ถามเรื่องวิชาเดินธาตุครับ
1.ต้องท่องคาถาละกี่จบครับ
2.ใช้เวลาฝึกครั้งละกี่นาทีครับ
3.คาถาอากาศธาตุ วิญญาณธาตุ จิตธาตุ คาถามีว่าอย่างไรครับ
4.ที่ว่าครอบคลุมทั้ง กสิน ฌาณ มโนมยิทธิ อภิญญา 6 และคือครบ
วิชชา 8 ประการ แถมด้วยพลังลมปราณและพลังจักรวาลอันเป็นเลิศ
หมายความว่าเราไม่ต้องไปแยกฝึกวิชาต่างๆ ที่ว่าแล้วใช่ไหมครับ
เราฝึกวิชานี้เราได้ครบหมดเลยหรือครับ
5.แล้วไหลน้ำพี้ที่จะให้มา เอามาร่วมฝึกยังไงครับ เช่นกำไว้ในมือซ้าย
หรือมือขวา แล้วท่องบริกรรมคาถาไปด้วยอย่างนี้หรือเปล่าครับ
ตอบคำถามนะครับ
1.ถ้าฝึกใหม่ๆก็แล้วแต่เราจะฝึกได้กี่จบครับเพราะค่อนข้างใช้เวลานานพอสมควรในการฝึก แต่ถ้าชำาญดีแล้ว 108 จบ ก็ดีครับ
2.ของผมไม่เคยนับนาทีครับ...ฝึกได้นานแค่ไหนก็แค่นั้นครับ..เป้นการฝึกความ อดทนของเราได้ด้วยครับ...และวิชานี้ฝึกได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ และทุกขณะจิต ครับ...
3.คาถาอากาศธาตุ วิญญาณธาตุ จิตธาตุ เป็นวิชาธาตุกรรมฐานขั้นสูงที่ต่อเนื่อมาจากธาตุหลักทั้ง 4 ครับ...มีส่วนปลีกย่อยมากมายครับ...ซึ่งต้องศึกษาในเรื่องของ กรรมฐานอีกหลายกองครับ ถึงจะไปฝึกวิชาทั้ง 7 ธาตุ...ประมารว่ายิ่งฝึกวิชานี้ยิ่งต้องปลงกับชีวิตปล่อยวางกับชีวิตมากขึ้น เรื่อยๆครับ...
4.ที่ว่าครอบคลุมทั้ง กสิน ฌาณ มโนมยิทธิ อภิญญา 6 และคือครบวิชชา 8 ประการ แถมด้วยพลังลมปราณและพลังจักรวาลอันเป็นเลิศ หมายความว่าเราไม่ต้องไปแยกฝึกวิชาต่างๆ ที่ว่าแล้วใช่ไหมครับ เราฝึกวิชานี้เราได้ครบหมดเลยหรือครับ / ตอบว่า วิชานี้เป็นวิชาต้นแบบของวิชาทั้งหมดครับ...แต่การฝึกวิชาอื่นๆควบคู่ไปด้วย ก็ไม่ทำให้เสียหายแต่อย่างใดครับ....ฝึกได้ตามความถนัดและความชอบของแต่ละ ท่านครับ
5.แล้วไหลน้ำพี้ที่จะให้มา เอามาร่วมฝึกยังไงครับ เช่นกำไว้ในมือซ้าย หรือมือขวา แล้วท่องบริกรรมคาถาไปด้วยอย่างนี้หรือเปล่าครับ / ตอบว่า ท่านเข้าใจได้ถูกต้องครับ...มือซ้ายสื่อตรงถึงหัวใจครับ เป้นการส่งพลังของเราไปสู่ธาตุกายสิทธิ์และเป้นการสะท้อนพลังจากธาตุ กายสิทธิ์กลับมาหาเรา...แต่...การฝึกวิชานั้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับธาตุ กายสิทธิ์ครับ...
เพราะ ท่านสามารถฝึกได้โดยที่ไม่ใช้ธาตุกายสิทธิ์ใดอะไรช่วยก็ได้ครับ...เพราะวิชา นี้ ก็ฝึกได้แบบฝึกสมาธิโดยทั่วไปครับผม...คือจะนั่งสมาธิแต่ภาวนาวิชาเดินธาตุ ไปก็ได้ หรือจะนั่งพนมมือแล้วภาวนาวิชาเดินธาตุไปก็ได้เช่นกันครับ...หรือจะนั่งในรถ ทัวร์แล้วหลับตาภาวนาวิชาเดินธาตุไปด้วยก็ดีครับ
...แต่ที่ใช้กับธาตุ กายสิทธิ์นั้นเพื่อทำากรปลุกพลังให้กับธาตุกายสิทธิ์ครับ...ขณะที่เราภาวนา และสวดมนต์ พลังจิตย่อมเกิดขึ้นมาให้เราและธาตุกายสิทธิ์ ครับ
รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับแก้วจักรพรรดิ์,การปฎิบัติสมาธิ และ ,ตรวจพลังพระเครื่องด้วยแพนดูลั่มพลังจิต
จำนวนการดูหน้าเว็บรวม
วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553
การปลุกเสกวัตถุมงคลด้วยวิชาเดินธาตุ
การปลุกเสกวัตถุมงคลด้วยวิชาเดินธาตุ
วัตถุมลคลประจำตัวเรา เช่น พระเครื่อง ตะกรุด ผ้ายันต์ต่างๆเหล่านี้ เมื่อกระทำการอาราธนาเสร็จแล้ว ก็ควรจะปลุกสกวิชาแม่ธาตุเพื่อเพิ่มพลังจิตในด้านนั้นๆยิ่งขึ้น
การปลุกเสกนั้นมี 2 ประเภทคือ
1.ปลุกเสกโดย เกจิอาจารย์ในการลงพลังจิตแก่วัตถุมลคล
2.การปลุกเสกโดยเจ้าของวัตถุมงคล อาราธนาก่อนจะติดตัวไปป้องกันภัยอันตราย คือ ปลุกให้ท่านตื่นก่อนที่จะ คล้องคอนั่นเอง
วัตถุมงคลที่มีฤทธิ์ในทาง เสน่ห์
เมื่ออารธนาเสร็จแล้ว ก่อนจะติดตัวให้เพิ่มพลังแม่ธาตุเข้าไปด้วย ขึ้นต้นว่า
นะ โม พุท ธา ยะ
นะ มะ พะ ธะ
นะ มะ อะ อุ
นะ จะ นะ จะ
เพิ่มเสน่ห์ในตัวให้คนรักใคร่ เจรจาการงาน จะได้ผลเพราะมีเมตตา
