จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

พุทธคุณ หินพระธาตุเขาสามร้อยยอด

อำนาจของหินพระธาตุ เขาสามร้อยยอดนั้นมีมากมาย แต่หากจะทำการสรุปอานุภาพแห่งหินพระธาตุเขาสามร้อยยอดแล้วสามารถสรุปได้ ๙ ข้อด้วยกัน คือ

1.ดีทางร่มเย็นเป็นสุข บังเกิดความเย็นใจแก่ผู้ที่เป็นเจ้าของหากใครได้สัมผัสหินเสมอๆ จะทำให้สงบในใจแก่ผู้นั้น
2.ช่วยในการเจริญสมาธิภาวนา เรียกว่าเจริญในธรรม

3.เป็นเมตตามหานิยม ทำให้ผู้ที่พบเห็นเราเกิดความรักใคร่อยากช่วยเหลือแต่ไม่เด่นทางเสน่หา หรือเรื่องทางชู้สาว
4.ดีทางคุ้มครอง เป็นแคล้วคลาด คือผู้ที่พกพาหินพระธาตุเขาสามร้อยยอดจะแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุ สามารถรอดตัวโดยไม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เลย และยังดีทางคงกระพัน คือแม้ว่าต้องผจญด้วยเหตุการณ์อันไม่อาจหลบเลี่ยงได้แล้วก็เป็นคงกระพันรอด ตัวมาได้เสมอ

5.ดีทางโชคลาภ หินพระธาตุเขาสามาร้อยยอด เป็นสื่อนำสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต เรียกว่า ในหินพระธาตุนั้น มีกายสิทธิ์ภาคผู้เลี้ยงรักษาอยู่ภายในผู้ที่หมั่นนำเอาหินนี้มาสวดมนต์ ภาวนา นำมาพกติดตัวเสมอๆมักได้โชคได้ลาภไมขาดเลย
6.ดีทางสมบูรณ์ด้วยสุขภาพพลานามัย เนื่องจากหินพระธาตุนี้เป็นสิ่งที่สะสมปราณ ฟ้าดิน พระอาทิตย์ พระจันทร์ ขุนเขา ทะเล มานานนับร้อยนับพันปี จึงทำให้มีพลังชีวิตแห่งจักรวาลอยู่ในตัวอย่างสูงส่ง ผู้ที่พกหินนี้หรือมีหินพระธาตุอยู่ใกล้ๆตัวย่อมเป็นผู้ได้รับกระแสพลังปราณ อันลี้ลับ พลอยทำให้สุขภาพสมบูรณ์ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บมีอายุยืนนาน

7.ดีทางเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานประสบความสำเร็จในชีวิต หินพระธาตุเขาสามร้อยยอด จะมีลักษณะเด่นคือ เมื่อนำหินมาเจียรแล้วจะมีลักษณะคล้ายพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ทรงกลด อันเป็นมงคลลักษณะที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของลายหิน โดยลักษณะดังกล่าว เป็นลักษณะแห่งพลังธรรมชาติที่นำพาความรุ่งเรืองความสำเร็จมาสู่ผู้บูชาดัง นั้นพลังลี้ลับศักดิ์สิทธิ์จากหินเขาสามร้อยยอดจึงเป็นแรงผลักดันอย่างลี้ ลับในการนำพาชีวิตของผู้นั้นไปสู่ความเจริญในหน้าที่การงานและความสำเร็จใน ชีวิต

8.หินพระธาตุเขาสามร้อยยอด เป็นหินแห่งญาณทัศนะ ข้อดีในความหมายนี้คือ ผู้ที่พกพาหินพระธาตุเป็นประจำ จะบังเกิดญาณหยั่งรู้ที่พิเศษกว่าปุถุชน สามารถรู้เหตุดีร้อยล่วงหน้า เนื่องจากกระแสญาณบารมีจากเทพเซียนที่รักษาหินนั้นจะคอยสอดญาณหยั่งรู้หรือ บันดาลเทพสังหรณ์ให้แก่ผู้นั้น นับเป็นคุณวิเศษอันลี้ลับของหินพระธาตุเขาสามร้อยยอด

