิสุทธิเทพ รูปลักษณ์กายพระอริยะเจ้านอกจากจะเป็นแบบมีเครื่องทรงโดยส่วนใหญ่
    ก็พบว่าจะอยู่ในลักษณะพระสงฆ์ได้ด้วย คือกายทิพย์ห่มบวชเป็นพระเลยก็อยู่ที่ความประสงค์ของพระอริยะองค์นั้นๆ แต่ส่วนมากครูบาอาจารย์
    ที่เป็นพระเวลาท่านไปโปรดใครท่านจะไปในรูปลักษณ์พระเป็นส่วนใหญ่
  8. กายทิพย์พระวิสุทธิเทพที่ประทับที่พระนิพพาน
    เครื่อง ทรงแตกต่างกันตาม สาวกภูมิ ปัจเจกภุมิ พุทธภูมิ แต่ความบริสุทธิ์เหมือนกันวิมานที่พระนิพพานก็แตกต่างกันตาม สาวกภูมิ ปัจเจกภุมิ พุทธภูมิ สภาวะนิพพานทุกอย่างเป็นแก้ว บริสุทธิ์ลักษะเหมิอนเพชรประกายพรึกเมื่อต้องแสงแดด เป็นแดนทิพย์และสภาวะทิพย์พิเศษที่อยู่นอกเหนือจากอำนาจใดๆ ทั้งสิ้นไม่ใช่อัตตา และไม่ใช่อนัตตา ไม่ไช่สูญ เป็นวิมุติเหนือโลกเฉพาะผู้เข้าถึงจักเข้าใจถึงอารมณ์นี้อย่างถ่องแท้ปถุชน ทั่วไปก็ฟังเอาตามผู้ที่เข้าถึงแล้ว แต่ทั้งนี้พระวิสุทธิเทพหากท่านจะโปรดใครหรือใครกำหนดไปหาท่านท่านก็จะแสดง เป็นรูปลักษณ์พระพุทธเจ้าห่มจีวร(หากเป็นพระวิสุทธิเทพพุทธภูมิ)หรือเป็นรูป ลักษณ์พระสงฆ์หากเป็นพระวิสุทธิสาวกภูมิ เรื่องวิมานนี้ก็นิยามได้ว่าพลังงานนั้นต้องมีทั้งรูปและนามถึงจะทรงตัวอยู่ ได้วิมานแต่ละแบบที่จะรองรับกายทิพย์เรา ณ สวรรค์แต่ละชั้นนั้น
    ก็ เป็น เหมือนภาชนะรองสภาวะจิตตามกำลังนั้นๆ เป็นทั้งรูปและนามเกาะกันอยู่ แต่นั้นยังเป็นแบบสมมุติ วิมานแก้วที่พระนิพพานนั้นก็เป็นเหมือนภาชนะรองรับสภาวะธรรมที่เป็นที่สุด แล้ว มีทั้งรูปและนามประกอบกัน แต่เป็นรูปนาม แบบวิมุติและสุดท้ายจริงๆแล้ว รูปนามแบบวิมุตินี้ก็คือไม่มีอะไร นิพพานคือนิพพาน สภาวะอันปราศจากทุข์ แต่ไม่ใช่สูญ ที่สูญไปคือกิเลศ
วิธีการทรงกายจักรพรรดิ

ก่อนจะเข้าสุ่การทรงกายจักรพรรดิ ให้ฝึกการบวชจิตให้เป็นปรกติ
การบวชจิต-บวชใน
หลวง ปู่ปรารภว่า... จะเป็นชายหรือหญิงก็ดี ถ้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติมีศีล รักในการปฏิบัติจิตมุ่งหวังเอาการพ้นทุกข์เป็นที่สุด ย่อมมีโอกาสเป็นพระกันได้ทุกๆคน มีโอกาสที่จะบรรลุมรรค ผล นิพพาน ได้เท่าเทียมกันทุกคนไม่เลือกเพศ เลือกวัย หรือฐานะ แต่อย่างใด
ไม่มีอะไรจะมาเป็นอุปสรรคในความสำเร็จได้ นอกจากใจของผู้ปฏิบัติเอง ท่านได้แนะเคล็ดในการบวชจิตว่า.....



" ในขณะที่เรานั่งสมาธิเจริญภาวนานั้น คำกล่าวว่า

พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ให้นึกถึงว่าเรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัฌาย์ของเรา
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ... ให้นึกว่าเรามีพระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ... ให้นึกว่าเรามีพระอริยสงฆ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
แล้วอย่าสนใจขันธ์ 5 หรือร่างกายเรานี้ ให้สำรวมจิตให้ดี มีความยินดีในการบวช
ชาย ก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุ หญิงก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุณี อย่างนี้จะมีอานิสงส์สูงมาก จัดเป็นเนกขัมบารมีขั้นอุกฤษฎ์ทีเดียว " กายทิพย์ของเรานั้นหาก่อนภาวนาเราได้ตั้งจิตบวชพระแล้ว ระหว่างที่ภาวนาอยู่กายทิพย์เราก็เป็นพระมีรัศมีกายทิพย์สว่างมากอย่างนี้จะ มีอานิสงส์พลังบุญสูงมาก

ภาวนาได้ง่าย เนื่องจากตั้งจิตไว้ในศีลและฐานะอันสูง อย่างนี้เรียกว่าบวชจิต ซึ่งการบวชจิตด้วยใจกุศลศรัทธานั้น มีอานิสงค์ดีกว่าผู้ที่บวชรูปลักษณ์ภายนอกแล้วไม่บวชจิตเสียอีก แต่หากบวชได้ทั้งนอกและในอานิสงค์ก็ทวีคูณแต่สำหรับฆราวาสผู้ครองเรือนนั้น เวลาสวดมนต์หรือภาวนาทำสมาธิ ตั้งจิตบวชเป็นพระแล้วอานิสงค์มากภาวนาได้ง่าย หลวงตาท่านสอนไว้ว่าหากเราภาวนาคาถาจักรพรรดิสบายๆ ทรงไว้ ภาวนาบ่อยๆ กายทิพย์จิตจะทรงเครื่องจักรพรรดิ เพราะว่าเป็นไปตามพลังงานที่เราสวด พอเป็นเช่นนี้แล้วอารมณ์สภาวะทิพย์นั้นจะทรงตัวได้เข้มขึ้นส่งผลดีต่อการปฎิ บัติ

การทรงกายจักรพรรดิ
เราสามารถจะทรงกายพระจักรพรรดิได้ก็ต่อเมื่อเราสามารถปรับสภาวะจิตให้เข้าถึงกายทิพย์ตั้งแต่กายเทวดาขึ้นไป คุณสมบัติพิเศษของกายทิพย์
คือ เมื่อเราทรงกายเทวดา หรือ พรหม เราก็ทรงเครื่องจักรพรรดิเข้าไปอีกซึ่งจะทำให้มีกำลังบุญมาก เครื่องทรงจักรพรรดินี้ก็จะทรงที่กายทิพย์
ตั้งแต่ชั้นเทวดาขึ้นไปตราบใดที่อารมณ์จิตยังไม่ตก สำหรับผู้ที่ฝึกบ่อยๆเข้าจนชำนาญแล้ว ก็จะสามารถทรงเครื่องจักรพรรดิเป็นปกติไปเลย
เวลา ไปที่ไหน เมื่อเราทรงกำลังบุญเปิดโลก รัศมีจะแผ่ในโลกทิพย์กว้างไกล การสัพเพมีกำลังมาก ฯลฯเรียกได้ว่าหากจะชำนาญในวิชาขั้นสูงของวิชาเปิดโลกได้ก็ต้องฝึกทรง เครื่องจักรพรรดิให้ชำนาญ ที่สำคัญอารมณ์ต่างๆ อย่าไปหมายมั่นว่าฉันจะทรง ให้เราทำอารมณ์ใจสบายๆ ก็พอ พยายามทำใจให้ถึงสภาวะของกายทิพย์ที่อธิบายไว้ตั้งแต่ชั้นเทวดาขึ้นไป ทำไปเพื่อความดี เพื่อความระงับกิเลศ เดี๋ยวก็ได้เองถึงเอง

การทรง คือการทรงคาถาจักรพรรดินั้นเอง คาถาจักรพรรดิหลวงปู่เข้าถึงได้หลายระดับเมื่อเราเข้าถึงระดับที่ทรงคาถาจักรพรรดิจน
เป็น อารมณ์ เราไม่ต้องมานั่งไล่ กายทิพย์ เพราะศีล อารมณ์ สภาวะกำลังบุญ พระไตรรัตน์ อยู่ในคาถาจักรพรรดิ หมดแล้ว ขอเพียงทำใจให้สบาย นึกถึงหลวงปุ่ ขอบารมีท่าน ตั้งท่านเป็นอารมณ์ พระพุทธเจ้าทรงเครื่องจักรพรรดิ อยู่บนหัว หลวงปู่ทวดอยู่บ่าซ้ายหลวงปุ่ดุ่อยู่บ่าขวา ภาวนา คาถาจักรพรรดิให้ใจสบายๆ อารมณ์สบายๆ คาถาจักรพรรดิเป็นอารมณ์ยิ่งดีเข้าเท่าไร โดยไม่ต้องสนใจว่าถึงไหนๆ เดี๋ยวก็ค่อยๆทรงได้เอง