วัตถุมงคลที่มีฤทธิ์ในทาง ทำให้ภูตผีเกรงกลัวและสะเดาะเคราะห์
เมื่ออารธนาเสร็จแล้ว ก่อนจะติดตัวให้เพิ่มพลังแม่ธาตุเข้าไปด้วย ขึ้นต้นว่า
นะ โม พุท ธา ยะ
นะ มะ พะ ธะ
นะ มะ อะ อุ
มะ ภะ มะ ภะ
นำติดตัวไป ทำให้ภูติผีไม่กล้ารบกวน แม้จะทำการสิ่งใดจะได้ผล
วัตถุมงคลที่มีฤทธิ์ในทาง อยู่ยงคงกระพันชาตรี
เมื่ออารธนาเสร็จแล้ว ก่อนจะติดตัวให้เพิ่มพลังแม่ธาตุเข้าไปด้วย ขึ้นต้นว่า
นะ โม พุท ธา ยะ
นะ มะ พะ ธะ
นะ มะ อะ อุ
พะ กะ พะ กะ
ป้องกันอันตรายที่จะมาแผ้วพาน หากเกิดต่อสู้กันกับโจรผุ้ร้าย ทำให้แคล้วคลาด ไม่ไม่ตกยางไม่ออก
วัตถุมงคลที่มีฤทธิ์ในทาง การกำบัง สะกดจิต หรือ นะจังงัง
เมื่ออารธนาเสร็จแล้ว ก่อนจะติดตัวให้เพิ่มพลังแม่ธาตุเข้าไปด้วย ขึ้นต้นว่า
นะ โม พุท ธา ยะ
นะ มะ พะ ธะ
นะ มะ อะ อุ
ธะ สะ ธะ สะ
ทำให้ศัตรูไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่กล้าทำร้าย เหมือนถูก นะจังงัง
โลกเราและร่างกายเราก็ อาศัยธาตุทั้ง 4 นี้ หากบรรจุแม่ธาตุทั้ง 4 นี้ไปด้วย จะเกิดพลังในด้านต่างๆสมความปราถณา ข้อสำคัญอยุ่ที่ตัวเรา ต้องเป้นคนดี มีความประพฤติดี มีสัจจะวาจา ไม่มุ่งร้ายหมายชีวิตผู้อื่น ไม่มีความโลภ ไม่ใช้วิชาไปในทางมิชอบ ไม่ด่าบิดามารดาของผู้อื่นและของตนเอง...
------------------------------------------------------------------
การท่องไปในแดนต่างๆด้วยวิชาจากคัมภีร์มรกต ของโธส แห่งแอตแลนติส
ลา อูม อี ลู กาน
ท่องหลังจากสวดมนต์และทำสมาธิเสร็จ ท่องสักครึ่งชั่วโมงแล้วภาวนาในใจว่าอยากไปที่ไหแล้วกลับมาท่องอีกครั้งจน เข้าสู่ภวังค์หรือไม่ก็หลับไปเลย จะสามารถไปไหนก็ได้...โดยเฉพาะคนที่ฝึกวิชาเดินธาตุจะมีพลังจิตสูงสามารถไป ไหนก็ได้ไม่จำกัด
วัตถุมลคลประจำตัวเรา เช่น พระเครื่อง ตะกรุด ผ้ายันต์ต่างๆเหล่านี้ เมื่อกระทำการอาราธนาเสร็จแล้ว ก็ควรจะปลุกสกวิชาแม่ธาตุเพื่อเพิ่มพลังจิตในด้านนั้นๆยิ่งขึ้น
การปลุกเสกนั้นมี 2 ประเภทคือ
1.ปลุกเสกโดย เกจิอาจารย์ในการลงพลังจิตแก่วัตถุมลคล
2.การปลุกเสกโดยเจ้าของวัตถุมงคล อาราธนาก่อนจะติดตัวไปป้องกันภัยอันตราย คือ ปลุกให้ท่านตื่นก่อนที่จะ คล้องคอนั่นเอง
วัตถุมงคลที่มีฤทธิ์ในทาง เสน่ห์
เมื่ออารธนาเสร็จแล้ว ก่อนจะติดตัวให้เพิ่มพลังแม่ธาตุเข้าไปด้วย ขึ้นต้นว่า
นะ โม พุท ธา ยะ
นะ มะ พะ ธะ
นะ มะ อะ อุ
นะ จะ นะ จะ
เพิ่มเสน่ห์ในตัวให้คนรักใคร่ เจรจาการงาน จะได้ผลเพราะมีเมตตา
วัตถุมงคลที่มีฤทธิ์ในทาง ทำให้ภูตผีเกรงกลัวและสะเดาะเคราะห์
เมื่ออารธนาเสร็จแล้ว ก่อนจะติดตัวให้เพิ่มพลังแม่ธาตุเข้าไปด้วย ขึ้นต้นว่า
นะ โม พุท ธา ยะ
นะ มะ พะ ธะ
นะ มะ อะ อุ
มะ ภะ มะ ภะ
นำติดตัวไป ทำให้ภูติผีไม่กล้ารบกวน แม้จะทำการสิ่งใดจะได้ผล
วัตถุมงคลที่มีฤทธิ์ในทาง อยู่ยงคงกระพันชาตรี
เมื่ออารธนาเสร็จแล้ว ก่อนจะติดตัวให้เพิ่มพลังแม่ธาตุเข้าไปด้วย ขึ้นต้นว่า
นะ โม พุท ธา ยะ
นะ มะ พะ ธะ
นะ มะ อะ อุ
พะ กะ พะ กะ
ป้องกันอันตรายที่จะมาแผ้วพาน หากเกิดต่อสู้กันกับโจรผุ้ร้าย ทำให้แคล้วคลาด ไม่ไม่ตกยางไม่ออก
วัตถุมงคลที่มีฤทธิ์ในทาง การกำบัง สะกดจิต หรือ นะจังงัง
เมื่ออารธนาเสร็จแล้ว ก่อนจะติดตัวให้เพิ่มพลังแม่ธาตุเข้าไปด้วย ขึ้นต้นว่า
นะ โม พุท ธา ยะ
นะ มะ พะ ธะ
นะ มะ อะ อุ
ธะ สะ ธะ สะ
ทำให้ศัตรูไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่กล้าทำร้าย เหมือนถูก นะจังงัง
โลกเราและร่างกายเราก็ อาศัยธาตุทั้ง 4 นี้ หากบรรจุแม่ธาตุทั้ง 4 นี้ไปด้วย จะเกิดพลังในด้านต่างๆสมความปราถณา ข้อสำคัญอยุ่ที่ตัวเรา ต้องเป้นคนดี มีความประพฤติดี มีสัจจะวาจา ไม่มุ่งร้ายหมายชีวิตผู้อื่น ไม่มีความโลภ ไม่ใช้วิชาไปในทางมิชอบ ไม่ด่าบิดามารดาของผู้อื่นและของตนเอง...