9.ค้ำคูณดวงชะตาไม่ให้ตกต่ำ คนที่รู้ว่าดวงชะตาตนเองไม่ดีหรือชงกับปีนั้นๆหากได้หินพระธาตุเขาสามร้อย ยอดมาบูชา อำนาจจากอริยะธาตุแห่งหินเขาสามร้อยยอดจะทำการเกื้อหนุนดวงชะตาของท่านไม่ ให้ตกต่ำลงไป ผ่อนหนักเป็นเบาสามารถรอดพ้นจากอำนาจ จากดวงดาวหรือผ่อนปรนภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นกับตัวท่านได้

หินพระธาตุเขาสามร้อยยอด

หิน พระธาตุศักดิ์สิทธิ์นี้
มีแหล่งกำเนิดอยู่ในบริเวณเทือกเขาที่ซับซ้อน ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีลักษณะเป็นเม็ดหินสัณฐานกลมเป็นปริมณฑล มีหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดเท่ากำปั้น ไข่ไก่ จนกระทั่งขนาดเท่า ไข่จิ้งจกและไข่ปลาดุก สีที่พบส่วนมากเป็นสีขาวคล้ายไข่จิ้งจก ส่วนสีอื่นก็มี สีแดงคล้ายดินเผา ออกใสคล้ายสีน้ำผึ้งก็มี หินดังกล่าวจะซ่อนตัวโดยการฝังอยู่ในแท่งหิน แท่งหินเหล่านี้จะทำหน้าที่คล้ายฝักและมีหินพระธาตุเหล่านี้อยู่ภายใน บางคนอาจเรียกหินพระธาตุดังกล่าวอีกชื่อหนึ่งว่า พระธาตุไข่ในหิน

หินพระธาตุเขาสามร้อยยอด เป็นหินศักดิ์สิทธ์ที่นิยมในหมู่ผู้ชอบสะสมของแปลกและพวกเครื่องรางของขลัง มานานกว่า 40 ปีแล้ว มีการขอสัมปทานขุดหินเขาสามร้อยยอดออกมาขาย โดยจำหย่ายในรูปแบบต่างๆ เช่น หินดิบที่มีพระธาตุฝังอยู่ นำมาแกะเป็นพระ เจียร์เป็นเครื่องประดับต่างๆ ก็มาก

มีผู้รู้ทั้งหลายกล่าวกันว่า พระธาตุส่วนมากที่พบในลักษณะของไข่ในหินนั้น เป็นพระธาตุของพระปัจเจกพระพุทธเจ้า และยังอาจมีพระธาตุของพระสาวกรูปอื่นๆรวมอยู่ด้วย ในแผ่นหินหนึ่งแผ่นจึงอาจเป็นที่รวมของพระธาตุหลายชนิด มีอานุภาพครอบจักรวาล เป็นของมหyามงคลสูงสุด ที่ใครได้ไว้นับว่าเป็นโชคลาภมหาศาล

ขุนเขาแหล่งพระธาตุแห่งนี้ มีครูบาอาจารย์ทั้งหลายจาก ทุกภาคของประเทศ นิยมมาอัญเชิญพระธาตุไปประดิษฐาน ณ บ้านเมืองตน ที่เขาสามร้อยยอดนี้ยังเต็มไปด้วยพระธาตุสาวกหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น พระองคุลีมาล พระอัญญาโกณฑัญญะ พระโมคคัลลา พระสารีบุตร และพระสีวลี

ทั้งนี้ยังปรากฏผงพระธาตุสีต่างๆ อีกด้วย หรือมี่เรียกกันว่า ผงพระเจ้า เท่าที่ทราบผงพระธาตุที่พบมีสีขาวบริสุทธิ์คล้ายแป้ง ภายในจะเป็นเกล็ดแก้วสวยงามมาก นอกจากนี้ยังมีสีคล้ายน้ำตาลปี๊บ ผงแต่ละสีจะอยู่แยกกันตามธรรมชาติในถ้ำไม่ปะปนกัน เหมือนมีผู้นำมาแยกเอาไว้

