จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

รวมจิตทำอย่างไร และการใช้พลังจิตใช้อย่างไร

ได้ไปอ่าน บทความที่มีประโยชน์แก่ผู้ต้องการความรู้ด้านนี้ เลยขออนุญาตนำมาฝากกันที่นี้เลย สิ่งที่นำมาฝากคือ 

วิธีรวมจิตและการใช้พลังจิต
ก่อนอื่นต้องเข้าใจการทำงานของจิตกับกายก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุปทาน คิดปรุงแต่งไปเอง โดยจะเปรียบเทียบระบบกายและจิตดั่งนี้ ยกตัวอย่าง อย่างการเห็นของกายมีขีดจำกัดคือ เห็นข้างหน้า ได้ แต่จิต เห็นได้รอบทิศ 360 องศา เป็นต้น ลักษณะระบบกาย คือ การเห็นของกายใช้ตาเห็น การได้ยินคือใช้หูฟัง และประสาทรับสัมผัส ส่วนการพูดก็ต้องใช้ปากพูด เป็นต้น

ส่วนระบบจิตเห็น คือรู้สึก จิตได้ยินก็ คือรู้สึก และการสื่อสารของจิต คือ รู้วาระจิต ดั่งที่หลวงพ่อเคยกล่าวว่า โลกแห่งวิญญาณไม่มีการโกหก คือ โลกแห่งจิต จะรู้วาระจิตกัน ไม่สามารถโกหกได้ คิดอะไรรู้หมดเป็นต้น ... อย่างการฝึกมโนมยิทธิ ที่หลวงพ่อกล่าวว่า ให้รู้สึกคล้ายตาเห็น เอาความรู้สึกแรก เป็นคำตอบ ... นั้นก็หมายถึง เอาจิตรู้สึก ไม่ได้เอาสมองมาคิดวิเคราะห์ รู้สึกแรกคือการใช้จิต พอรู้สึกที่สองคือ เอา สัญญา ความรู้ต่างๆ มาประมวลความน่าจะเป็น นั้นคือ การใช้กาย ... และในการฝึกมโนมยิทธิที่บอกว่าให้ตัดการก่อน แล้วจะใช้มโนได้ คือ ให้เข้าถึง
ระบบจิต โดยไม่ยุ่งกับระบบกายกันอุปทานและสัญญามากั้นความจริงนั่นเอง ... ทีนี้เมื่อเข้าใจว่าการใช้ระบบจิตและกายแตกต่างกันอย่างไร สามารถแยกได้แล้ว ทีนี้เรามาทำความเข้าใจขอบเขตของการใช้กาย และจิตกัน


ระบบจิตและระบบกาย
กายเข้าใจ โดยการประมวลผลตาม ตาดู หู ฟัีง และสมองคิด และเอากายกระทำ ส่วนจิตนั้น รู้สึก และเข้าใจโดยไม่ต้องบรรยาย อะไรให้ละเอียดเหมือนกายเลย เช่น จิตรู้สึกเหมือนมีอะไรมายืนข้างหลัง นั่นคือการเห็นของจิต ส่วนกายต้องเหลียวหลังดูใช้ตาดู ใช้หูฟัง และใช้สมองประมวลผลออกมาเป็นคำตอบ ถึงรายละเอียดในสิ่งที่อยู่ด้านหลัง ... แต่จิตจะรู้ไวกว่ากาย ประมวลผลได้ไวมาก เพราะเอาตัวรู้ไปเข้าใจนั้นเอง โดยไม่ต้องสาธยายให้ละเอียดรู้คำเดียวคือจบ
กายคือรูป ของหยาบ การที่จะเอากายไปหาคนอื่น ก็ต้องเดินไปนั่งรถไป ต้องใช้เวลา แต่เอาจิตไป ไม่มีคำว่าเวลา แค่ระลึกก็ถึงทันที เพราะจิตอยู่เหนือเวลา มีความไวมากกว่าแสง พูดง่ายคือ จิต เป็น นาม มีความละเอียด คำว่านามจึงไม่มีขอบเขต ... ที่หลวงพ่อท่านกล่าวว่า แค่นึกก็ถึง หมายถึงเอาจิตนึก ไม่ใช่ใช้สมองจิตนาการภาพออกมา ... เช่น เอาจิตไปที่วัดท่าซุง จิตก็ไปทันที รู้สึกบรรยายว่าวัดท่าซุงเป็นยังไง แค่เอ่ยถึงวิหารแก้วร้อยเมตร ภาพออกมาทุกมองมองเลยทีเดียว แต่ถ้าเอากายไปวัดท่าซุง กายยังอยู่ภายใต้ระยะเวลา ยังถูกควบคุมให้เป็นไปตามกาลเวลาทุกอย่าง ต้องกระทำ ต้องผ่านระบบของกาย เช่น การที่จะเดินไปไหน สมองประสาท ในร่างกายต้องประมวลผลหมด เช่นไปถึงวัดท่าซุงจะเข้าวิการร้อยเมตร ก็ต้องเดินเข้าไป นั่นคือใช้ระบบกาย ...