------------------------------------------------------------------
การท่องไปในแดนต่างๆด้วยวิชาจากคัมภีร์มรกต ของโธส แห่งแอตแลนติส
ลา อูม อี ลู กาน
ท่องหลังจากสวดมนต์และทำสมาธิเสร็จ ท่องสักครึ่งชั่วโมงแล้วภาวนาในใจว่าอยากไปที่ไหแล้วกลับมาท่องอีกครั้งจน เข้าสู่ภวังค์หรือไม่ก็หลับไปเลย จะสามารถไปไหนก็ได้...โดยเฉพาะคนที่ฝึกวิชาเดินธาตุจะมีพลังจิตสูงสามารถไป ไหนก็ได้ไม่จำกัด
ป้ายกำกับ:
การปลุกเสกวัตถุมงคลด้วยวิชาเดินธาตุ
วิชาเดินธาตุหรือธาตุกรรมฐาน
ไหลน้ำพี้เป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งครับ มีสรรพคุณไม่ด้อยไปกว่าเหล็กไหล...แต่ยังไม่เป้นที่รู้จักกันมากเหมือนเหล็ก ไหลแค่นั้นเองครับ.../ ผมยังไม่เก่งถึงขนาดสอนสมาธิได้น่ะครับ...อายุผมยังน้อยครับ วัยรุ่นตอนต้นอยู่เลย
----------------------------------------------------------
วิชาเดินธาตุหรือธาตุกรรมฐาน
เริ่มตั้งแต่...การบูชาพระ คำนมัสการพระรัตนตรัย คำนมัสการพระพุทธเจ้า คำขอขมาพระรัตนตรัย คำพรรณาพระบรมธาตุ บทไตรสรณคมน์ อาราธนา ศีล 5 คำนมัสการพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ บทบูชาบิดามารดาและครูบาอาจารย์ บทชุมนุมเทวดา ธรรมจักรกัปวัตนสูตร ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก ชินบัญชร พาหุงมหากา บารมี 30 ทัศ อุณหิสวิชัยคาถา แผ่เมตตาให้ตนเองและสรรพสัตว์
จากนั้นจึงนั่งหันหน้าไปทางทิศใต้เพื่อรับพลังปราณจักรวาลที่ไหลจากทิศใต้มา สู่ทิศเหนือ ด้วยการนั่งพนมมือเพื่อรวมพลังปราณทั้ง 6 สายที่นิ้วมือเพื่อเพิ่มพลังปราณให้กับตนเอง พร้อมกับการท่องมนต์ตราแห่งวิชาเดินธาตุ ซึ่งมีทั้งวิชาเดินธาตุแบบขั้นต้น แบบขั้นกลางและแบบขั้นสูง ซึ่งมีความยากง่ายแตกต่างกันไป...เมื่อฝึกวิชาเดินธาตุแล้ว จะออกจากวิชาเดินธาตุเพื่อผ่อนคลายพลัง เพราะวิชาเดินธาตุนั้นเป็นวิชาที่มีพลังมหาศาล เมื่อฝึกไปได้ถึงระดับหนึ่งแล้วจะรู้สึกว่า ใจจะเย็นเหมือนมีน้ำทิพย์ชโลมใจแต่กายจะร้อนดั่งไฟเผากาย ดังนั้นจึงต้องมีการนั่งสมาธิแบบธรรมดาทั่วไป คือ ท่องพุทโธ หรือ ยุบหนอพองหนอ เพื่อผ่อนคลายพลังอันมหาศาลในการและใจของผู้ฝึก จากนั้นจึงท่องบทอัญเชิญเทวดากลับ ที่ต้องอัญเชิญเทวดากลับทีหลังนั้น เพราะเมื่อฝึกวิชานั้นๆ ก็จะได้มีเทพเทวดาต่างๆมาช่วยปกปักษ์รักษาและช่วยส่งเสริมการฝึกวิชา นั่นเอง
วิชาเดินธาตุแบบฉุกเฉิน ใช้ในยามคับขัน เมื่อนึกอะไรไม่ออกให้ให้ นะโมพุทธายะ จิเจรูนิ
วิขาเดินธาตุขั้นต้นนั้นจะใช้ หัวใจของธาตุทั้ง ๔ ไฟ ดิน ลม น้ำ บังเกิดสรรพสิ่งในจักรวาล
ธาตุทั้ง4 ไฟ ดิน ลม น้ำ ตามหลักแล้วธาตุที่อยู่ตรงข้ามกันจะเกื้อหนุนกัน เช่น ดินกับน้ำ ไฟกับลม นะ โม พุท ธา ยะ นี้เปรียบเสมือนธาตุใหญ่ เป็นรากเหง้าของธาตุทั้ง4
นะ คือ พระกุกกุสันโธ คือ ธาตุน้ำ หล่อเลี้ยงร่างกายและดวงจิต กำลังธาตุ 12
โม คือ พระโกนาคม คือ ธาตุดิน ให้กำลังวังชา กำลังธาตุ 21
พุท คือ พระกัสสป คือ ธาตุไฟ ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย กำลัง ธาตุ 6
ธา คือ พระสมณโคดม คือ ธาตุลม หล่อเลี้ยงชีวิต ดูดพลังปราณมาหล่อเลี้ยงดวงจิต กำลังธาตุ 7
ยะ คือ พระศรีอริยเมตตรัย คือ อากาศธาตุ เป็นที่ตั้งของวิญญาณ กำลังธาตุ 10