ที่ มาของหินพระธาตุเขาสามร้อยยอดและเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป จากคำบอกเล่าของลุงไล้ ชาวจังหวัดประจวบฯ เล่าให้ฟังว่า หินพระธาตุนี้ เริ่มเป็นที่รู้จักเพราะเก้ง ธรรมดา ตัวเดียว มีนายพรานพบเห็นเก้ง ในเขตเขาสามร้อยยอดนี่แหละ จึงทำการขึ้นนกสับไกปืนขึ้นเล็งเตรียมที่จะยิง เมื่อได้จังหวะดีก็เหนี่ยวไกออกไป เสียงแชะ ปรากฏว่าลูกกระสุนปืนด้าน ยิงไม่ออก เก้งรู้ตัวจึงวิ่งหนีไป นายพรานตามมาทันได้จังหวะ ก็ลองยิงซ้ำอีกครั้ง เสียงดังแชะ อีกเช่นเคย ลองยิงเป็นครั้งที่ สาม และสี่ก็เป็นเหมือนเดิม จึงลองหันปากกระบอกปืนไปยังทิศทางอื่น ปรากฏว่าปืนสามารถยิงได้เป็นปกติตามเดิม นายพรานนึกแปลกใจ จึงค่อยๆตามอีเก้งตัวนั้น พบว่าเก้งตัวนั้น เลียน้ำจากโขดหินอันหนึ่งที่มีลักษณะแปลกตา โขดหินที่ว่า มีลักษณะคล้ายไข่ไก่ ไข่เป็ด ขนาดเขื่อง ฝังตัวอยู่ภายในก้อนหินทั้งแท่ง

ตั้งแต่นั้นมาเรื่องราวของหินพระธาตุเขาสามร้อยยอดก็เริ่มแพร่สะพัด ระยะแรกเป็นที่รู้กันในเฉพาะกลุ่มพรานป่า ที่นิยมมาแงะเอาหินเขาสามร้อยยอดพกติดตัวป้องกันภัย โดยพลังอำนาจที่ร่ำลือกันมากที่สุดคือ อำนาจทางด้านมหาอุด คงกระพันนั่นเอง