คาถาจักรพรรดิ หลวงปู่ดู่ คือ คาถาทรงกายจักรพรรดิ
เมื่อ ภาวนาคาถาจักรพรรดิจนเป็นอารมณ์ ฝึกบ่อยๆ ทำให้เป็นนิสัย ให้เป็นปกติ ฝึกให้ชำนาญ ใช้เวลา มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับ ความตั้งใจของคุณเอง ข้อคิดที่ฝากไว้คือ อย่าเหลิง ไม่ว่าได้ถึงไหน อย่าหลงตนเอง ไม่ว่าคนจะสรรเสริญตนเช่นไร ให้มีสติ ตั้งใจภาวนา ไม่ประมาท ไม่มีใครจะใหญ่เกินกรรมเมื่อทำได้ คุณก็จะได้ พลังเหนือพลัง ที่จะสร้างประโยชน์สืบไป กำลังพระ+จักรพรรดิ หลวงตาท่านเองก็ทรงเครื่องจักรพรรดิ กายในท่านก็บวชพระจึงเป็นกำลังเหนือกำลัง และที่สำคัญที่สุด อย่าทิ้งหลวงปู่เป็นอันขาด ไม่งั้นทุกอย่างที่กล่าวมา คุณจะไม่มีกำลังของตนเองที่จะทำได้แม้แต่ข้อเดียว

เรา ปฎิบัติไปโดย ตั้งให้ท่านคุมเราทุกขณะจิตให้อธิษฐานไว้ยังนี้เลย วิชาต่างๆที่อธิบายมานี้ให้ไว้เป็นแนวทางสำหรับผู้ที่มีจริตแบบนี้ เป็นตัวเลือกหนึ่งในการฝึกปฎิบัติในสายเปิดโลก ไม่ปฎิบัติแบบนี้ก็ไปต่อถึงจุดหมายได้เหมือนกันบางคนชอบแบบลึกซึ้งบางคนชอบ แบบเรียบง่ายก็ว่ากันไปเสมือนว่ามีถนน 10 สาย ที่จุดสุดท้ายถึงที่เดียวกันไม่ว่าปฎิบัติไปแบบไหน ขอให้ถูกตามที่หลวงปู่หลวงตาสอนเป็นพอ ถนนแต่ละสายจะแตกต่างกันที่ลีลาการเดินทางและประโยชน์ที่ สร้างทิ้งไว้ระหว่างเดินทาง มากน้อย แตกต่างกันอยู่ที่ตัวเรา ใครที่เน้นอยากจะช่วยผู้อื่นให้มากๆ ช่วยสรรพวิญญาณอย่างลึก ส่วนมากเป็นพุทธภูมิหรือสาวกภูมิพิเศษก็จะเดินอีกสายหนึง กับท่านที่มุ่งตัดกิเลศเพื่อพระนิพพานซึ่งทุกสายทุกทางย่อมถึง ที่หมายเดียวกัน บริสุทธิ์เหมือนกัน ขอโมทนา

จะ อ่านไว้เป็นความรู้ หรือจะอาข้อที่ตนสนใจลองปฎิบัติดูก็ได้ ไม่ว่าปฎิบัติเน้นแบบใดจุดสุดท้ายก็เหมือนกัน ทุกคนมีหลวงปู่ สุดท้ายสำคัญที่สุด อยู่ที่ความสบายของใจนั้นและธรรมรักษา


credit: http://www.ainews1.com/article528.htm

วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พระซุ้มเรือนแก้วใบขนุน อาจารย์ประคอง รุ่นเจริญ

 พระซุ้มเรือนแก้วใบขนุน


 
 พระซุ้มเรือนแก้วใบขนุน

พระผง พิมพ์ใบขนุน อาจารย์ประคอง รุ่นเจริญ 
เนื้อผงพุทธคุณและแร่วิเศษหลายชนิด 
อาจารย์ประคอง รุ่นเจริญ ปลุกเสก 

ท่านอาจารย์ประคอง รุ่นเจริญ   ฆราวาสจอมขมังเวทย์ศิษย์หลวงพ่อพิมพ์มาลัย วัดหุบมะกล่ำ พระเกจิผู้มีชื่อทางการสักยันต์ ฝังเข็มทองเข้มขลังชนิดวิ่งไปได้ทั่วตัว  และสั่นเตือนภัยได้ ประสบการณ์ครอบคลุมทุกอย่าง ครอบจักรวาล 

พระผงซุ้มเรือนแก้วใบขนุนนี้   ท่านอาจารย์ประคอง ได้ปลุกเสกด้วยวิชาเข็มทองธาตุกายสิทธิ์ ทำให้ผู้ที่บูชาพระพิมพฺ์นี้ติดตัวอยู่เสมือนได้ฝังเข็มทองในกายผู้นั้น 



 แบ่งให้บูชาองค์ละ หมดแล้ว


 




วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

ความลับของดวงแก้วกายสิทธิ์,แก้วจักรพรรดิ

ความลับและความสำคัญยิ่งของดวงแก้วกายสิทธิ์-จักรพรรดิ
      
  ดวงแก้วกลมใสบริสุทธิ์ที่เจียระไนจากหินแก้วบริสุทธิ์ที่มี
ขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางเกิน ๓ นิ้วขึ้นไปนั้นมีคุณค่าต่อการ
ทำวิชชาธรรมกายขั้นสูงอย่างสำคัญยิ่ง เพราะดวงแก้วขนาด
ใหญ่เกิน ๓ นิ้วนี้ จึงจะมีกำลังฤทธิ์แรง ช่วยในการเดินวิชชา
ธรรมกายได้เร็วมีพลังขึ้น และดวงแก้วใสขนาดใหญ่ ที่ใส
บริสุทธิ์นี้เมื่อนำมาเดินวิชชาธรรมกายขั้นสูงแล้วจะมีอานุภาพ
ยิ่งนัก

๑. เช่นช่วยในการเชื่อมสายสมบัติบันดาลให้เกิดสมบัติต่าง ๆ

ใช้ในการคำนวณผังอุดมสมบูรณ์พูนสุข เช่นในสมัยหลวงพ่อ
วัดปากน้ำ ในสมัยนั้นมีพระ เณร แม่ชี ศิษย์วัดรวมนับเป็นพัน
ชีวิต หลวงพ่อต้องรับภาระเลี้ยงดูตั้งโรงครัวเลี้ยง ซึ่งท่านก็
ได้อาศัยดวงแก้วกลมใสขนาดใหญ่ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง
๓ นิ้ว ๓ ดวง มาเจริญวิชชา ช่วยเชื่อมสายสมบัติ จนวัด
ปากน้ำ เจริญรุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์จนปัจจุบันนี้

๒. ในการเจริญวิชชาสะสางธาตุธรรม (วิชชารบ)
(วิชชาปราบมาร)

เป็นวิชชาสูงสุดยอดของวิชชาธรรมกายนั้น จำเป็นอย่างยิ่ง
ต้องอาศัยดวงแก้วขนาดใหญ่ช่วยเป็นกำลังสำคัญ เพราะกาย
มนุษย์นั้นต้องมีการกิน,การถ่าย,การพักผ่อนหลับนอน
พูดง่าย ๆว่ายังมีโอกาสเผลอได้ ส่วนจักรพรรดิในดวงแก้วนั้น
ไม่มีการกิน การถ่าย แบบมนุษย์ ดังนั้น ผู้เป็นวิปัสนาจารย์ หรือ
พระโยคาวจรผู้ทำวิชชา จึงสามารถถ่ายทอด วิชชาปราบมาร
ให้จักรพรรดิ์ในดวงแก้ว ทำวิชชาแทนกายมนุษย์ได้ดี
เป็นคุณประโยชน์ต่อการทำวิชชาขั้นสูงสุดในวิชชาธรรมกาย

และในยุคหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้น ท่านสั่งให้บรรดาศิษย์ผู้เชี่ยว
ชาญในการทำวิชชาธรรมกาย ให้นำดวงแก้วกายสิทธิ์จักรพรรดิ
นำมาถือไว้ในมือ ขณะทำวิชชา หลวงพ่อวัดปากน้ำบอกว่าจะ
ช่วยให้การทำวิชชาเร็วและแรงขึ้น และนอกจากนี้ดวงแก้วหิน
ใส ขนาดใหญ่ถ้าหากได้นำมาเจริญวิชชาธรรมกายอย่าง
ชำนาญแล้ว

องค์จักรพรรดิ์ในดวงแก้วหรือองค์กายสิทธิ์ในดวงแก้ว
สามารถจดจำวิชชาที่กายมนุษย์ได้ทั้งหมดอีกด้วย


คุณค่าและความสำคัญของดวงแก้วหินใสในวิชชาธรรมกาย
นั้นมีอีกมาก และไม่อาจนำมาเปิดเผยชี้แจงให้ทุกท่านทราบได้
ในขณะนี้ นอกจากว่าท่านได้ลงมือปฏิบัติธรรมบรรลุธรรมกาย
และท่านได้ศึกษาทำวิชชา ตามแนววิชชาที่หลวงพ่อวัดปาก
น้ำแนะนำไว้ ท่านจะทราบและรู้ซึ้ง ในคุณค่าของดวงแก้วหิน
ใส ว่ามีความสำคัญยิ่งเพียงใด โดยเฉพาะในการทำวิชชา
ปราบมาร และการทำวิชชาเข้าไปยึดสิทธิอำนาจในธาตุธรรม
เป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งต้องอาศัยหินใสบริสุทธิ์ช่วยขณะทำ
วิชชา คือวิชาปราบมารซึ่งมารเกรงกลัวเป็นที่สุด เพราะถ้ากาย
มนุษย์ธาตุธรรมสายขาวใส ได้บรรลุธรรมกายและทำวิชชาขั้น
สูงสะสางธาตุธรรม วิชชารบ(ปราบมาร) โดยถือดวงแก้วหิน
ขาวใสบริสุทธิ์ขนาดเกินผลส้มเข้าไว้ในมือ แล้วเจริญวิชชา
ธรรมกาย จะเกิดประสิทธิภาพฤทธิ์เดชในส่วนหยาบส่วน
ละเอียด ส่งผลให้วิชชาธรรมกายฝ่ายพระหรือฝ่ายบุญภาค
ปราบมีอานุภาพมากเฉียบขาด ทำวิชชาประกอบกันจะเกิด
พลานุภาพ ฤทธิ์ ,สิทธิ์,อำนาจ,เฉียบขาด สามารถขจัด
อวิชชา,ปราบมารได้ผลดีสุดจะประมาณ และบรรดาจักรพรรดิ์
ฝ่ายปราบบนพระนิพพานก็ซ้อนกายลงมาช่วยทำวิชชา
ในดวงแก้วหินขาวใสนั้นด้วย จึงเกิดผลดีต่อการเจริญวิชชา
ธรรมกายเบื้องสูงสุดจะประมาณทีเดียว ฝ่ายมารจะระเบิดวิชชา
ฝ่ายเราไม่แตก