เมื่อรวมกำลังธาตุ นะโมพุทธายะ จะได้ 56 คือกำลังพุทธคุณ ส่งผลให้เกิดกำลังธรรมคุณ 38 และกำลังสังฆคุณ 14 รวมกำลัง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณได้ 108 เชื่อว่าหากกระทำการใดเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เช่น ปลุกเสกลงเลขยันต์ให้ครบ 108 ครั้งจะมีความศักดิ์สิทธิ์มากได้ผลตามใจปรารถนา
เมื่อถอดจากพระเจ้า 5 พระองค์ นะโมพุทธายะ จึงบังเกิดเป็นธาตุทั้ง 4 คือ
นะ(ธาตุน้ำ)
มะ (ธาตุดิน)
พะ(ธาตุไฟ)
ธะ (ธาตุลม)
นะ มะ พะ ธะ ธาตุทั้ง4นี้ เป็นธาตุหล่อเลี้ยงร่างกาย สังขารที่ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นตัวธาตุ ที่ถอดจากแม่ธาตุใหญ่ คือ นะ โม พุท ธา ยะ
ถอดลงไปอีกบังเกิด ธาตุพระกรณี(ธาตุพี่เลี้ยง)คือ
จะ(ธาตุน้ำ)
ภะ(ธาตุดิน)
กะ(ธาตุไฟ)
สะ(ธาตุลม)
จะ ภะ กะ สะ คือธาตุพี่เลี้ยง นะ มะ พะ ธะ ที่ท่านจัดเป็นกองธาตุทั้ง4กอง คือเมื่อจะตั้งธาตุทั้ง4กองนี้ ต้องมีธาตุพระพุทธเจ้าคือธาตุพระกรณีตั้ง กำกับลงไปด้วย คือ จะ ภะ กะ สะ เพื่อเป็นพี่เลี้ยงคุมธาตุลงไปอีกทีหนึ่ง
เมื่อตั้งธาตุได้บริบูรณ์แล้ว จากนั้นก็มีการหนุนธาตุ การหนุนธาตุนั้นท่านให้หนุนด้วยแก้ว4ดวง คือ นะ มะ อะ อุ
นะ คือแก้วมณีโชติ (ธาตุน้ำ)
มะ คือแก้วไพฑูรย์ (ธาตุดิน)
อะ คือแก้ววิเชียร (ธาตุไฟ)
อุ คือแก้วปัทมราช (ธาตุลม)
เมื่อรวมพระเจ้า 5 พระองค์ ธาตุทั้ง 4 ธาตุพระกรณีและดวงแก้วทั้ง 4 เข้าด้วยกันจึงจะสมบูรณ์ครบถ้วน ทำให้เกิดเป็นอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ ตามหลักวิชาแปรโลกธาตุ คือการปลุกเสกของกายสิทธิ์ให้มีอิทธิฤทธิ์เทียบเท่ากับเหล็กไหลชั้น 1 คือมีสีเปลี่ยนไปจากเดิมจนกลายเป็นสีเขียวปีกแมลงทับ หรือยืดหดกินน้ำผึ้งได้เองเมื่อใช้คาถากำกับหรือใช้อำนาจกำลังของตบะฌาน ประจุลงไป ณ ธาตุนั้น ๆ
หลักการใช้ธาตุอย่างกว้าง ๆ คือ ธาตุน้ำเด่นทางเสน่ห์และเมตตา ธาตุดินเด่นทางอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ คงกระพันชาตรี ธาตุไฟใช้ทำลายสิ่งชั่วร้ายและหลอมรวมวัตถุ ธาตุลมใช้ทางล่องหนหายตัว สะกด เมื่อได้ในพื้นฐานแล้วยังต้องรู้จัก การเดินธาตุ หนุนธาตุ อัดธาตุ ซ้อนธาตุ แยกธาตุ สลับธาตุ ย้อนธาตุและพลิกแพลงธาตุต่าง ๆ ซึ่งยังแบ่งแยกออกตามระดับความยากง่ายอีกด้วย คล้ายกับการเรียนหนังสือ เริ่มจากชั้นประถม มัธยม ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก เพราะถ้าขั้นประถมก็อาจใช้พระคาถาว่า นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ นะมะมะนะ นะอะอะนะ นะอุอุนะ
วิชาเดินธาตุขั้นกลาง
ปฐวีธาตุ หรือ ธาตุดิน ให้ว่าดังนี้
มะ กะ ทะ นะ พะ กะ สะ จะ
มิ ตะ ติ อุ อะ มะ นะ
จิ ตะ ติ จะ พะ กะ สะ
มุ ตะ ติ มะ นะ อะ อุ
อาโปธาตุ หัรือ ธาตุน้ำ
นะ มะ ทะ จะภะ กะ สะ
ริ ตะ ติ นะ อะ อิ อุ
ริ ตะ ติ สะ มะ นิ ทุ
ริ ตะ ตะ วิ กะ วิ ตะ ติ
วาโยธาตุ หรือ ธาตุลม
พะ ทะ นะ มะ พะ สะ จะ พะ
ริ ตะ ติ ทะ พะ มะ นะ
มิ ตะ ติ อุ อะ มะ นะ
วิ ตะ ติ พะ สะ กะ สะ
เตโชธาตุ หรือ ธาตุไฟ
ทะ นะ มะ พะ สะ จะ พะ วะ
มิ ตะ ติ พะ จะ สะ กะ
มุ ตะ ติ นะ มะ อะ อุ
จุ ตะ ติ กะ ระ มะ กะ
นอกจากคาถาธาตุตัวเต็มนี้แล้ว สามารถถอดเอาไปใช้เฉพาะเรื่อง
