จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การนำพระผงกรรมฐานมาใช้ในการภาวนาในการฝึกวิชาเปิดโลก และการปรับภพปรับภูมิ



บทสวดพระมหาจักรพรรดิ


นะโมพุทธายะ พระพุทธะ ไตรรัตนะญาณ

มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา

พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ

พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา

อัคคีทานัง วะรังคันธัง สีวลี จะมหาเถรัง

อะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ธาตุโย

อะหังวันทามิ สัพพะโส

พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ



ขอนำหนึ่งในวิชาที่หลวงปู่ท่านได้เมตตาสอนไว้ให้ลูก ศิษย์ซึ่งท่านได้รับวิชานี้มาจากมาจากเบื้องบนมาแนะนำกันครับ

หลวงตาม้าท่านสำเร็จวิชาเปิดโลกมาจากหลวงปู่ดู่อีกทีหนึ่งและเมตตานำมา สอนอยู่ในปัจจุบัน (ปัจจุบันผู้ที่แตกฉานวิชาหลวงปู่ที่ยังหลงเหลืออยู่ก็คือท่านหลวงตาม้า)

เบื้องต้น เมื่อมีองค์พระแล้ว อาราธนามาไว้ในมือแล้วสวดบทเจริญพระกรรมฐานด้วย บทสรรเสริญพุทธคุณ บท อาราธนาศีล บทบูชาหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ และ บทขอขมาพระรัตนตรัย แล้วต่อด้วยบทพระมหาจักรพรรดิ

จากนั้นจึงทำสมาธิในอิริยาบถที่เราถนัด
กำพระไว้ในมือ น้อมนึกอาราธนา กำลังจากองค์พระมาที่จิตเป็นการเพิ่มกำลังจิตในการภาวนาของเราแล้วน้อม พลังงานพุทธคุณนี้มายังฐานที่เราใช้ในการทำสมาธิด้วย

เช่นหากทำแนวอานาปานสติก็น้อมมาที่ลมหายใจ หรือถ้าเป็นแนวกำหนดสมาธิเฉพาะจุด(ที่เป็นสมถะ)เช่นที่หว่างคิ้ว ก็น้อมมารวมที่นั้น โดยนิมิตใดๆที่จะให้กำหนดต่อไปก็กำหนดไว้ที่ฐานที่เราใช้ในการทำสมาธิของเรา การบริกรรมใช้คำภาวนาพุทธคุณใดก็ได้


พุทโธ หรือ ภาวนาไตรสรณคมน์ไปเรื่อยๆ

แต่แนะนำให้ใช้บทสวดพระจักรพรรดิมาใช้เป็นคำบริกรรมในการทำสมาธิเพราะจะได้ ผลเร็วที่สุด(ควรท่องจำให้ขึ้นใจและในชีวิตประจำวัน นึกได้เมื่อไรไม่ว่าทำ อะไรอยู่ก็บริกรรม สบายๆในจิตของเรา จะเป็นการทรงจิตเราให้เป็นทิพย์และเป็นกำแพงแก้วคุ้มตัวเราด้วย)

การกำหนดนิมิตที่ฐานที่เราใช้ในการทำสมาธิ ให้กำหนดเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง จักรพรรดิ หรือจะเป็นหลวงปู่ทวด หรือ หลวงปู่ดู่ก็ได้

กำหนดนิมิตเบาๆ พร้อมไปกับการ ภาวนาคำบริกรรมเมื่อทำได้คืบหน้าแล้วจะรู้ที่จิตเองโดย พลังงานของครูบาอาจารย์ที่คุมการภาวนาเราอยู่จะสื่อมาที่เรา(เพราะก่อนนั่ง เราอัญเชิญท่านมาแล้ว)และพระท่านจะมาสอนเราในสมาธิได้เมื่อสมาธิเราละเอียด เข้าหรือใจทรงความเป็นทิพย์ได้ดีขึ้นและวางอารมณ์ได้สบายๆ และหากถึงจุดๆ หนึ่งจะทำให้สามารถสัมผัสโลกทิพย์ได้ซึ่งมีประโยชน์ที่จะทำให้เราเข้าใจความ จริงของธรรมชาติได้ สรุป