บรรพบุรุษของไทยได้รู้จักแก้วกายสิทธิ์มานานแล้ว
ตั้งแต่โบราณกาล


มีบุคคลท่านหนึ่งเป็นบุคคลเก่าแก่สมัยหลวงพ่อวัดปากน้ำ
ได้ปฏิบัติธรรมจนได้ธรรมะคือคุณแฉล้ม อุศุภรัตน์ ท่านก็ได้
แก้วกายสิทธิ์รูปร่างคล้ายไข่นกเป็นแก้วสีน้ำผึ้ง สวยงามมาก
ปาฏิหาริย์มาปรากฏที่บูชาเอง

และมีอุบาสิกา คหปตานีที่อุปถัมภ์อุปัฏฐากหลวงพ่อวัด
ปากน้ำมาแต่ต้น จนหลวงพ่อมรณภาพไปและอุบาสิกาท่านผู้นี้
ก็ได้ปฏิบัติธรรมวิชชาธรรมกายมากับหลวงพ่ออย่างเชี่ยวชาญ
ท่านได้รู้ได้ทราบเรื่องเกี่ยวกับกายสิทธิ์
ท่านเล่าให้ฟังว่า...........

สมัยนั้นมีศิษย์หลวงพ่อท่านหนึ่งชื่อพระสิงห์ทอง
ได้ปฏิบัติวิชชาธรรมกาย สามารถนั่งเจริญวิชชา
ธรรมกาย เข้านิโรธได้วันละหลายชั่วโมง ปรากฏว่าท่านเห็น
ในเหตุด้วยญาณทัศนะของธรรมกายว่า ทุกวันขณะท่านนั่งเข้า
สมาธิก็มีแก้วกายสิทธิ์ลอยวนรอบตัว จนพอถึงวันที่ ๗ จึง
ตกลงมาใกล้ตัวท่าน มีลักษณะขาวใสเหมือนน้ำค้าง มี
ลักษณะรี ป้องสั้นคล้ายไข่เต่าน้ำจืด ขาวใสมาก ท่านจึงเก็บ
รักษา และต่อมาจึงได้ให้โยมอุปัฏฐาก ข้างวัดปากน้ำไป
ปัจจุบันก็ยังมีหลักฐานอยู่

ยังมี ท่านแม่ชีอาจารย์ทองสุข สำแดงปั้น
ท่านเชี่ยวชาญการปฏิบัติธรรมวิชชาธรรมกาย นั่งสมาธิเข้าที่
จนมีพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาโปรดหลายครั้ง และมีแก้ว
กายสิทธิ์เสด็จมาอยู่ด้วย มีลักษณะยาวรีคล้ายไข่เต่ามีสีคล้าย
หยกเขียวอ่อนจาง ๆ ซึ่งต่อมาท่านแม่ชีทองสุขได้มอบให้
แม่ชีเธียร ธีระสวัสดิ์ ไว้ติดตัวช่วยเหลือ เป็นกำลังในการ
ปฏิบัติวิชชาธรรมกายและการเผยแพร่วิชชาธรรมกาย
บางท่านอาจสงสัย แต่ถ้าท่านปฏิบัติธรรมเข้าถึงธรรมกาย
ท่านจะรู้จะเข้าใจ แจ่มแจ้ง ทั้งรู้และเห็นด้วยตนเอง

มิใช่แต่เฉพาะที่วัดปากน้ำเท่านั้นที่พบแก้วกายสิทธิ์ แม้ใน
อดีตสมัยหลวงพ่อทวด ซึ่งเป็นพระปฏิบัติสมัย
อยุธยา ตามประวัติกล่าวว่า ในสมัยที่หลวงพ่อทวดเกิดใหม่ ๆ
นั้นได้มีงูคาบดวงแก้วกายสิทธิ์มาให้ นับเป็นเรื่อง
แปลกหรืออาจกล่าวว่า แก้วกายสิทธิ์เป็นของคู่บุญบารมีมา
อุปการะ ช่วยเหลือคุ้มครองแก่ผู้มีบุญบารมีทางธรรมปฏิบัติ
โดยเฉพาะก็คงกล่าวไม่ผิด



ดวงแก้วกายสิทธิ์ - จักรพรรดิ คู่บารมีหลวงปู่ทวด
เดิม
มีลักษณะกลมแบบมะนาว ต่อมาถูกคนบ้าลักขโมยไปและเอา
หินทุบจนแหว่งไป ลักษณะคล้ายไข่นกกระทา ดวงแก้วนี้มี
ลักษณะเป็นหินแท้ธรรมชาติ คือ ในเนื้อแก้วจะมีลายหิน,รอย
หิน มีคราบสีเหลืองแก่ปะปนอยู่ในหินแก้วบ่งบอกอายุความเก่า
แก่ของหิน

นอกจากนี้ยังมีหลักฐานยืนยันจากประวัติพระธุดงค์ที่ท่าน
จาริกไปในป่าเขาปฏิบัติธรรม มีบางท่านปักกลดในป่าบริเวณ
ตีนเขา พอตกดึกก็แลเห็นมีแสงสว่างพุ่งขึ้นบนยอดเขา พอรุ่ง
เช้าจึงขึ้นไปดูพบมีหินแก้วกายสิทธิ์สีต่าง ๆ ต่อมาท่านก็ใช้ลูก
ศิษย์ไปนำแก้วกายสิทธิ์เหล่านั้นมาบรรจุไว้ที่ถ้ำกระบอก
สระบุรี ทีมีชื่อเสียงในการรักษาผู้ติดยาเสพติดจนได้รางวัล
แมกไซไซ

มีสามเณรองค์หนึ่งปฏิบัติกรรมฐานจาริกธุดงค์ปักกลดที่ป่า
เขาในจังหวัดแพร่ มีคืนหนึ่งขณะเข้าที่เจริญภาวนาเสร็จแล้ว
ท่านลืมตาออกจากสมาธิ ท่านได้เห็นมีแสงนวลสว่างออกมา
จากพื้นดินเขานั้น ท่านจึงเข้าไปดู พบว่ามีดวงแก้วกายสิทธิ์
ขาวใสภายในมีสีเขียวคล้ายตะไคร่น้ำอยู่ในนั้นด้วย

และมีพระนักปฏิบัติธรรมสายอีสาน ชื่อพระอาจารย์
พุฒ รตนญาโน
แห่งวัดป่าเขาสวนกวาง จังหวัด
ขอนแก่น ท่านได้ตอบสัมภาษณ์แก่นักข่าว วารสารฉบับหนึ่ง
ที่มาถามท่านขณะท่านมา ณ วัดบวรนิเวศน์วิหาร กรุงเทพฯ
ถึงเรื่องแก้วกายสิทธิ์ที่พระอาจารย์พุฒ เดินธุดงค์กรรมฐานไป
ที่ภูเขาลูกหนึ่ง คืนหนึ่งขณะที่ท่านกำลังทำความเพียรเดิน
จงกรมไปมาตรงบริเวณที่พัก ท่านสังเกตเห็นแสงสว่างเรืองสุก
ใส ลอยวนไปวนมาเหนือศีรษะ ท่านเลยเงยหน้าขึ้นไปมอง
ลูกแก้วนี้ลอยวนไปวนมาเหมือนมีชีวิต ครั้งแรกที่ท่านเห็นก็อด
คิดไปต่าง ๆ นานาไม่ได้ เพราะคิดว่าสิ่งนั้นคือของวิเศษชนิด
หนึ่ง แต่ในที่สุดท่านก็สำรวมใจ ไม่สนใจภายนอกมุ่งเดินจง
กลมปฏิบัตความเพียรต่อ จนได้เวลาก็เข้าในกลดนั่งสมาธิ
ภาวนาจนรุ่งเช้า และท่านยังคงปักกลดที่นั่นเพราะสงบดีเหมาะ
แก่การภาวนามาก

วันที่สองตอนกลางคืน ท่านก็ปฏิบัติสวดมนต์ แล้วมานั่ง
สมาธิภาวนา พอตกดึกท่านก็เดินจงกรม ประมาณ 3 ทุ่มเศษ
ๆ ลูกแก้วก็ลอยปรากฏให้เห็นอีก คราวนี้ลอยต่ำกว่าทุกคราว
คือเรี่ย ๆ ศีรษะพอดี ท่านพระอาจารย์พุฒก็ไม่ได้ให้ความ
สนใจมากนัก จะลอยวนเวียนอย่างไรก็ช่าง ท่านเดินจงกลม
รักษาสติอย่างเดียว คืนต่อ ๆ มาก็ปรากฏเช่นนี้ทุกคืน
และจนคืนหนึ่งดวงแก้วลอยต่ำลงมากแล้วยังวนเวียนช้า ๆ
รอบ ๆ ตัวท่านอีกด้วย แสงสีเรือง ๆ นั้นทำให้ท่านหยุด
พิจารณาแล้วยื่นมือไปหยิบดวงแก้ววิเศษนั้น ท่านบอกว่ามัน
ง่ายดายมาก พอท่านจับดวงแก้วไว้แสงเรือง ๆ สว่าง ๆนั้น
ก็ค่อย ๆมืดดับไปจนหมด เหลือแต่สภาพเป็นดวงแก้ว
(สีขุ่นขาวนวลไม่ถึงกับใสแจ๋วนัก) ท่านจึงพิจารณาทราบว่า
เจ้าของหมายถึง ผู้รักษาแก้วนั้นหรือแก้วกายสิทธิ์นั้นคงจะให้
ท่าน ท่านจึงเก็บไว้ ต่อมาท่านได้ถวายพระอาจารย์แนนซึ่ง
เป็นพระธุดงค์อีกองค์หนึ่งไป