ทำให้ร่างกายให้โตว่า
มะ นะ อุ อะ นะ มะ อะ อุ
ทำให้มีข้าวของเครื่องใช้มากว่า
อะ อุ มะ นะ นะ มะ อุ อุ
ทำให้วิ่งเดินเร็วว่า
อุ อะ มะ นะ นะ มะ อะ อุ
ทำให้หายตัวไม่มีใครเห็น
อะ อุ นะ มะ มะ นะ อะ อุ
ทำให้ฝนตก
นะ มะ อะ อุ มะ นะ อุ อะ
และขั้นสูงสุดคือ วิชาเดินธาตุทั้ง 7 อันประกอบด้วย ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ จิตธาตุ อันเป็นวิชาอันเล้นลับและซับซ้อนซ่อนเงื่อน ซึ่งเมื่อเดินถึงวิชา 7 ธาตุนี้แล้วจึงจะครอบคลุมทั้ง กสิน ฌาณ มโนมยิทธิ อภิญญา 6 และคือครบวิชชา 8 ประการ แถมด้วยพลังลมปราณและพลังจักรวาลอันเป็นเลิศเพื่อเสริมพลังให้กับร่างกายอีก ด้วย
---------------------------------------------
ทำไมต้องพอกกายทิพย์
เพราะตกใจขณะจิตสงบในสมาธิ เรียกว่ากายทิพย์สะเทือน
ภาวะตกใจแล้วลุกขึ้นวิ่งหนีจากที่นั่ง เรียกว่า กายทิพย์สะเทือน ถึงขั้นกายทิพย์แตกกระจาย อาจเสียสติได้
ตกใจในขณะทำสมาธิ.......เกิดเพราะ
เห็นวิญญาณหรือสิ่งน่ากลัว ต้องมีสติคุมอารมณ์ไม่ให้ตกใจกลัว และไม่ลุกขึ้นจากที่นั่งเป็นอันขาด ต้องวางใจให้นิ่ง ๆ ระลึกถึงครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วอุทิศส่วนบุญกุลศลให้ วิญญาณนั้นก็จะหาย
ตกใจเพราะเหตุอื่น ทำให้สะดุ้งตกใจ เช่น เสียงดัง ๆ ให้ค่อย ๆ ลืมตาดูช้า ๆ นั่งปรับจิตใจให้สงบดีขึ้นแล้ว จึงจะลุกจากที่นั่งได ้
วิธีปรับจิตให้สงบ เพื่อรักษากายทิพย์สะเทือน
ในขณะที่นั่งสมาธิอยู่นั้น เมื่อตกใจ หัวใจจะเต้นแรงผิดปกติ อาจจะมีอาการปวดเสียวเป็นระยะ ๆ หน้าซีด มือที่วางซ้อนอยู่ด้วยกัน อาจจะถูกสลัดออกจากกัน ให้วางซ้อนให้เหมือนเดิม หลับตาลง ถอนหายใจลึก ๆ ช้า ๆ ๕ ครั้ง เริ่มต้น ตั้งจิตใจ ส่งไปที่กึ่งกลางระหว่างคิ้ว หายใจเข้าภาวนาว่า "พุท" หายใจออกว่า "โธ" (คำอื่นก็ได้) ทำอยู่ ๑๕ นาที หัวใจที่เต้นแรงผิดปกตินั้นจะกลับเข้าสู่ภาวะเดิมได้ เมื่อหายกลัวแล้วจึงจะออกจากสมาธิได้
วิธีรักษากายทิพย์ที่ถูกสะเทือนถึงขั้นแตกกระจาย
หาครูบาอาจารย์ หรือพี่เลี้ยงใจเย็น ๆ มาช่วยควบคุมให้ผู้นั้นนั่งสมาธิใหม่ ด้วยการมองพระพุทธรูป ให้จำ รูปนั้นแม้หลับตาก็ให้จำภาพนั้นให้ชัดเจน ถ้าภาพหายไปให้ลืมตาดู จนหลับตาก็จำภาพพระพุทธรูปได้ นับว่า เริ่มมีสติรู้สึกตัว ควบคุมตัวเองได้ ต่อด้วยการพอกกายทิพย์ให้สมบูรณ์ ด้วยการส่งความรู้สึกนึกคิดทั้งมวล เพ่งส่งไป ที่พระพุทธรูป เมื่อฝึกทำมาก ๆ ครั้งเข้า ภาพพระพุทธรูปจะค่อย ๆ ชัดขึ้นจนเห็นชัดทุกสัดส่วน เหมือนลืมตา จนพระพุทธรูปนั้นมีความสว่างไสว จนเป็นวงรอบองค์พระเหมือนดวงแก้ว จนมีความปิติสุข เกิดขึ้น แสดงว่า "ท่านหายแล้ว"
การพอกกายทิพย์นี้ เป็นการดึงเก็บรวบรวมเอา มวลสาร ของอะตอมในโมเลกุลซึ่งเป็นส่วนส่วนละเอียดที่สุด ของส่วนประกอบดวงจิต ที่เหมือนดวงแก้วที่แตกกระจากออกไปนั้น มารวมตัวสมานกันอีกครั้ง เมื่อเพ่งมองพระพุทธรูปจนเป็นนิมิต นั้นทำให้จิตรวมเป็นหนึ่งก็จะเกิดอำนาจดึงดูด เหมือนแม่เหล็ก ยิ่งส่งความนึกคิดเข้าไปในองค์พระพุทธรูปมากเท่าใดแล้ว เหมือนเสริมพลังให้กับแม่เหล็ก อำนาจแม่เหล็ก ที่ศูนย์กลาง คือพระพุทธรูป จะยิ่งเพิ่มพลังดึงดูดมากขึ้น จึงเกิดกำลังทวีคูณดึงดูด เก็บรวบรวมชิ้นส่วนอัน ละเอียดของดวงจิต (ดวงแก้ว) ที่แตกซ่านกระจายนั้นรวมตัวเข้าเป็นวงกลม(ดวงแก้ว) ที่สมบูรณ์ ใหม่ ๆ ดวงแก้วจะไม่ค่อยสว่างและไม่ค่อยกลมด้วย สุดท้ายอำนาจดึงดูดสูงขึ้น ๆ เศษส่วนต่าง ๆ ของดวงแก้วก็ จะติดแน่น สมานจนไม่มีรอยตำหนิ