ประวัติและการสร้างสมเด็จองค์ปฐม


สมเด็จองค์ปฐม ท่านเป็น พระพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก ทรงพระนาม สมเด็จพระพุทธสิกขี เนื่องจากพระพุทธ เจ้า ได้ตรัสรู้แล้วมากมายนับได้แสนองค์ ฉะนั้นพระนามของพระองค์จึงซ้ำกัน โดยเฉพาะพระนามสมเด็จพระพุทธสิกขี มีด้วยกัน 5 พระองค์ จึงได้ขนานนามของสมเด็จองค์ปฐมว่า สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ 1 จึงนับได้ว่า พระพุทธองค์ ทรงเป็น สมเด็จองค์ปฐมบรมครู อย่างแท้จริง
สมัยที่พระพุทธองค์ ได้ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ซึ่งขณะนั้น คนมีอายุขัยประมาณ 8 หมื่นปี พระพุทธองค์ทรงผนวชออกมหาภิเนษกรมณ์ เมื่อพระชนมายุได้ 4 หมื่นปี หลังจากผนวชได้ 2 หมื่นปี จึงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก พระพุทธองค์ทรงโปรดเวไนยสัตว์ ประมาณ 2 หมื่นปี จึงได้เสด็จดับขันธปรินิพาน
พระพุทธองค์ ทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง 40 อสงไขยกัปเศษ ในการบำเพ็ญพระบารมี เพื่อแสวงหาพระโพธิญาณ ด้วยพระองค์เองทรงใช้เวลาอันยาวนานในการบำเพ็ญพระบารมี เนื่องจากพระพุทธองค์เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรก จึงไม่มีแบบอย่างที่จะให้พระพุทธองค์ ได้ศึกษาเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อบรรลุ พระโพธิญาณ ระยะเวลาที่บำเพ็ญพระบารมี จึงใช้ ถึง 40 อสงไขยกัปเศษ
การพบสมเด็จองค์ปฐม
ครั้งแรกของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เมื่อประมาณ พ.ศ. 2511 คืนหนึ่ง พระเดชพระคุณหลวงพ่อกำลังสอนพระกรรมฐาน และเมื่อเสร็จจากการแนะนำ ก็ได้ทำสมาธิ ก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อน ปรากฏขึ้น คือเห็นพระพุทธเจ้าในปางพระนิพพานทรงยืน สองแถวยาวเหยียดไปข้างหน้าแล้ว ก็พนมมือ พระเดชพระคุณหลวง พ่อมีความรู้สึกในใจว่า บางทีอาจจะเป็น อุปาทาน เพราะว่า พระพุทธเจ้า ไม่เคยก้มศรีษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือน เล็กๆ หลังคา ตํ่าๆ หาก พระพุทธองค์เสด็จเข้าไป หลังคาก็จะสูงขึ้นเอง แต่เวลานี้เห็น พระพุทธเจ้ายืนพนมมือ เมื่อนึกเพียงนี้ ก็เห็นภาพหลวงปู่ปาน ปรากฏขึ้นข้างหน้า หลวงปู่ปานท่านบอกว่า " คุณ..ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา "
อีกประมาณ 5 นาที ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าอีกองค์ รูปร่างท่านใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูป ของปางพระนิพพาน เดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ก้มศรีษะ แสดงความเคารพ พอพระองค์ เดินไปถึง พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ทรงตรัสว่า
" ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า... ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าก็เอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน "
พระพุทธองค์ ก็เลยนั่งบนหัว ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ แล้วทรงตรัสกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า
" นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนพระกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมก็ดี บอกฉันก่อน ฉันจะให้พูดตอนไหน จะให้เทศน์ตอนไหนให้ว่าตามนั้น "
เป็นอันว่าเมื่อใดก็ตาม ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเทศน์ก็ดี สอนพระกรรมฐานก็ดี สอนธรรมก็ดี พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ไม่เคยได้พูดตามใจคิดเลย เป็นเพราะพระพุทธองค์ ท่านดลใจ ให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูด และแนะนำธรรม ซึ่งบางครั้ง อาจจะไม่เป็นที่ถูกใจของทุกคน เพราะพระพุทธองค์ ท่านอาจจี้จุด เฉพาะคนใดคนหนึ่ง แต่บางคน อาจจะไม่ถูกใจก็ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็คิดว่า เมื่อพระพุทธองค์ท่านมีบุญคุณอย่างนี้ จึงคิดที่จะหล่อรูปของท่าน
ต่อมาเมื่อ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้เจริญพระกรรมฐานแล้ว จึงได้อาราธนาสมเด็จองค์ปฐม ขอพบพระพุทธองค์ท่าน ก็ปรากฏให้เห็น ทรวดทรงสวยงามมาก หน้าของท่านอิ่ม เหมือนรูปไข่ แก้มอิ่ม ทรงยิ้มน้อยๆ ริมฝีปาก ไม่บุ๋ม ไม่เหมือน พระพุทธเจ้าที่เขาปั้นกัน จะพบว่าช่างเขาปั้นแก้มตรงปากจะบุ๋มลงไป แล้วสมเด็จองค์ปฐม ก็แสดงรูปร่าง สมัยเป็นมนุษย์ และก็เปลี่ยนมาเป็น ปางพระนิพพาน
พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็ถามว่า ถ้าจะปั้นรูปของพระองค์ จะให้ปั้นแบบไหน จะให้ ปั้นปางพระนิพพานหรือมนุษย์ พระพุทธองค์บอกว่า ให้ปั้นแบบนี้ก็แล้วกัน พระพุทธองค์ทรงแสดงภาพให้ดู เป็นเหมือนกับ พระพุทธรูป และมีเรือนแก้ว แบบพระพุทธชินราช รูปที่ทรงให้ปั้น ไม่เหมือนกับ รูปจริงของท่าน แต่พระองค์ท่านต้องการ ให้ปั้น แบบที่ท่านต้องการ พระพุทธองค์ได้มาแสดงภาพ ให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อดูถึง 3 วัน ติดๆ กัน วันละประมาณ 1 ชั่วโมง พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็ได้ดูอย่างละเอียด แต่ก็คิดในใจว่า ช่างเขาปั้น แต่เขาไม่เห็นภาพ เขาจะปั้นได้ไม่เหมือน จึงได้ขอบารมีพระองค์ท่าน เวลาช่างปั้น ขอได้โปรดดลใจ ให้เป็นไปตามพระพุทธประสงค์ พระองค์ท่านก็ยอมรับ
คัดย่อจากหนังสือ มรดกของพ่อ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทราราม ( วัดท่าซุง ) จ.อุทัยธานี