(นี่เป็นเรื่องจริงทุกประการ ท่านสามารถเรียนถามได้จาก
พระอาจารย์พุฒ วัดเขาสวนกวางได้ทุกเวลา)



เรื่องเกี่ยวกับแก้วเสด็จ คือ ตั้งแต่สมัยโบราณ คนเฒ่า
คนแก่ จะเล่าให้ฟังว่าตามป่าเขายามดึกสงัด
วันเพ็ญ 15 ค่ำ มักมีแก้วสุกใสสว่างดวงกลมลอยขึ้น จาก
ภูเขาลูกนี้ไปลงเขาลูกนั้น พอใกล้สว่างก็ลอยกลับลงมาที่เขา
ลูกเดิม แก้วบางดวงก็เล็ก,ใหญ่มีรัศมีสีแสงอ่อนไม่เท่ากัน
บางดวงมีบริวารแวดล้อมระยิบระยับไปหมด เรื่องทำนองนี้
มีผู้พบเห็นมาแต่โบราณจนแม้ในยุคปัจจุบัน ทำให้เป็นที่
สนใจสงสัยของบรรพบุรุษ ซึ่งสมัยนั้นคงสงสัยในใจกันมา
นาน และสมัยโบราณปกครองด้วยระบบเจ้าขุนมูลนาย
ดังนั้นเมื่อเจ้าเมืองที่เมืองป่า เขาได้พบเห็นปรากฏการณ์นี้
ด้วยความสงสัยมานาน ที่เห็นดวงสว่างลอยขึ้นจากยอดเขา
หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของภูเขา แล้วลอยไปยังเขาอีกลูกหนึ่ง
พอใกล้สว่างก็ลอยกลับที่เดิม เป็นเช่นนี้นานเข้า ด้วยความ
สงสัยอยากรู้ และอาศัยมีอำนาจสั่งการให้ไพร่ฟ้าหรือบริวาร
ทดลองขุดดูตรงบริเณที่แสงลอยหายตกวูบไป

เมื่อขุดดูก็ได้พบแท่งแก้วผลึกบ้าง ก้อนแก้วผลึกบ้าง
เป็นหินขาวใสบริสุทธิ์บ้าง ขาวขุ่น ๆ ใส ๆ บ้าง จึงนำมาทำ
เป็นเครื่องประดับยอดเจดีย์ เช่นทำเจียระไนเป็นรูปดอกบัว
รูปดวงแก้วกลม ไว้บนฉัตรทองคำยอดพระธาตุ เจดีย์ต่าง ๆ
เช่น เจดีย์หริภุญชัย ลำพูน,พระธาตุดอยสุเทพ,พระธาตุ
ต่าง ๆ ทั่วภาคเหนือ,พระธาตุนครศรีธรรมราช ก็มีดวงแก้ว
กลมใสจำนวนมากประดับบนฉัตรรอบยอดเจดีย์

และวันดีคืนดี ก็จะมีปาฏิหารย์เป็นดวงแสงสว่างลอย
จากยอดเจดีย์นั้นไปหาเจดีย์นี้ เชื่อกันว่าแก้วเสด็จไปมาหา
สู่กับแก้วด้วยกันในถิ่นอื่น ๆ หรือไปเยี่ยมกัน

และนอกจากนี้คนยุคโบราณยังนำหินแก้วกายสิทธิ์
เหล่านี้มาเจียระไน ทำเป็นพระพุทธรูปบรรจุไว้ในเจดีย์ที่
เชียงแสน,เชียงใหม่,อ.ฮอด,เชียงราย,ลำพูน,ลำปาง,น่าน
แพร่,อุตรดิตถ์,พิษณุโลก,อยุธยา ฯลฯ แสดงว่ามีผู้รู้จักแก้ว
กายสิทธิ์มาแต่โบราณกาลนับพัน ๆ ปีแล้ว

จากหลักฐานที่ขุดค้นพบจากกรุเจดีย์ต่าง ๆ ในภาคเหนือนั้น
ก็ล้วนพบดวงแก้วกายสิทธิ์บ้าง พระหินแก้วกายสิทธิ์บ้าง
และกายสิทธิ์รูปต่าง ๆ
ดังปรากฏหลักฐานใน
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดทั่ว
ประเทศ ซึ่งจะพบว่าตามกรุเจดีย์วัดร้างที่ขุดพบนี้
มีพระแก้วกายสิทธิ์,ช้างแก้ว,กวางแก้ว,ผอบแก้วใส่พระ
บรมสารีริกธาตุและมีดวงแก้วกลมอีกด้วย เช่น ที่พบจาก
เมืองฮอดเชียงใหม่ เชียงแสน เชียงของ เชียงคำ และ
อำเภอเถิน ลำปาง แสดงว่าบรรพบุรุษของไทย
ได้รู้จักแก้วกายสิทธิ์มานานแล้วตั้งแต่โบราณกาล

ความลับเกี่ยวกับเรื่องขุมแก้วกายสิทธิ์ในเมืองเหนือ


เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีพระพุทธ
แก้ว อันถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมือง เพราะแก้วย่อมถือเป็นของ
มีค่าหาได้ยาก โดยเฉเพาะแก้วหินจากธรรมชาติ พระแก้วที่เกิด
ขึ้นในเมืองเหนือที่ถือเป็นพระปฏิมากรองค์สำคัญ เช่น พระ
พุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระศรีรัตน
ศาสดารามในปัจจุบัน ก็พบครั้งแรกในกรุกลางเมืองเชียงราย
เมื่อ พ.ศ. ๑๙๗๙

พระแก้วอีกองค์หนึ่ง ซึ่งปรากฏอยู่ที่วัดพระธาตุลำปาง
หลวง มีหน้าตัก ๖ นิ้ว พบในลำปางตามตำนานกล่าวว่าพบ
เป็นลูกแก้วอยู่ในผลแตงโม (มะเต้า) แล้วนำมาเจียระไนเป็น
พระพุทธรูป

พระแก้วอีกองค์หนึ่ง มีความสำคัญคู่ตำนานคือ พระแก้วหริ
ภุญชัย กล่าวว่าเป็น พระแก้วของพระนางจามเทวีแต่สมัยหริ
ภุญชัย ขณะนี้อยู่ที่วัดเชียงมั่น จ.เชียงใหม่ ทราบกันดีในชื่อ
พระเสตังคมณี

นอกจากนี้ยังมีประดิษฐกรรมจากแก้ว ที่พบกันในกรุร้างวัด
ต่าง ๆ ในเขตอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ปรากฏว่ามีทั้งพระ
พุทธรูปแก้วกายสิทธิ์ใส ๆ ช้างแก้ว กวางแก้ว ดวงแก้วกลมใส
ผอบแก้วใสบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ในเขตเมืองเก่า เชียง
แสน เชียงขอม เชียงคำ และเขตกรุร้างต่าง ๆ ในจังหวัดภาค
เหนือ และในกรุวัดร้างของอำเภอเถินก็พบหลักฐานที่
ประดิษฐกรรมเจียระไนจากหินแก้วกายสิทธิ์ ในรูปต่าง ๆ
เจริญอยู่ในสมัยลานนาไทยมานานแล้ว ทางสุโขทัยและพระ
นครศรีอยุธยา การขุดค้นต่าง ๆ ของคณะโบราณคดี
มหาวิทยาลัยศิลปากร ก็พบแก้วใสด้วยวิธีเจียระไนแบบพื้น
เมืองโบราณ ลึกลงไปในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ได้พบหลัก
ฐานว่าคนในสมัยดึกดำบรรพ์ได้นำลูกแก้วปัดสีต่าง ๆ มาประดับ
คุ้มครองตัวเอง เราจะหาดูได้จากพิพิธภัณฑ์อู่ทองสิ่งที่น่า
สนใจยิ่งคือ ลูกแก้วลูกปัดที่มีสีขาวใสสะดุดตาเรียกว่า
“แก้วน้ำค้าง” ซึ่งจัดอยู่ในประเภทหินแก้วกายสิทธิ์ หินผลึก หิน
เขียวหนุมาน หินแก้วโป่งข่ามนั่นเอง

นอกจากหินแก้วกายสิทธิ์สีขาวแล้ว อาจมีสีม่วง ชมพู น้ำ
ชา สีฟ้า และมีแร่ธาตุต่าง ๆ เข้าปะปนมีคล้ายตะไคร่น้ำ ทราย
หรือเป็นเส้นสีดำ สีทอง สีนาค สีเงิน ซึ่งล้วนเป็นหินแก้ว
กายสิทธิ์เกิดเองตามธรรมชาติ มีอายุนับล้าน ๆ ปี หินแก้วชนิด
ขาวใสบริสุทธิ์เป็นของหายากและมีค่าสูงพอ ๆ กับสีม่วงใสซึ่
นิยมกันมาก และมีราคาแพงแต่ทว่าลักษณะหินแก้วใสเหล่านี้
เกิดเองมีขนาดใหญ่ ๆ ที่ใสบริสุทธิ์จริง ๆ หายากมาก ส่วนมาก
มักขุ่นครึ่งใสครึ่ง ถึงใสหมดก็มีขนาดเล็ก และหายากมีค่าสูง
ส่วนบางก้อนถึงใสสนิทก็อาจมีลายหินม่านหินตามธรรมชาติ
เกิดอยู่ภายในปะปนอยู่ทุกก้อน ทุกดวง มากบ้าง น้อยบ้าง
ต้องเข้าใจตามความเป็นจริงของธรรมชาติ