ย่อๆก็คือเรานำพระมากำก็เพื่อเพิ่มกำลังจิตในการทำสมาธิของเรา


ใช้อธิษฐานทำน้ำมนต์รักษาโรค

พระผงกรรมฐานสูตรหลวงปู่ดู่ จะมีการแช่น้ำมนต์จักรพรรดิ ก่อน ๓ - ๑๕ วัน น้ำมนต์จักรพรรดินี้รักษาโรคและปรับธาตุ ๔ ในร่างกายได้ดีมาก (ประสบการณ์ตรง) เรื่องหวัดนกที่เรากลัวกัน นอกจากจะใช้วิชาของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำในการป้องกัน รักษาแล้ว ก็สามารถใช้น้ำมนต์จักรพรรดิป้องกันและรักษาได้เช่นเดียวกัน (หลวงปู่ดู่ท่านทราบล่วงหน้าเรื่องโรคระบาดต่าง ๆ และได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าเช่นกัน) พระผงกรรมฐานนี้ จึงใช้แช่น้ำมนต์รักษาโรคได้ บางโรคสามารถรักษาให้หายขาดได้ บางโรคที่อาการหนักมากๆ ก็

สามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ลองทำตามวิธีการต่อไปนี้ดู

วิธีการ
๑. ให้นำพระเลี่ยมก็ได้ไม่เลี่ยมก็ได้ไม่ต่างกัน มากำสวดพระคาถามหาจักรพรรดิ ๗ จบ แล้ว อธิษฐานว่า ขออาราธนาเชิญบารมีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ บารมีรวมพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ บารมีรวมพระโพธิสัตว์ทุก พระองค์พระธรรม บารมีรวมพระอริยะสงฆ์ ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยมีบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด ขอหลวงปู่ได้โปรดรวมบารมีทั้งหมดทั้งมวลแผ่มายังน้ำบริสุทธิ์นี้ ให้มีพุทธานุภาพ ธรรมานุ ภาพ สังฆานุภาพ และมหิทธานุภาพ

เพื่อใช้ในการมงคลทั้งปวง เพื่อใช้ในการปรับธาตุทั้ง ๔ และรักษาโรคภัยทุกประเภท ขอบารมีอันหาที่สุดมิได้ของหลวงปู่ จงโปรดให้เป็นไปตามคำอธิษฐานแห่งข้าพเจ้านี้ด้วยเถิด


จึงค่อย ๆ จุ่มพระลงในภาชนะใส่น้ำ (พระสูตรหลวงปู่ดู่สามารถแช่น้ำได้ สำหรับองค์ที่ยังไม่เลี่ยม ยิ่งแช่น้ำพระยิ่งแกร่ง ไม่ต้องกังวลว่าพระจะเปื่อยยุ่ยแตกหัก)


๒. จากนั้นจึงกล่าว คำอัญเชิญพระเข้าตัว


สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา

พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพลัง
อรหันตานัญ จะ เตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส
(ในระหว่างนี้ให้วางจิตเบา ๆ โน้มนำพระบารมีเข้าตัว หรือผู้ที่ได้แล้ว จะเห็นเองว่าจะมีพระบารมีเข้าตัวเป็นแสงสว่างวาบไปหมด ในขณะเดียวกับแสงนั้นก็พุ่งตรงไปยังน้ำทั้งภาชนะ และจะรู้สึกว่าน้ำนั้นจะมีกระแสเย็นชุ่มชื่น ดื่มกินแล้วก็รู้สึกสดชื่น)

พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ(ให้อธิฐานจิตน้อมนำพลังงานแผ่ออกไป)


การนำไปใช้จริง


๑. บ้านใดที่มีถังน้ำใหญ่ หรือโอ่งมังกร แนะนำให้แช่พระไว้ตลอดอย่างนั้น จะได้ไม่ต้องอธิษฐานหลายครั้งครับ ให้กินอาบ ใช้ จนเลือดจนเนื้อ เป็นกำลังพระจักรพรรดิเลยครับ ทำได้อย่างนี้ ผิวพรรณจะเยาว์ลง และยังมีผลเรื่องป้องกันรังสีนิวเคลียร์ด้วย


๒. จะใช้กิน อาบ ล้างอะไรก็แล้วแต่ ได้ทั้งนั้น มีคนเคยถามหลวงปู่ว่าไม่เป็นอะไรหรือ หลวงปู่ก็ว่า " น้ำมนต์ข้าเป็นของดี จะเอาไปทำอะไรก็ดีหมด "