(เรียบเรียงจากหนังสือแนวคำสอนสมเด็จโต สมาธิ ทางสงบ ถอดจิต โดยแสง อรุณกุศล )
----------------------------------------------------------
วิชาเดินธาตุหรือธาตุกรรมฐาน
เริ่มตั้งแต่...การบูชาพระ คำนมัสการพระรัตนตรัย คำนมัสการพระพุทธเจ้า คำขอขมาพระรัตนตรัย คำพรรณาพระบรมธาตุ บทไตรสรณคมน์ อาราธนา ศีล 5 คำนมัสการพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ บทบูชาบิดามารดาและครูบาอาจารย์ บทชุมนุมเทวดา ธรรมจักรกัปวัตนสูตร ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก ชินบัญชร พาหุงมหากา บารมี 30 ทัศ อุณหิสวิชัยคาถา แผ่เมตตาให้ตนเองและสรรพสัตว์
จากนั้นจึงนั่งหันหน้าไปทางทิศใต้เพื่อรับพลังปราณจักรวาลที่ไหลจากทิศใต้มา สู่ทิศเหนือ ด้วยการนั่งพนมมือเพื่อรวมพลังปราณทั้ง 6 สายที่นิ้วมือเพื่อเพิ่มพลังปราณให้กับตนเอง พร้อมกับการท่องมนต์ตราแห่งวิชาเดินธาตุ ซึ่งมีทั้งวิชาเดินธาตุแบบขั้นต้น แบบขั้นกลางและแบบขั้นสูง ซึ่งมีความยากง่ายแตกต่างกันไป...เมื่อฝึกวิชาเดินธาตุแล้ว จะออกจากวิชาเดินธาตุเพื่อผ่อนคลายพลัง เพราะวิชาเดินธาตุนั้นเป็นวิชาที่มีพลังมหาศาล เมื่อฝึกไปได้ถึงระดับหนึ่งแล้วจะรู้สึกว่า ใจจะเย็นเหมือนมีน้ำทิพย์ชโลมใจแต่กายจะร้อนดั่งไฟเผากาย ดังนั้นจึงต้องมีการนั่งสมาธิแบบธรรมดาทั่วไป คือ ท่องพุทโธ หรือ ยุบหนอพองหนอ เพื่อผ่อนคลายพลังอันมหาศาลในการและใจของผู้ฝึก จากนั้นจึงท่องบทอัญเชิญเทวดากลับ ที่ต้องอัญเชิญเทวดากลับทีหลังนั้น เพราะเมื่อฝึกวิชานั้นๆ ก็จะได้มีเทพเทวดาต่างๆมาช่วยปกปักษ์รักษาและช่วยส่งเสริมการฝึกวิชา นั่นเอง
วิชาเดินธาตุแบบฉุกเฉิน ใช้ในยามคับขัน เมื่อนึกอะไรไม่ออกให้ให้ นะโมพุทธายะ จิเจรูนิ
วิขาเดินธาตุขั้นต้นนั้นจะใช้ หัวใจของธาตุทั้ง ๔ ไฟ ดิน ลม น้ำ บังเกิดสรรพสิ่งในจักรวาล
ธาตุทั้ง4 ไฟ ดิน ลม น้ำ ตามหลักแล้วธาตุที่อยู่ตรงข้ามกันจะเกื้อหนุนกัน เช่น ดินกับน้ำ ไฟกับลม นะ โม พุท ธา ยะ นี้เปรียบเสมือนธาตุใหญ่ เป็นรากเหง้าของธาตุทั้ง4
นะ คือ พระกุกกุสันโธ คือ ธาตุน้ำ หล่อเลี้ยงร่างกายและดวงจิต กำลังธาตุ 12
โม คือ พระโกนาคม คือ ธาตุดิน ให้กำลังวังชา กำลังธาตุ 21
พุท คือ พระกัสสป คือ ธาตุไฟ ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย กำลัง ธาตุ 6
ธา คือ พระสมณโคดม คือ ธาตุลม หล่อเลี้ยงชีวิต ดูดพลังปราณมาหล่อเลี้ยงดวงจิต กำลังธาตุ 7
ยะ คือ พระศรีอริยเมตตรัย คือ อากาศธาตุ เป็นที่ตั้งของวิญญาณ กำลังธาตุ 10
เมื่อรวมกำลังธาตุ นะโมพุทธายะ จะได้ 56 คือกำลังพุทธคุณ ส่งผลให้เกิดกำลังธรรมคุณ 38 และกำลังสังฆคุณ 14 รวมกำลัง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณได้ 108 เชื่อว่าหากกระทำการใดเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เช่น ปลุกเสกลงเลขยันต์ให้ครบ 108 ครั้งจะมีความศักดิ์สิทธิ์มากได้ผลตามใจปรารถนา