ในต่างประเทศ เช่น จีน เรียกแก้วกายสิทธ์นี้ว่า
“หินแก้วจุยเจีย”
หรือที่แปลกันว่าแก้วหยกน้ำค้าง หรือ
น้ำกลายเป็นหินแข็งใส ทำนองนี้ แก้วจุยเจียมักมีคุณภาพความ
ใสสะอาดเป็นเลิศ และมีขนาดใหญ่ สามารถนำมาเจียระไนเป็น
ลูกแก้วกลมใสขาดเท่าลูกพุทรา เท่ามะนาว

ตัวอย่างในตำนานจีนประวัติ 8 เซียน กล่าวถึง
"หลีเล่ากุน" มีดวงแก้ววิเศษเท่าผลส้ม เปล่งแสงออกมาเป็น
ฉัพพรรณรังสี รัศมี 6 ประการ และเมื่ออธิษฐานขอดูภาพ
เหตุการณ์ต่าง ๆ จากดวงแก้ว จะเห็นตามเป็นจริง นอกจากนี้
ในศาสนาพุทธมหายานในจีน พระพุทธรูปตรีกาย (ซำเป้า)
พระพุทธรูปองค์กลาง(พระศากยมุนี) พระหัตถ์ถือดวงแก้วเป็น
สัญลักษณ์

ส่วนทางยุโรป อเมริกาเรียกว่าร็อคคริสตัล “คริสตัล”
เรียกสั้น ๆ ว่า คว้อทซ์นั่นเอง
ประชาชนชาวจีน
ชาวญี่ปุ่น นิยมนำเอาหินจุยเจียมาทำเป็นดวงแก้วกลมเล็กบ้าง
ใหญ่บ้าง เพื่อนำมาเป็นนิมิต ปฏิบัติธรรม ซึ่งมีอานุภาพต่อ
ทางจิตสูงมาก เช่นถือกันว่ามีพลังวิเศษอยู่ในดวงแก้วนั้น

ในทวีปอเมริกานิยมเอาหินแก้วใสบริสุทธิ์ ร็อคคริสตัล
จุยเจียนี้ทำเป็นคริสตัลบอลล์ หรือดวงแก้ว ใช้เพ่งให้จิตเป็น
สมาธิ เพื่อให้รู้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ เช่นยีนส์ ดิกสัน
ชาวอเมริกาที่โด่งดังในอเมริกา

สำหรับในประเทศไทยนิยมยกย่องหินแก้วผลึกขาวใส
(จุยเจีย) เป็นรัตนะ (แก้วอันประณีต ประเสริฐ) เป็น
ของบริสุทธิ์จึงนิยมมาเจียระไน เป็นพระพุทธรูป,ผอบ,
เจดีย์แก้วบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า,
พระธาตุของพระอรหันต์ และนิยมทำเป็นดวงแก้วกลม
ประดับบูชาไว้บนยอดเจดีย์ต่าง ๆ




เช่น พระธาตุดอยสุเทพ,พระธาตุหริภุญชัย , พระตาลดอยป่า
ตาล ทั่วภาคเหนือ และพระธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช ก็มีดวง
แก้วหินขาวใสจุยเจียประดับ บนยอดฉัตรเจดีย์หุ้มด้วยสาแหรก
ทองคำจำนวนหลายสิบดวง


ที่มา http://www.navagaprom.com/oldsite/con1.php?con_id=9

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

กระแส จักรพรรดิ

“กระแส จักรพรรดิเป็นพลังงานที่อยู่ในโลกนี้ตลอดเวลา สืบต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่มีประมาณ
กระแสจักรพรรดิมีเกิดขึ้นเรื่อยๆ แม้จักรพรรดิผู้นั้นได้บรรลุเป็นพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้าไปแล้ว แต่พลังงานบุญก็ยังทิ้งไว้ในสมบัติจักรพรรดิ

สมบัติจักรพรรดิเป็นสมบัติผลัดกันชม ยังมีอยู่ตลอดไม่หายไปไหน พลังงานบุญจึงฝากกระแสต่อไปสู่พระจักรพรรดิองค์ต่อไปเรื่อยๆ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ทุกยุคทุกสมัย ต้องมาเกิดเป็นพระจักรพรรดิกันแทบทั้งนั้น พระจักรพรรดิจึงเกิดมีสืบต่อกันไปไม่ขาดสาย เป็นเครือข่ายพลังานบุญที่ปรากฏสืบทอดต่อเนื่องในโลกนี้อย่างไม่มีที่สิ้น สุด

เวลาสวดจักรพรรดิไปนานๆกระแสแห่งพระจักรพรรดิจะเกิดขึ้นที่จิตเรา จะสะสมพลังงานหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ไปเรื่อยๆ ยิ่งสวดดี สวดด้วยใจเบาสบาย พลังงานก็ยิ่งหนาแน่นขึ้น กระแสจักรพรรดิ กระแสหลวงปู่ดู่ที่หนาแน่นนั้นมีประโยชน์มาก นำมาอธิษฐานอะไรก็ได้ เป็นกระแสที่มีพลังงานสูง ส่งพลังงานไปได้ไกลไม่มีประมาณทั่วสามแดนโลกธาตุ สามารถเปลี่ยนกระแสที่ไม่ดีต่างๆเช่นวิญญาณไม่ดี ฮวงจุ้ยไม่ดี ร่างกายป่วยไข้ไม่ดี กรรมไม่ดี ฯลฯ ให้กลายเป็นดีได้ ใช้เป็นประโยชน์ในการอธิษฐานได้ทั้งทางโลกเช่น ธุรกิจการงาน การเงิน สุขภาพ ครอบครัว ฯลฯ และทางธรรมเช่น การใช้พระกำหนดถามตอบข้อธรรมต่างๆ

ความ หนาแน่นของพลังงานในการสวดนั้น จิตสามารถบันทึกได้อย่างไม่มีประมาณ สวดไปด้วยคิดเรื่องธุรกิจการงานที่ติดขัดไปด้วยก็ได้ ถ้านึกไปสวดไป ก็คือการนำกำลังจักรพรรดิมาใช้เป็นครั้งๆไป การอัดความหนาแน่นของพลังงานก็จะช้าหน่อย แต่ถ้าไม่ได้ใช้แก้ปัญหาข้อขัดข้องใดๆ หมั่นสวดเป็นประจำ ก็อัดพลังงานได้เต็มเร็ว เพิ่มพลังงานความหนาแน่นของบุญบารมีในตัวเราได้มาก คนทำงานไม่มีเวลาว่าง แค่สวดตอนตื่นนอน กินข้าว อาบน้ำ ก่อนนอน ก็พอ สวดก่อนนอนจิตจะบันทึกบุญไว้ สามารถพิสูจน์ได้จริง ลองสวดดู ถ้าทำได้จริงแล้วจะไม่มีฝันร้ายเลย หากสวดจนนิ่งหลับไป จิตจะไม่ฝันเลย จะหลับเต็มอิ่ม ตื่นมาสดชื่นมาก กำหนดเวลาตื่นได้เอง หรือหากสวดด้วยใจสบาย จิตจะฝันว่าไปสวดมนต์ไปวัด ทำบุญ ไปส่งวิญญาณ แม้หลับอยู่จิตก็ยังได้บันทึกบุญ จิตฝันดีธาตุก็ดี ตื่นมาร่างกายสดชื่นแข็งแรง ถ้าจิตฝันร้าย ธาตุก็เสื่อม เหมือนเวลาฝันว่าวิ่งหนี ร่างกายเราก็รู้สึกเหนื่อยหอบจริงๆ

เราสวด จักรพรรดิ ระลึกถึงจักรพรรดิ สามารถอธิษฐานนำมากำหนดเป็นพลังงานให้เกิดเป็นทิพยอำนาจได้ ให้จิตอยู่ในจักรพรรดิ เราจะกำหนดไปที่ไหนก็ได้ จะมีคนเห็นเราปรากฏตัวในที่ต่างๆได้ สวดให้จริงแล้วจะหวังผลแบบไหนก็ได้ ปรารถนาจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ไม่อยากเกิดแล้วก็ได้ หรือปรารถนาจะสร้างบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ก็จะสร้างบุญบารมีได้เร็วขึ้น เชื่อหรือไม่เชื่อ ต้องลองปฏิบัติดูเอาเอง...”