๓. หัวเชื้อน้ำมนต์จักรพรรดินี้ต่อได้เหมือนน้ำมันชาตรีของหลวงพ่อปาน หรือของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ หลวงตาม้า ท่านบอกว่า " แม้เพียงหยดเดียวของน้ำมนต์จักรพรรดิ เมื่อหยดลงในตุ่ม น้ำทั้งตุ่มนั้นก็จะกลายเป็นน้ำมนต์จักรพรรดิหมด " เราก็แช่พระไว้ในภาชนะใดก็ได้ตลอดเวลา แล้วคอยเติมอยู่เสมอไม่ให้แห้ง แล้วก็เอาน้ำมนต์หัวเชื้อนี้คอยเติมภาชนะ

ต่าง ๆ เอา จะเอาไปแจกจ่ายก็ได้ครับ

๔.ไม่ต้องกลัวพระธรรมธาตุหลุดครับ พระธรรมธาตุท่านเกาะที่ผิวพระอยู่แล้ว เพียงแต่อย่าเอาอะไรไปขัดไปถูเป็น ใช้ได้

การบูชาพระบรมสารีริกธาตุ

การบูชาพระบรมสารีริกธาตุจากชมรมโลกทิพย์ครับ เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่นำพระบรมสารีริกธาตุที่ได้รับไปบูชาครับ

1.การจัดที่บูชา
การตั้งพระธาตุและภาชนะที่รองรับ ภาชนะที่รองรับพระธาตุหรือพระบรมสารีริกธาตุจะต้องเป็นผอบไม้จันทร์ โถกระเบื้องเล็กๆ ที่มีฝาครอบก็ได้ หรือจะเป็นเจดีย์ไม้เล็กๆ ก็ได้
ควรรองภายในด้วยสำลี แล้วทับด้วยผ้าขาวอีกทีหนึ่ง แล้วจึงอัญเชิญพระธาตุวางข้างบน
ผอบพระบรมสารีริกธาตุควรไว้สูงกว่าพระบูชา
แตถ้าสถานที่ไม่อำนวยจะวางไว้หน้าพระบูชาก็ได้แต่ควรมีพานเล็กๆ รองรับผอบ

โต๊ะบูชาไม่ควรสั่นหรื่อโยกเวลาเดินผ่าน จะต้องมั่นคงแข็งแรง
เคยอ่าน เขาจะบรรจุดอกพิกุลเงินพิกุลทอง และไม้จันทร์ขีดเล็กๆ ไว้กับพระธาตุ ต้องใช้ไหมเจ็ดสีมณีเจ็ดอย่างจะถูกโฉลก

แต่ที่เรามีไว้ในบ้าน เราจะเอาสำลีวางรองไว้ในผอบ ตัดผ้าแดงวางทับสำลี เอาไหมเจ็ดสีตัดเป็นเส้นเล้กๆ วางบนผ้าแดง แล้วตัดผ้าขาววางทับลงไปอีกแล้วจึงอัญเชิญพระธาตุวางไว้ข้างบน

การที่เอาผ้าแดงวางไว้ใต้ผ้าขาว เพราะเขาถือว่าพระธาตุมีเทพรักษาและสีแดงเป็นสีของเทพ

การถวายน้ำจัน ผมว่าอาจจะพิมพ์ผิด น้ำจัน ความหมายคือ เหล้าหรือสุรา ซึ่งขัดกับศีลข้อ 5 ในที่นี้ผมว่าน่าจะเป็นน้ำมันจันทร์ ซึ่งของแท้จะมีราคาค่อนข้างสูง บางแห่ง ที่คุยกับพระอาจารย์ที่เสด็จมาเรื่อยๆ ท่านใช้น้ำอบปรุงรส เจ้าคุณ นำมีสีเขียว สกัดจากเกสรดอกไม้
อยางไรก็ดีที่กล่าวมาเป็นอามิสบูชา ซึ่งควรต้องปฏิบัติควบคู่กับการสวดมนต์ กรรมฐานด้วย ถ้าพระบรมสารีริกธาตุหรือพระธาตุที่ได้รับมาจริง คุณมีศรัทธา มีบุญบารมี และปฏิบัติบูชาให้มากๆ อธิษฐานจิต ในความคิดผม ผมเชื่อว่าพระธาตุอาจแสดงอะไรบางอย่างให้ทราบว่าเป็นพระธาตุได้ครับ หรือไม่อาจมีพระธาตุเสด็จมาเอง

อีกแหล่งข้อมูลหนึ่งที่แนะนำวิธีบูชา การอัญเชิญ ลองเข้าไปที่
http://www.relicsofbuddha.com ซึ่งผมได้คัดลอกมาครับ