เมื่อถอดจากพระเจ้า 5 พระองค์ นะโมพุทธายะ จึงบังเกิดเป็นธาตุทั้ง 4 คือ
นะ(ธาตุน้ำ)
มะ (ธาตุดิน)
พะ(ธาตุไฟ)
ธะ (ธาตุลม)
นะ มะ พะ ธะ ธาตุทั้ง4นี้ เป็นธาตุหล่อเลี้ยงร่างกาย สังขารที่ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นตัวธาตุ ที่ถอดจากแม่ธาตุใหญ่ คือ นะ โม พุท ธา ยะ
ถอดลงไปอีกบังเกิด ธาตุพระกรณี(ธาตุพี่เลี้ยง)คือ
จะ(ธาตุน้ำ)
ภะ(ธาตุดิน)
กะ(ธาตุไฟ)
สะ(ธาตุลม)
จะ ภะ กะ สะ คือธาตุพี่เลี้ยง นะ มะ พะ ธะ ที่ท่านจัดเป็นกองธาตุทั้ง4กอง คือเมื่อจะตั้งธาตุทั้ง4กองนี้ ต้องมีธาตุพระพุทธเจ้าคือธาตุพระกรณีตั้ง กำกับลงไปด้วย คือ จะ ภะ กะ สะ เพื่อเป็นพี่เลี้ยงคุมธาตุลงไปอีกทีหนึ่ง
เมื่อตั้งธาตุได้บริบูรณ์แล้ว จากนั้นก็มีการหนุนธาตุ การหนุนธาตุนั้นท่านให้หนุนด้วยแก้ว4ดวง คือ นะ มะ อะ อุ
นะ คือแก้วมณีโชติ (ธาตุน้ำ)
มะ คือแก้วไพฑูรย์ (ธาตุดิน)
อะ คือแก้ววิเชียร (ธาตุไฟ)
อุ คือแก้วปัทมราช (ธาตุลม)
เมื่อรวมพระเจ้า 5 พระองค์ ธาตุทั้ง 4 ธาตุพระกรณีและดวงแก้วทั้ง 4 เข้าด้วยกันจึงจะสมบูรณ์ครบถ้วน ทำให้เกิดเป็นอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ ตามหลักวิชาแปรโลกธาตุ คือการปลุกเสกของกายสิทธิ์ให้มีอิทธิฤทธิ์เทียบเท่ากับเหล็กไหลชั้น 1 คือมีสีเปลี่ยนไปจากเดิมจนกลายเป็นสีเขียวปีกแมลงทับ หรือยืดหดกินน้ำผึ้งได้เองเมื่อใช้คาถากำกับหรือใช้อำนาจกำลังของตบะฌาน ประจุลงไป ณ ธาตุนั้น ๆ
หลักการใช้ธาตุอย่างกว้าง ๆ คือ ธาตุน้ำเด่นทางเสน่ห์และเมตตา ธาตุดินเด่นทางอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ คงกระพันชาตรี ธาตุไฟใช้ทำลายสิ่งชั่วร้ายและหลอมรวมวัตถุ ธาตุลมใช้ทางล่องหนหายตัว สะกด เมื่อได้ในพื้นฐานแล้วยังต้องรู้จัก การเดินธาตุ หนุนธาตุ อัดธาตุ ซ้อนธาตุ แยกธาตุ สลับธาตุ ย้อนธาตุและพลิกแพลงธาตุต่าง ๆ ซึ่งยังแบ่งแยกออกตามระดับความยากง่ายอีกด้วย คล้ายกับการเรียนหนังสือ เริ่มจากชั้นประถม มัธยม ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก เพราะถ้าขั้นประถมก็อาจใช้พระคาถาว่า นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ นะมะมะนะ นะอะอะนะ นะอุอุนะ
วิชาเดินธาตุขั้นกลาง
ปฐวีธาตุ หรือ ธาตุดิน ให้ว่าดังนี้
มะ กะ ทะ นะ พะ กะ สะ จะ
มิ ตะ ติ อุ อะ มะ นะ
จิ ตะ ติ จะ พะ กะ สะ
มุ ตะ ติ มะ นะ อะ อุ
อาโปธาตุ หัรือ ธาตุน้ำ
นะ มะ ทะ จะภะ กะ สะ
ริ ตะ ติ นะ อะ อิ อุ
ริ ตะ ติ สะ มะ นิ ทุ
ริ ตะ ตะ วิ กะ วิ ตะ ติ
วาโยธาตุ หรือ ธาตุลม
พะ ทะ นะ มะ พะ สะ จะ พะ
ริ ตะ ติ ทะ พะ มะ นะ
มิ ตะ ติ อุ อะ มะ นะ
วิ ตะ ติ พะ สะ กะ สะ
เตโชธาตุ หรือ ธาตุไฟ
ทะ นะ มะ พะ สะ จะ พะ วะ
มิ ตะ ติ พะ จะ สะ กะ
มุ ตะ ติ นะ มะ อะ อุ
จุ ตะ ติ กะ ระ มะ กะ
นอกจากคาถาธาตุตัวเต็มนี้แล้ว สามารถถอดเอาไปใช้เฉพาะเรื่อง
ทำให้ร่างกายให้โตว่า
มะ นะ อุ อะ นะ มะ อะ อุ
ทำให้มีข้าวของเครื่องใช้มากว่า
อะ อุ มะ นะ นะ มะ อุ อุ
ทำให้วิ่งเดินเร็วว่า
อุ อะ มะ นะ นะ มะ อะ อุ
ทำให้หายตัวไม่มีใครเห็น
อะ อุ นะ มะ มะ นะ อะ อุ
ทำให้ฝนตก
นะ มะ อะ อุ มะ นะ อุ อะ