ที่มา http://www.watthummuangna.com/home/community/index.php?topic=245.0



กฎแห่งจักรวาล 7 ข้อ




เมื่อหลายพันปีมาแล้วในอียิปต์ "สุดยอดเดอะซีเคร็ต" หรือ "ความลับเหนือโลก”
ของ “กฎแห่งจักรวาล 7 ข้อ” ได้จารึกอยู่ใน “จารึกมรกต” แต่ก็ถือเป็นสิ่งต้อง
ห้ามมาช้านาน ด้วยพวกชนชั้นปกครองส่วนใหญ่ไม่อยากให้แนวคิดในจารึกนี้
แพร่พรายออกไป เพราะจะทำให้ยากแก่การปกครองครอบงำความคิดของ
มหาชน นับตั้งแต่พระของอียิปต์โบราณมาจนถึงวัดในยุคกลาง พวกผู้นำ
ศาสนาต่างสั่งห้ามไม่ให้พูดถึงจารึกมรกตเลย ใครหลุดปากออกมาแม้แต่คำ
เดียวก็จะถูกข้อหาว่าเป็นพวกนอกรีตหรือแม่มดทันที และโทษก็คือแขวนคอ
หรือตัดหัว
อย่างไรก็ตาม ความรู้ในจารึกนี้ได้ถูกท่องจำต่อๆ กันมา โดยสมาคมลับหลาย
สมาคม เช่น ไนต์เทมพลาร์ และฟรีเมซอน หรือซุกซ่อนอยู่ในบทกวี ภาพ
เขียน หรืองานศิลปะอื่นๆ แม้ตัวจารึกมรกตเองจะสูญหายไปแล้วก็ตาม
เมื่อ 40 ปีก่อน ดร.เมล กิลล์ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ประสบอุบัติเหตุตกเขา
จนต้องตัดแขนซ้ายทิ้ง และตายไประหว่างผ่าตัดเป็นเวลานานถึง 19 นาที!
ทว่า ในระหว่าง 19 นาทีที่สำหรับเขาแล้วราวกับผ่านไปหลายวันหรือหลาย
เดือนนี้ ทำให้เขามีโอกาสได้เรียนรู้ถึง “ความลับเหนือโลก”
หลังออกจากโรงพยาบาล เขาได้ค้นคว้าไปทั่วห้องสมุดใหญ่ๆ และเดินทาง
ไปยังดินแดนรกร้างห่างไกลทั่วทุกมุมโลก จนค้นพบและกลั่นกรองออก
มาเป็นหนังสือ “สุดยอดเดอะซีเคร็ต” เล่มนี้ได้
คงไม่ต้องบอกว่า ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึง “สุดยอดเดอะซีเคร็ต”
นี่เอง ที่แม้เขาต้องสูญเสียแขนซ้ายไป แต่ก็ยังสามารถต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรค
นานัปการ จนกลายมาเป็นนักพูดสร้างแรงจูงใจ นักจิตบำบัด นักสะกดจิต
ชั้นนำ ผู้เชี่ยวชาญชั้นแนวหน้าด้านการพัฒนาบุคคล เป็นที่ปรึกษาของ
ซีอีโอกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ (ฟอร์จูน 500) และเป็นผู้ที่
ประสบความสำเร็จจนมีที่ทำงานในต่างประเทศหลายๆ แห่งได้
โจ วิเทล ผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งอินเตอร์เน็ตกล่าวไว้ในคำนำว่า หนังสือ
เล่มนี้คือ “ภูมิปัญญาเร้นลับแห่งจักรวาล ที่ได้พิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรกใน
รอบหลายร้อยปีมานี้!”
หนังสือเล่มนี้คือกุญแจไขไปสู่ “สุดยอดเดอะซีเคร็ต” หรือ “ความลับเหนือโลก”
อันเป็นความลับที่เหนือกว่าความลับทั้งมวล
“ความลับเหนือโลก” ก็คือความลับที่เปิดเผยให้เห็นถึงกฎการทำงานระหว่าง
จิตใจมนุษย์กับกฎแห่งจักรวาลนั่นเอง ผู้คนส่วนใหญ่ต่างเรียนรู้กันมาแต่กฎ
ทางฟิสิกส์หรือกฎทางวัตถุ โดยรู้ว่าเมื่อโยนลูกแอปเปิลขึ้นไปในอากาศ มัน
ก็จะตกลงมายังพื้นโลกตามกฎของแรงโน้มถ่วง แต่มีน้อยคนที่จะรู้ว่า เพียง
จิตใจเรา “คิด” ถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทั้งในระดับจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึก เราก็จะ
“ดึงดูด” เอาสิ่งนั้นๆ เข้ามาหา ตาม “กฎแห่งแรงดึงดูด” อันเป็นกฎแห่ง
จักรวาลข้อหนึ่ง
นี่เองที่ทำให้ผู้ที่ “คิด” และ “เชื่อ” ว่าตนเองจะประสบความสำเร็จ ร่ำรวย
เจริญรุ่งเรือง ได้รับความรัก หรือจะหายป่วยจากโรคร้ายแรงที่หมดทางรักษา
ก็สามารถเป็นไปตามนั้นได้จริงๆ ซึ่งต่างจากผู้ที่ไม่เคยคิดหรือไม่เคยเชื่อใน
ตัวเองแบบนั้นเลย
นอกจากนั้น กฎแห่งจักรวาลข้อนี้ที่ทำให้ “ผู้มองโลกในแง่ร้ายจะ ‘เห็น’
แต่ความยากลำบากในโอกาสทุกๆ อย่าง ส่วนผู้มองโลกในแง่ดีจะ ‘เห็น’
ถึงโอกาสในความยากลำบากทุกๆ อย่าง”
การเข้าใจถึง “กฎแห่งจักรวาล” จึงสะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจโลกในแง่
มุมใหม่ ไม่ใช่ด้วยกฎทางฟิสิกส์ แต่ด้วย “ภูมิปัญญาโบราณ” ของกฎแห่ง
“สุดยอดเดอะซีเคร็ต” ที่หนังสือเล่มนี้จะกล่าวถึงนั่นเอง
1. กฎแห่งมโนนิยม
2. กฎแห่งการสั่นสะเทือน
3. กฎแห่งขั้วตรงข้าม
4. กฎแห่งจังหวะ
5. กฎแห่งเพศ
6. หลักแห่งเหตุและผล
7. กฎแห่งความสอดคล้องกัน