2.วิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ

การจะบูชาพระบรมสารีริกธาตุนั้นก่อนอื่นต้องชำระล้างร่างกาย ทำจิตใจ ให้สะอาดผ่องใส จัดหาดอกมะลิใส่ภาชนะบูชา ตั้งสักการะ ณ ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ แล้วจุดธูปและเทียน ตั้งใจให้เป็นสมาธิ กราบ 3 ครั้ง แล้วจึงตั้งนะโม 3 จบ กล่าวคำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ

คำกล่าวบูชาพระบรมสารีริกธาตุ มีอยู่มากมายทั้งภาษาบาลี และภาษาไทย แต่ที่พบเห็นกันอยู่โดยทั่วไป และกระทำได้โดยง่ายนั้นคือ

คำกล่าวพรรณนาพระบรมสารีริกธาตุ

" อะหัง วันทามิ ทูระโต
อะหัง วันทามิ ธาตุโย
อะหัง วันทามิ สัพพะโส "

*คำกล่าวอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ก็สามารถนำมาใช้กล่าวบูชาได้เช่นกัน*


การบูชาพระธาตุนั้น นอกเหนือจากการบูชาด้วย "อามิสบูชา" เช่น การบูชาด้วยดอกไม้ ธูปเทียน และ เครื่องหอมต่างๆแล้ว การบูชาด้วยการ "ปฏิบัติบูชา" ซึ่งเป็นวิธีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ เป็นอีกวิธีการหนึ่ง ที่นิยมปฏิบัติควบคู่ไปด้วย ในการบูชาซึ่งพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุทั้งหลาย โดยทั่วไปนิยมปฏิบัติตามแนวอริยมรรค 8 ประการ สรุปโดยย่อได้แก่

1. การบูชาด้วยศีล ซึ่งศีลเป็นพื้นฐานและเป็นที่ตั้งมั่นแห่งการทำความดี เป็นเกราะป้องกันความชั่วทั้งปวง ไม่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ทำให้เกิดความพร้อมต่อการปฏิบัติสมาธิ (สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ)

2. การบูชาด้วยสมาธิ ซึ่งการสวดมนต์ภาวนา นั่งสมาธิ ดูลมหายใจเข้า-ออก เป็นการฝึกความเข้มแข็งของจิต ให้มีกำลังในการพิจารณาหลักธรรมต่างๆได้ตามความเป็นจริง (สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ)

3. การบูชาด้วยปัญญา คือการใช้ปัญญาพิจารณาหลักความเป็นจริง ตามหลักไตรลักษณ์ (สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ)

นอกจากนี้ การบูชาพระธาตุยังได้ประโยชน์ ในด้านเป็นอนุสติ 10 อีกด้วย ดังนี้คือ

พุทธานุสติ คือ การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า (พระบรมสารีริกธาตุ)
ธัมมานุสสติ คือ การระลึกถึงคุณของพระธรรม (ธรรมที่ทำให้อัฐิกลายเป็นพระธาตุ)
สังฆานุสสติ คือ การระลึกถึงคุณของพระสงฆ์ (พระสงฆ์สาวกธาตุ)

สีลานุสสติ คือ การระลึกถึงศีลของตน (ผลของศีลที่ทำให้อัฐิกลายเป็นพระธาตุ)
จาคานุสติ คือ การระลึกถึงทานของตน (ผลของทานที่ทำให้อัฐิกลายเป็นพระธาตุ)
เทวตานุสสติ คือ การระลึกถึงคุณที่ทำบุคคลให้เป็นเทวดา (เทวดารักษาพระธาตุ)

มรณานุสสติ คือ การระลึกถึงความตายที่จะมาถึงตน (แม้พระอริยเจ้าก็ต้องตาย)
กายคตาสติ คือ ระลึกทั่วไปในกาย ให้เห็นว่าไม่งาม น่าเกลียด (เมื่อตายแล้วก็เหลือเพียงกระดูก)
อานาปานสติ คือ การระลึกถึงสติกำหนดลมหายใจเข้าออก (ผลของสมาธิที่ทำให้อัฐิกลายเป็นพระธาตุ)
อุปสมานุสสติ คือ การระลึกถึงคุณพระนิพพาน (แดนพระนิพพานที่พระอริยเจ้าได้ก้าวล่วง)

วิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ
สำหรับบ้านที่มีพระบรมสารีริกธาตุไว้บูชาอยู่แล้วคงจะทราบดี เป็นที่น่าแปลกคือ พระบรมสารีริกธาตุนั้น สามารถเพิ่ม หรือลดจำนวนได้เอง โดยสามารถเสด็จไปไหนมาไหนเองก็ได้ แม้ว่าจะเก็บไว้ในภาชนะที่ปิดสนิทดีสักเท่าใดก็ตาม โดยเชื่อกันว่าหากไม่ดูแลรักษาเอาใจใส่ ประดิษฐานไว้ในที่ไม่สมควร หรือขาดการถวายความเคารพแล้ว พระบรมสารีริกธาตุอาจเสด็จหายจากสถานที่นั้นๆก็เป็นได้ โดยทางตรงกันข้าม หากได้รับการปฏิบัติบูชาดี ผู้สักการบูชา มีกาย วาจา ใจ สะอาดบริสุทธิ์ อยู่ในศีลธรรม พระบรมสารีริกธาตุก็อาจเพิ่มจำนวนได้เช่นกัน

3. วิธีอัญเชิญโดยทั่วๆไปมีดังนี้

1. จัดที่บูชาให้สะอาด
2. ตั้งพานมะลิบูชา (ถ้ามี)
3. นำน้ำสะอาดใส่ขันสัมฤทธิ์ตั้งไว้หน้าที่บูชา (ตามวิธีโบราณ)
4. ชำระล้างร่างกายให้สะอาด

5. ทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง มีสมาธิ
6. สมาทานศีล
7. ระลึกถึงพระพุทธคุณ (ตั้งนะโม 3 จบ แล้วสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ อิติปิโสฯ)
8. สวดคาถาอัญเชิญพระธาตุ ดังนี้

" อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ อิเมนา พุทตังโสอิ อิโสตัง พุทธะปิติอิ "

* การเสด็จมาอาจมีด้วยกันหลายวิธี เช่น เสด็จมาเอง มีผู้มอบให้ แบ่งองค์ ฯลฯ


พระธาตุแก้วจักรพรรดิ

พระธาตุพุทธนิมิต แก้วจักรพรรดิ
บทความโดย.. กฤษณะ ไตรลักษณ์


เรียบเรียงโดย น้ำใส


"พระธาตุแก้วจักรพรรดิ์" จัดเป็นพระบรมสารีริกธาตุ ประเภทพุทธนิมิต หรือทางภาคเหนือเรียก พระธาตุเชียงแสน พบมากทางภาคเหนือตอนบน บริเวณแถบชายแดนไทย -พม่า เมื่อ ก่อนที่ผมเคยได้มาจากผู้อื่น ผมเคยมีความลังเลสงสัยว่า ลักษณะคล้ายเม็ดกันความชื้น แต่ความสงสัยได้หายไป เมื่อท่านเสด็จมาที่บ้านของผมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งน้อง ๆ กลุ่มวัชรธาตุได้พบเห็นอยู่เป็นประจำ (มีต่อ...)


จากประสบการณ์ของผมนั้น หากเปรียบเทียบระหว่างพระธาตุแก้วจักรพรรดิ และเม็ดกันความชื้น จะมีความแตกต่างกันหลายประการเช่น....
  1. พระธาตุแก้วจักรพรรดิ สามารถเปลี่ยนสีได้ทันทีทันใด หรือตามกำลังบุญของผู้ดูแลแต่เม็ดกันความชื้นเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา
  2. สีของพระธาตุจักรพรรดิจะเข้มกว่ากับเม็ดกันความชื้น หากนำมาเปรียบเทียบจะมีสีแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
  3. พระธาตุแก้วจักรพรรดิจะมีความเปราะบางกว่าเม็ดกันความชื้น จะแตกง่ายกว่า
  4. พระธาตุจักรพรรดิสามารถโตขึ้นได้ ซึ่งเม็ดกันความชื้น จะมีขนาดเท่าเดิม
  5. ขนาด ของพระธาตุแก้วจักรพรรดิ จะไม่เท่ากัน เล็กสุดขนาดประมาณเม็ดผักชี ถึงใหญ่สุดเท่าเมล็ดถั่วลิสง ส่วนเม็ดกันความชื้นจะมีขนาดเท่ากัน
  6. พระ ธาตุแก้วจักรพรรดิมักพบตามเจดีย์เก่า ๆ ซึ่งมีอายุนับร้อย ๆ ปี ที่ผุพังตามกาลเวลา ส่วนเม็ดกันความชื้นนั้น เป็นสารสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเกิดมาได้ไม่ถึง 50 สิบปี
นอกจากนี้ลักษณะพระธาตุ จักรพรรดิ หรือพระธาตุเชียงแสนที่อัญเชิญมาจะได้จากในถ้ำนั้น จะมีคราบหุ้มคล้ายสนิมขาว ๆ หรือคล้ายเมือกขาวๆ หุ้มอยู่ เมื่ออัญเชิญมาแล้วจะต้องใช้ทินเนอร์หรือน้ำมันจักรล้างออก เป็นเรื่องที่น่าสังเกตว่า พระธาตุแก้วจักรพรรดิ จะเปลี่ยนสีตามคุณธรรมของผู้ดูแล ลักษณะสีจะคล้ายแก้วนาคา หรือเพชรนาคา