และขั้นสูงสุดคือ วิชาเดินธาตุทั้ง 7 อันประกอบด้วย ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ จิตธาตุ อันเป็นวิชาอันเล้นลับและซับซ้อนซ่อนเงื่อน ซึ่งเมื่อเดินถึงวิชา 7 ธาตุนี้แล้วจึงจะครอบคลุมทั้ง กสิน ฌาณ มโนมยิทธิ อภิญญา 6 และคือครบวิชชา 8 ประการ แถมด้วยพลังลมปราณและพลังจักรวาลอันเป็นเลิศเพื่อเสริมพลังให้กับร่างกายอีก ด้วย
---------------------------------------------
ทำไมต้องพอกกายทิพย์
เพราะตกใจขณะจิตสงบในสมาธิ เรียกว่ากายทิพย์สะเทือน
ภาวะตกใจแล้วลุกขึ้นวิ่งหนีจากที่นั่ง เรียกว่า กายทิพย์สะเทือน ถึงขั้นกายทิพย์แตกกระจาย อาจเสียสติได้
ตกใจในขณะทำสมาธิ.......เกิดเพราะ
เห็นวิญญาณหรือสิ่งน่ากลัว ต้องมีสติคุมอารมณ์ไม่ให้ตกใจกลัว และไม่ลุกขึ้นจากที่นั่งเป็นอันขาด ต้องวางใจให้นิ่ง ๆ ระลึกถึงครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วอุทิศส่วนบุญกุลศลให้ วิญญาณนั้นก็จะหาย
ตกใจเพราะเหตุอื่น ทำให้สะดุ้งตกใจ เช่น เสียงดัง ๆ ให้ค่อย ๆ ลืมตาดูช้า ๆ นั่งปรับจิตใจให้สงบดีขึ้นแล้ว จึงจะลุกจากที่นั่งได ้
วิธีปรับจิตให้สงบ เพื่อรักษากายทิพย์สะเทือน
ในขณะที่นั่งสมาธิอยู่นั้น เมื่อตกใจ หัวใจจะเต้นแรงผิดปกติ อาจจะมีอาการปวดเสียวเป็นระยะ ๆ หน้าซีด มือที่วางซ้อนอยู่ด้วยกัน อาจจะถูกสลัดออกจากกัน ให้วางซ้อนให้เหมือนเดิม หลับตาลง ถอนหายใจลึก ๆ ช้า ๆ ๕ ครั้ง เริ่มต้น ตั้งจิตใจ ส่งไปที่กึ่งกลางระหว่างคิ้ว หายใจเข้าภาวนาว่า "พุท" หายใจออกว่า "โธ" (คำอื่นก็ได้) ทำอยู่ ๑๕ นาที หัวใจที่เต้นแรงผิดปกตินั้นจะกลับเข้าสู่ภาวะเดิมได้ เมื่อหายกลัวแล้วจึงจะออกจากสมาธิได้
วิธีรักษากายทิพย์ที่ถูกสะเทือนถึงขั้นแตกกระจาย
หาครูบาอาจารย์ หรือพี่เลี้ยงใจเย็น ๆ มาช่วยควบคุมให้ผู้นั้นนั่งสมาธิใหม่ ด้วยการมองพระพุทธรูป ให้จำ รูปนั้นแม้หลับตาก็ให้จำภาพนั้นให้ชัดเจน ถ้าภาพหายไปให้ลืมตาดู จนหลับตาก็จำภาพพระพุทธรูปได้ นับว่า เริ่มมีสติรู้สึกตัว ควบคุมตัวเองได้ ต่อด้วยการพอกกายทิพย์ให้สมบูรณ์ ด้วยการส่งความรู้สึกนึกคิดทั้งมวล เพ่งส่งไป ที่พระพุทธรูป เมื่อฝึกทำมาก ๆ ครั้งเข้า ภาพพระพุทธรูปจะค่อย ๆ ชัดขึ้นจนเห็นชัดทุกสัดส่วน เหมือนลืมตา จนพระพุทธรูปนั้นมีความสว่างไสว จนเป็นวงรอบองค์พระเหมือนดวงแก้ว จนมีความปิติสุข เกิดขึ้น แสดงว่า "ท่านหายแล้ว"
การพอกกายทิพย์นี้ เป็นการดึงเก็บรวบรวมเอา มวลสาร ของอะตอมในโมเลกุลซึ่งเป็นส่วนส่วนละเอียดที่สุด ของส่วนประกอบดวงจิต ที่เหมือนดวงแก้วที่แตกกระจากออกไปนั้น มารวมตัวสมานกันอีกครั้ง เมื่อเพ่งมองพระพุทธรูปจนเป็นนิมิต นั้นทำให้จิตรวมเป็นหนึ่งก็จะเกิดอำนาจดึงดูด เหมือนแม่เหล็ก ยิ่งส่งความนึกคิดเข้าไปในองค์พระพุทธรูปมากเท่าใดแล้ว เหมือนเสริมพลังให้กับแม่เหล็ก อำนาจแม่เหล็ก ที่ศูนย์กลาง คือพระพุทธรูป จะยิ่งเพิ่มพลังดึงดูดมากขึ้น จึงเกิดกำลังทวีคูณดึงดูด เก็บรวบรวมชิ้นส่วนอัน ละเอียดของดวงจิต (ดวงแก้ว) ที่แตกซ่านกระจายนั้นรวมตัวเข้าเป็นวงกลม(ดวงแก้ว) ที่สมบูรณ์ ใหม่ ๆ ดวงแก้วจะไม่ค่อยสว่างและไม่ค่อยกลมด้วย สุดท้ายอำนาจดึงดูดสูงขึ้น ๆ เศษส่วนต่าง ๆ ของดวงแก้วก็ จะติดแน่น สมานจนไม่มีรอยตำหนิ
(เรียบเรียงจากหนังสือแนวคำสอนสมเด็จโต สมาธิ ทางสงบ ถอดจิต โดยแสง อรุณกุศล )
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)