“สุดยอดเดอะซีเคร็ต” ของ “กฎแห่งจักรวาล 7 ข้อ” ก็คือ
กฎแห่งมโนนิยม
กฎแห่งจักรวาลข้อแรกบอกเราว่า ทุกสิ่งก็คือจิต ดังนั้น ขั้นตอนของการเปลี่ยน
สิ่งที่อยู่รอบตัวเรา ก็มาจากพลังทางจิตของเรานั่นเอง เพราะจักรวาลเป็นเรื่องที่
อยู่ภายใน เราจึงสามารถควบคุมทุกสิ่งในชีวิตเราได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น เราจึง
ต้องใส่ใจจริงจังที่จะสังเกตความฝันของเรา เพราะบ่อยครั้งความฝันก็บอกถึงสิ่ง
ที่เราขาดไปในชีวิต และจะบอกใบ้ให้รู้วิธีที่จะเติมเต็มประสบการณ์ของเราให้
เข้มข้นยิ่งขึ้น บางครั้งความฝันก็เป็นพื้นฐานของสิ่งที่เราต้องการให้เกิดขึ้นจริง
ในชีวิตที่เราปรารถนา จักรวาลนั้นอยู่ภายในตัวเรานี่เอง! เพราะ “ภายในเป็น
อย่างไร ภายนอกก็เป็นอย่างนั้น”
กฎแห่งการสั่นสะเทือน
กฎจักรวาลข้อที่สองช่วยให้เราเข้าใจว่า เราเป็นยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตที่ผูกติดอยู่กับ
เวลาและสถานที่ที่เราอยู่ เรามายังที่นี้เพื่อใช้ชีวิตและเรียนรู้บทเรียนอันทรง
คุณค่า แต่ประสบการณ์ชีวิตนั้นมีหลายด้าน เนื่องจากเรามีชีวิตสามด้าน นั่นคือ
ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ การจะมีชีวิตที่มีสุขและสมดุลได้ เราจะต้อง
ทะนุบำรุงชีวิตทั้งสามด้านนั้นให้สอดประสานกันเสมือนกับวงดนตรีประสานเสียง
ทั้งสามด้านจะต้องทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน
ทุกสิ่งล้วนแต่สั่นสะเทือน กฎจักรวาลข้อที่สองนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่า การสั่นสะ
เทือนนั้นจำเป็นต่อชีวิต ถ้าเราปล่อยให้การสั่นสะเทือนลดต่ำเกินไป เราจะล้ม
ป่วยหรือซึมเศร้าหดหู่ และร่างกายเราจะทุกข์ทรมาน ความรักเป็นวิธีที่จะช่วย
รักษาการสั่นสะเทือนให้อยู่ในระดับสูง ความรักเป็นผลมาจากการรู้คุณค่าและ
ซาบซึ้งในตัวบุคคลอื่น เมื่อเรารู้สึกรัก เราจะเชื่อมโยงสัมพันธ์กับโลกและทุก
สิ่งทุกอย่างในโลก เราสะท้อนรับเอาแรงสั่นสะเทือนจากสรรพสิ่ง เมื่อเราเรียน
รู้บทเรียนเหล่านี้และส่งต่อไปยังคนรุ่นต่อๆ ไป เราจะยกระดับการสั่นสะเทือนของมนุษยชาติด้วยการเชื่อมโยงสัมพันธ์กับคนอื่นๆ และด้วยความเข้าใจในโลก
กฎแห่งขั้วตรงข้าม
กฎแห่งจักรวาลข้อนี้สอนเราว่า ทุกสิ่งนั้นมีขั้วตรงข้ามกัน แต่ขั้วตรงข้ามนั้นแท้
จริงก็เป็นเพียงสิ่งเดียวกันที่ “ต่างระดับกัน” นั่นเอง และรอคอยจะเชื่อมประสาน
กัน เมื่อเราเข้าใจตรงนี้ เราก็จะสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นและรับมือกับสถาน
การณ์ในชีวิตได้ดียิ่งขึ้น เมื่อเข้าใจกฎแห่งขั้วตรงข้ามแล้ว เราก็จะสามารถหา
หนทางเพื่อให้ได้สิ่งที่เราต้องการได้ และเทคนิคนี้ใช้ได้ดีโดยเฉพาะเมื่อเรา
ต้องรับมือกับอารมณ์ต่างๆ ความเศร้าสามารถเปลี่ยนเป็นความสุข ความเกลียด
เปลี่ยนเป็นความรัก และความเจ็บปวดก็เปลี่ยนเป็นความสุขได้
กฎแห่งจังหวะ
กฎแห่งจังหวะเตือนให้เราระลึกว่า ขณะที่ลูกตุ้มนาฬิกาแกว่งไปยังด้านหนึ่ง
มันก็ต้องแกว่งกลับไปยังด้านตรงข้ามเท่าๆ กัน เพื่อเป็นการชดเชยถ่วงดุล
ผู้ที่ประสบกับความขมขื่นเหลือแสน ก็ย่อมรู้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ด้วย เพราะ
การที่จะรู้ถึงคุณค่าแท้จริงของสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความรัก และความ
สงบ เราต้องรู้ถึงขั้วตรงข้ามของมันด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อเราได้ประสบกับ
สิ่งเหล่านี้แล้ว เราจะสามารถแยกตัวเองออกมาได้ ก็โดยการก้าวถอยหลังเมื่อ
ลูกตุ้มนาฬิกาแกว่งไปยังด้านที่เราไม่ชอบ และบอกตัวเองว่าไม่ช้ามันจะแกว่ง
กลับไปยังด้านที่เราชอบมากกว่าเอง ถ้าเราพลิ้วไปกับกระแส แม้ในยามที่ดู
มืดมนสิ้นหวัง เราก็ยังยอมรับได้ว่า แม้นั่นไม่ใช่สิ่งที่เรามุ่งหวัง แต่ก็ยังทำใจ
ให้ผ่อนคลายโดยไม่กังวลได้ เพราะกฎแห่งจังหวะทำให้เรารู้ว่าอะไรที่กำลัง
จะตามมา
กฎแห่งเพศ
ทุกคน ทุกสถานที่ และทุกสิ่งต่างก็มีทั้งลักษณะที่เป็นทั้งเพศชายและเพศหญิง
ซึ่งทำงานสอดประสานกันเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมา โดยพลังเพศชายนั้นอยู่
ภายนอก อันเป็นสิ่งที่ถูกส่งออกไปสู่จักรวาล ขณะที่พลังเพศหญิงนั้นอยู่ภายใน
ด้วยเหตุนี้ พลังเพศชายและหญิงจึงทำงานร่วมกันเหมือนสายพ่วงแบตเตอรี่
เพศชายคือสายขั้วบวก ก็จะผลักออกเสมอ ส่วนเพศหญิงหรือสายขั้วลบก็จะ
ดึงดูดเสมอ ว่าตามวิทยาศาสตร์แล้ว ขั้วบวกไม่ใช่หมายถึงสิ่งที่ดี และขั้วลบก็
ไม่ได้หมายถึงสิ่งไม่ดี ต่างเป็นแค่คำเรียกสมดุลการไหลของพลังงาน สภาพ
เพศหญิงจึงหมายถึงเส้นทางขั้วลบของพลัง เพราะเป็นจุดเกิดแห่งการสร้าง
เช่นเดียวกับที่ผู้หญิงตั้งครรภ์หรือสร้างชีวิตใหม่ขึ้นมา
กฎจักรวาลข้อนี้ช่วยให้เราเอาชนะความไม่มั่นใจในตัวเองและการผัดวันประกัน
พรุ่งได้ พลังของหญิงและชายนั้นต่างทำงานประสานกันเสมอ เว้นแต่จะถูกปิด
กั้นด้วยอคติหรือความคิดเชิงลบอันเกิดมาจากความกลัว วิธีที่ดีอย่างหนึ่งใน
การเปิดรับพลังงานที่สมดุลคือ การมีส่วนร่วมในการให้และรับทุกๆ วัน
หลักแห่งเหตุและผล
กฎแห่งเหตุและผลเป็นกฎแห่งจักรวาลที่รู้จักกันดีที่สุดข้อหนึ่ง พวกเราหลาย
คนต่างเคยได้ศึกษากฎนี้มาแล้วตอนเรียนวิทยาศาสตร์ นั่นก็คือ “ทุกๆ แรง
กระทำจะมีแรงปฏิกิริยาตรงข้ามที่เท่าๆ กัน”
ไม่มีสิ่งใดหลีกพ้นกฎแห่งเหตุและผลไปได้ แต่เราสามารถใช้กฎจักรวาลข้อ
นี้เพื่อเอาชนะกฎแห่งชีวิตประจำวันซึ่งอยู่ภายใต้กฎจักรวาลอีกที เมื่อเราใช้
กฎจักรวาลเพื่อดึงเอาสิ่งที่เราต้องการผ่านทางการคิดหรือการกระทำเชิงบวก
เมื่อเรายกระดับการสั่นสะเทือน และเมื่อเราตระหนักถึงความสมดุลระหว่าง
เพศ เมื่อนั้นเราก็กำลังปฏิบัติการอยู่ในเครื่องบินลำที่อยู่สูงขึ้นไป เราจะไม่
ถูกพัดพาไปกับเรื่องต่างๆ ในชีวิตอีกต่อไป
กฎแห่งความสอดคล้องกัน
กฎแห่งจักรวาลข้อนี้ทำให้เราตระหนักว่า แม้ตัวเราอาจเป็นเพียงสิ่งเล็กกระ
จ้อยร่อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับจักรวาล แต่กฎแห่งความสอดคล้องกันก็บอกว่า
เรามี “เครื่องช่วย” อยู่ในตัว ที่จะช่วยให้เราทุกคนเข้าใจมันได้อยู่แล้วด้วย
นั่นก็เป็นเพราะ ไม่ว่าสิ่งที่เราพยายามทำความเข้าใจนั้นจะยิ่งใหญ่เกินกว่าที่
เราจะเข้าใจมันได้ทั้งหมด หรือเล็กเกินกว่าจะมองเห็นด้วยตาเปล่าเพียงใดก็
ตาม ไม่ว่ามันจะอยู่ในโลกด้านไหน ทุกสิ่งก็สร้างขึ้นจากเนื้อแท้อย่างเดียว
กัน จาก “สรรพสิ่ง” นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ ทุกสิ่งจึงสะท้อนถึงหรือจำลองแบบ
มาจากสิ่งอื่นๆ
กฎข้อนี้ยังทำให้เราเข้าใจแจ่มชัดว่า “ทำอย่างไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น” หากเรา
ปฏิบัติต่อผู้อื่นไม่ดี พวกเขาก็ย่อมทำแบบเดียวกัน แต่ความดีจะเอาชนะความ
ชั่วได้ หากเราควบคุมชีวิตและชะตากรรมของเราเอง โดยใช้วิธีคิดและการ
กระทำในทางที่ดี ตามกฎแห่งความสอดคล้องต้องกันนี้
กฎแห่งมโนนิยม กฎแห่งขั้วตรงข้าม กฎแห่งเหตุและผล กฎแห่งเพศ กฎแห่ง
การสั่นสะเทือน กฎแห่งความสอดคล้องกัน และกฎแห่งจังหวะ กฎทั้งหลาย
นี้รวมกันในลักษณะและระดับต่างๆ จนทำให้เราประสบสัมผัสกับกฎแห่งแรง
ดึงดูดอันหลีกเลี่ยงไม่ได้
เราต้องเรียนรู้วิธีที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความคิดเชิงลบเกิดขึ้นในสมอง และ
เรียนรู้ที่จะเติมความคิดด้วยพลังภายในจากกฎจักรวาล แล้วเราก็จะก้าวเข้า
สู่วิถีชีวิตที่สูงส่งกว่าเดิม สงบกว่าเดิม และดีกว่าเดิม ส่วนหนึ่งของขั้นตอนที่
ว่านี้ก็คือ เราจะได้ตระหนักถึงปัจจุบันขณะ เมื่อเราตระหนักถึงตัวเอง เมื่อใส่
ใจกับคนที่เรารักหรืองานที่กำลังทำอยู่ ชีวิตก็จะชัดเจนและแจ่มกระจ่างมาก
ขึ้น สิ่งดีๆ ทั้งหลายก็จะไหลพลิ้วเข้ามาหาอย่างนิ่มนวล และเป็นไปอย่างง่าย
ดายสำหรับเรา ตามกฎแห่งแห่งแรงดึงดูดนี่เอง
เราสามารถทำให้ชีวิตมีความสุขและความมหัศจรรย์ เกินกว่าที่เราเคยคิดว่า
จะเป็นไปได้ โดยอาศัยกฎจักรวาลทั้ง 7 ข้อนี้ เพราะเมล กิลล์ ผู้เขียนหนังสือ
เล่มนี้ ได้สร้างเครื่องมือที่จำเป็นต้องใช้ เพื่อเข้าถึงและปฏิบัติตนตาม
สุดยอดเดอะซีเคร็ต แล้ว โดยมีเนื้อหาครอบคลุม กล่าวอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
และ “แนะ” เทคนิคอันจะช่วยทำให้ปรากฏขึ้นเป็นรูปธรรมขึ้นจริงๆ ได้ เพื่อ
ช่วยให้เราสร้างความมั่งคั่ง ความรัก ความสัมพันธ์ สุขภาพ และความสุขที่
ฝันถึงเสมอมา
หนังสือเล่มนี้เดิมสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกันโดยผู้เขียน ทั้งยังได้รวบ
รวมข้อคิดของนักคิดด้าน “สุดยอดเดอะซีเคร็ต” ผู้ประสบความสำเร็จอย่าง
สูงไว้หลายๆ คนด้วย เช่น ดร. โจ วิเทล, แจ็ก แคนฟีลด์, บ็อบ พร็อกเตอร์,
ดร. มาซารุ อีโมโตะ, เจย์ อับราฮัม, ที. ฮาร์ฟ อีเกอร์, แดน พอยน์เตอร์,
เอลี เดวิดสัน, เดวิด ริกลาน, ดับเบิลยู. มิตเชลล์ อาร์เทอร์ คาร์มัซซี และ
เกรเกอรีย์ ฮาร์ต
ที่มา http://dmgbooks.ecwid.com/product?8658934