เมื่อ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2551 ที่ผ่านมา ผมได้นำพระธาตุแก้วพรรดิที่อัญเชิญมาได้ นำไปให้ครูบาท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นที่นับถือในแถบภาคเหนือ(ขออนุญาตสงวนฉายาของท่าน) ท่านได้กล่าวกับกลุ่มวัชรธาตุว่า พระธาตุที่ได้มาเป็นพระธาตุเชียงแสน เป็นพระธาตุพุทธนิมิต

อีกประการหนึ่ง เคยได้สอบถามกับลูกศิษย์ของครูบาท่านนี้ ท่านมีพระธาตุแก้วจักรพรรดิอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน ทราบว่า เมื่ออดีตคุณลุงของท่าน เคยใช้รถไถนาแถบเชียงแสน คราดของรถไถไปโดนซากเจดีย์ ซึ่งไม่เคยทราบมาก่อนว่า บริเวณนั้นเป็นเจดีย์เก่า ไปโดนผอบเป็นดินเผาโบราณ ภายในบรรจุพระธาตุเชียงแสน หรือพระธาตุแก้วจักรพรรดิอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อร่อนออกมาได้ครึ่งกระสอบ


และมีผู้ใช้เรือดูดทรายจากลำน้ำ โขง ได้ดูดเอาพระธาตุจักรพรรดิปนมากับทรายด้วย สันนิษฐานว่า มีวัดได้จมในลำน้ำโขงอยู่เป็นจำนวนมาก นับร้อย ๆ วัด เท่าที่ทราบพระธาตุแก้วจักรพรรดิบางส่วนก็หลุดมาจากฝั่งพม่า จากถ้ำ และเจดีย์เป็นจำนวนมาก ตามความเห็นส่วนตัวของผม น่าจะเสด็จมารับรองในการตรัสรู้แห่งองค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย หากเทียบเวลาระหว่างโลกมนุษย์ และโลกทิพย์ เป็นระยะเวลาไม่นานนัก

ตามความคิดเห็นส่วนตัวของผมอีก ประการ คนเรามักยึดตำราโบราณมากเกินไป จนเกิดความเข้าใจผิด และเกิดการปรามาสพระรัตนตรัยโดยไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจากไม่มีระบุไว้ในคำราโบราณ อีกประการหนึ่ง น้อยคนที่จะได้พบเห็นพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันต์ธาตุจริงๆ เพราะส่วนใหญ่จะบรรจุที่สูง ยากต่อการได้พบเห็นและได้พบเห็น ซึ่งจะทราบเฉพาะในวงแคบๆ เท่านั้น

แต่ในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีเจริญขึ้น ทำให้คนทั่วไปได้มีการได้พบเห็นพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ ทั้งสัณฐานและวรรณะต่างๆที่ไม่มีระบุไว้ในตำราเป็นจำนวนมาก ทำให้หลายๆ ท่านเกิดลังเลสงสัย ผมว่าเราควรจะเปิดใจกว้างในเรื่องนี้ แต่ไม่ใช่งมงาย โดยยึดหลักเหตุตามคำสอนของพระพุทธศาสนา และ ผมคงขอกล่าวประโยคง่าย ๆ เช่นเดิม คือ
พุทโธ อัปปมาโน ธัมโม อัปปมาโน สังโฆ อัปปมาโน


คัดลอกจาก เวปวัชรธาตุ หัวข้อ พระธาตุพุทธนิมิต “แก้วจักรพรรดิ” ตอนที่ ๑