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

ขั้นตอนการสวดคาถามหาจักรพรรดิเพื่อปรับฮวงจุ้ย

ขั้นตอนการสวดคาถามหาจักรพรรดิเพื่อปรับฮวงจุ้ย
1. สวดบูชาพระรัตนตรัย ( นะโมตัสสะ 3 ครั้ง ) “ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ”

2. สวดบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดังนี้
“ พุทธัง ชีวิตัง เมปูเชมิ ( ข้าพเจ้าขอบูชาพระพุทธเจ้า ด้วยชีวิต )
ธัมมัง ชีวิตัง เมปูเชมิ ( ข้าพเจ้าขอบูชาพระธรรมเจ้า ด้วยชีวิต )
สังฆัง ชีวิตัง เมปูเชมิ ( ข้าพเจ้าขอบูชาพระสงฆ์เจ้า ด้วยชีวิต ) ”

3. กราบพระ 6 ครั้ง ดังนี้
“ พุทธัง วันทามิ
ธัมมัง วันทามิ
สังฆัง วันทามิ
อุปัชฌาอาจาริยคุณัง วันทามิ ( สำหรับผู้ชายสวด )
คุณครูบาอาจารย์ วันทามิ ( สำหรับผู้หญิงสวด )
มาตาปิตุคุณัง วันทามิ
พระไตรสิกขาคุณัง วันทามิ ”

4. สมาทานศีล 5
4.1 “นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ ( 3 ครั้ง )
4.2 พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ตติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตติยัมปิธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ”
4.3 ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สมาธิยามิ
อทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สมาธิยามิ
กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สมาธิยามิ
มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สมาธิยามิ
สุราเมระยะมัชชะ ปะมา ทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สมาธิยามิ
4.4 อิมานิ ปัญจะ สิกขา ปะทานิ สมาธิยามิ ( 3 ครั้ง )
สีเลนะ สุคะติงยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา
สีเลนะ นิพพุตติงยันติ ตัสสะมา สีลัง วิโส ธะเย ”

5. ผู้สวดคาถามหาจักรพรรดิเพื่อปรับฮวงจุ้ยนั่งอยู่หน้าพระบูชาของหลวงปู่ดู่ หรือกำลูกแก้วมหาจักรพรรดิ ( ลูกแก้วมณีนพรัตน์ )หรือพระเครื่อง หรือเครื่องรางอย่างอื่นของหลวงปู่ดู่ไว้ในมือ ( ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร ) ถ้าเป็นรูปพระพุทธให้หันรูปเข้าหาตัวผู้สวดและให้เศียรของพระขึ้นข้างบน ทำจิตใจให้ตั้งมั่นและผ่องใส

ก่อนที่จะเริ่มลงมือสวดให้นึกภาพในใจอย่าง ชัดเจนว่า เรากำลังขอความเมตตาจากหลวงปู่ดู่ให้ชักนำบารมีรวมของพระมหาจักรพรรดิ( พลังงานจักรพรรดิ ) บารมีรวมของพระโพธิสัตว์ ผ่านบารมีรวมของพระศรีอริยะเมตไตรย ผ่านบารมีรวมของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ผ่านบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ ครอบเป็นวิมานแก้ว ( บุษบก )ที่ตัวของผู้สวด จากนั้นชักนำพลังงานจักรพรรดิที่สถิตที่ร่างกายผู้สวด ไปครอบเป็นวิมานที่บ้าน ที่ทำงาน หรือสถานที่ที่ต้องการปรับภพภูมิ ( ฮวงจุ้ย )

แล้วกล่าวคำอธิษฐานดังนี้
“ ลูกขออาราธนาพระบารมีแห่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดทั้งมวล ตั้งแต่องค์ปฐมบรมมหาจักรพรรดิ จนถึงองค์บรมมหาจักรพรรดิปัจจุบันทุกๆพระองค์ พระบารมีรวมพระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรม และอริยสงฆ์ทุกชั้นภูมิ ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยบารมีรวมของหลวงปู่ทวด และหลวงปู่ดู่เป็นที่สุด
ขอหลวงปู่ดู่ได้มีพระเมตตา
5.1 ถ้ากำลูกแก้ว มณีนพรัตน์ ก็กล่าวว่า “ ขอให้ลูกแก้วมณีนพรัตน์นี้เป็นดวงแก้วมหาจักรพรรดิ ปรับภพภูมิแต่งเมือง ขอพระฉัพพรรณรังสีแห่งพระรัตนตรัยทั้งหมดทั้งมวล จงแผ่จากดวงแก้วมณีนี้ไปในพื้นที่ ครอบวิมานแก้ว ให้กับ ( บ้านของ........... หรือ สถานที่ทำงานของ........... ) ให้แก่เหล่าดวงจิต ดวงวิญญาณทั้งหลาย ขอให้กระแสพระบารมีจงเชื่อมมายังดวงแก้วนี้จงครอบวิมานแก้วปรับภพภูมิและดวง วิญญาณในสถานที่นี้ด้วยเทอญ ”

5.2 ถ้ากำพระเครื่องหรือเครื่องรางอย่างอื่นของหลวงปู่ดู่ ก็กล่าวว่า “ ให้ ( ชื่อพระเครื่องหรือ
เครื่องราง ) นี้เป็นดวงแก้วมหาจักรพรรดิ ปรับภพภูมิแต่งเมือง ขอพระฉัพพรรณรังสีแห่งพระรัตนตรัย.................... ปรับภพภูมิและดวงวิญญาณในสถานที่นี้ด้วยเทอญ ”
6. สวดคาถาบูชาหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดและหลวงปู่ดู่ ดังนี้
“ นะโม โพธิสัตโต พรหมปํญโญ อาคันติมายะ อิติ ภควา ”
“ ขอนอบน้อมบูชาแด่องค์พระศรีอาริเมตไตรยบรมโพธิสัตว์ ผู้แบ่งภาคมาโปรดสัตว์ยังโลกมนุษย์ ขอจงเกิดความสำเร็จทุกประการเทอญ ”

7. สวดคาถามหาจักรพรรดิ ตามกำลังวัน หรือถ้ามีเวลาก็สวด 108 จบ โดย
7.1 วันจันทร์ สวด 15 จบ
7.2 วันอังคาร สวด 8 จบ
7.3 วันพุธกลางวัน สวด 17 จบ
7.4 วันพุธกลางคืน สวด 12 จบ
7.5 วันพฤหัสบดี สวด 19 จบ
7.6 วันศุกร์ สวด 21 จบ
7.7 วันเสาร์ สวด 10 จบ
7.8 วันอาทิตย์ สวด 6 จบ

8. เมื่อสวดคาถาเสร็จแล้ว ให้นึกภาพตามข้อ 5 ซ้ำอีกครั้งให้ชัดเจน แล้วจึงสวดบทสัพเพเพื่ออาราธนาพลังจักรพรรดิเข้าตัวเราแล้วนำไปครอบวิมานใน ที่ที่ต้องการ

“ สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมามสัพเพ สังฆา
พะลัปปัตตา ปัจเจกายัง จะยังพะลัง
อะหันตานัญ จะเตเชนะรักขัง
พันธามิสัพพะโส
( ในระหว่างนี้ให้วางจิตเบาๆ โน้มนำพระบารมีเข้าตัวผู้สวด จินตนาการว่ามีพระบารมีเข้าตัวเป็นแสงสว่างครอบเป็นวิมานแก้วที่ตัวผู้สวด จากนั้นให้แสงนั้นส่งผ่านต่อไปครอบเป็นวิมานแก้วในสถานที่ที่ต้องการปรับภพ ภูมิ และดวงวิญญาณในสถานที่นั้นๆ )
พุทธังอธิษฐามิ ธัมมังอธิษฐามิ สังฆังอธิษฐามิ ”

9. จากนั้นจึงแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศล
“ พุทธัง อะนันตัง ธัมมัง จักวาลัง สังฆัง นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ”
( ผลบุญของข้าพเจ้าที่ได้กระทำมาแล้วในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ขอปวงสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่าย ตาย เกิด ในสังสารวัฏ จงมีส่วนได้รับผลบุญของข้าพเจ้าเทอญ )

10. หมายเหตุ ถ้าผู้สวดมีเวลาน้อยก็อาจลดขั้นตอนการปฏิบัติ โดยตัดข้อ 2., 3.และ 4 แล้วทำตามข้อที่เหลือ

หนังสืออ้างอิง
1. กายสิทธ์ จัดพิมพ์โดยสำนักสงฆ์พุทธพรหมปัญโญ ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
2. ไตรรัตน์ เล่ม 1 , 2 , และ 3 จัดพิมพ์โดยคณะศิษยานุศิษย์
3. “ไตรรัตนญาณ โดยพระวรงคต วิริยะธโร ( หลวงตาม้า ) วัดพุทธพรหมปัญโญ ( วัดถ้ำเมืองนะ ) ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว
จังหวัดเชียงใหม่ เรียบเรียงโดย
ยุทธภูมิ อุพลเถียร
ที่มา http://www.awayfurniture.com/