การรวมจิต
เมื่อเข้าใจและแยกแยะระบบกายและจิตได้แล้ว ทีนี้เรามาดูวิธีการทำยังไงจะใช้จิตได้เต็มที่ นั้นคือ คือการหาวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งให้จิตรวมเป็นหนึ่ง ณ ที่นี้จะยกตัวอย่างการรวบจิตโดยการเพ่งจิตใว้ตรงกลางหน้าผากหรือจุดระหว่าง คิ้วนั้นเอง ... การเพ่ง ไม่ใช่การใช้กายเพ่ง คือไปเน้น นั่นไม่ใช่การเพ่ง ... แต่การเพ่งโดยการใช้จิตคือ เอาความรู้สึกไปจดจ่ออยู่ตรงส่วนกึ่งกลางหน้าผากนั่นเอง ... จะใช้คาถาช่วยให้จิต รวมได้ไวก็ได้ คาถาที่ใช้คือ คาถารวมจิต "อิติสัมมา สัมพุทธัสสะ มะมะจิตตัง" เวลาท่องให้จับความรู้สึกไว้ตรงระหว่างคิ้ว แล้วท่องพร้อมกับการผ่อนคลายร่างกายคือ การรู้ลมหายใจเข้าออกไปด้วย สลับกันได้ แบบนี้จะได้ผลไวมาก ... ทีนี้จะรู้ได้อย่างไรสังเกต จะเกิดอาการตึงๆ ตรงหลางหน้าผาก และจะมีอาการหน่วงๆ เหมือนมีอะไรมาแปะตรงกลางหน้าผากเรา พอเกิดอาการแบบนี้อย่าตื่นเต้นเด็ดขาด


ทำหน้าที่ของเราไปอย่าสนใจอาการที่เกิดแล้วจะเดินหน้าไปเรื่อย หน้าที่ของเราคือ ภาวนาคาถาหรือ รู้สึกตรงกลางหว่างคิ้วพร้อมสลับกับ ลมหายใจเข้าออก เบาๆ คือ อย่าบังคับลม ควรปล่อยให้เป็นธรรมชาติ ... ทีนี้เมื่อจิตเราเป็นหนึ่งจะรู้สึกว่ามีก้อนอะไรกลมๆ เหมือนก้อน อากาศมาลอย อยู่กลางหน้าผากเรา และสังเกตว่ารู้สึกสบายๆ กายจะเบา จิตจะเบาๆ ยิ่งรู้สึกยิ่งรวม นั้นหละ จิตเริ่มรวม ตรงจุดกลางหน้าผากแล้ว ... ทีนี้จับอาการแบบนั้นรู้สึกแบบนั้นให้นานที่สุด ตอนแรกจะดูมันขัดๆ แต่ทำไปทำมามันจะปกติและนิ่งอัตโนมัติเอง และสติจะรู้ไวขึ้นกว่าเดิม ...


แนวทางการใช้พลังจิต
ทีนี้ในทางวิทยาศาสตร์บอกว่าจิตคือพลังงานรูปหนึ่งที่มีความไวกว่า แสง ถ้าจิตเป็นพลังงาน การขอบารมีพระ ก็เหมือนการเชื่อมพลังจิต แค่นึกถึงพระพลังงานแห่งพุทธคุณก็จะเชื่อมกับจิตเรานั่นเอง ... และเมื่อเราสามารถรวมจิตให้เป็นก้อนแบบนั้นและทำให้ทรงอยู่ได้นานๆแล้วล่ะก็ เวลามีพลังงานใด เช่น วิญญาน หรือ เทวดา เป็นต้น มาอยู่ใกล้เรา ตรงกลางหน้าผากจะมีปฏิกิริยา คือเหมือนมีแม่เหล็กมาดูด จะรู้สึกหน่วง มากน้อยขึ้นอยู่กับพลังงาน ที่ส่งเข้ามาเหมือนกัน ... และการส่งจิตไปหาคนอื่น หรือส่งคลื่นพลังจิตไปหาคนอื่น จะเหมือนการโยนเชือกไปหาคนๆ นั้น พอเขารับเชือกจากที่มันหย่อนๆก็ตึง และมีการดึงตอบ เหมือนกัน เราจะรู้สึกตึงๆ กลางหน้าผากเรา เมื่อเขาเพ่งตอบก็เหมือนการดึงเชือกไปมา จากนั้นก็ใช้จิตรู้สึก ถ้าอยากสื่อสาร โดยการรู้วาระจิต หรือรู้สึกให้เห็นภาพคล้ายตาเห็น ซึ่งที่เรียกกันว่า มโนมยิทธิ นั้นเอง ... ส่วนถ้าจะใช้สื่อสารกับ พลังจากวัตถุมงคลก็เหมือนกัน รวมจิตให้เป็นก้อนแล้วเพ่ง ไปที่วัตถุมงคลนั้นๆ เมื่อวัตถุมงคลแผ่พลังมาจะรู้สึก หน่วงและตึงๆ ตรงหลางหน้าผาก ถ้ากลัวคิดไปเองทดสอบโดยการเอาวัตถุมงคลมาใกล้หน้าผาก และเอาห่างออก และสังเกตอาการหน่วงที่เกิดว่า เอาใกล้จะหน่วงหนักมากกว่า เอา ออกห่างหรือไม่ ทีนี้ เรียกว่าเปลี่ยนนามให้เป็นรูป โดยการเอาพลังงานมาสัมผัสกับร่างกายเอาใช้จิตเป็นตัวดึง แล้วจะเกิดอาการกับร่างกาย แบบนี้สัมผัสได้ เหมือนเราไม่เห็นลมว่าเป็นยังไง แต่รู้ว่าเป็นลมเพราะมากระทบกับใบไม้เป็นต้น ... พอเกิดอาการแบบนั้นเราสามารถใช้คาถากำกับ วัตถุมงคลนั้นได้ เช่น คาถาเงินล้านก็ได้ ถ้าช่วงนั้น เรากุศลกรรมเข้า คือ พลังงานด้านบวก เมื่อเรารับพลังงานจากวัตถุมงคล แล้ววัตถุมงคล เป็นพลังงานด้านพุทธคุณ ก็เป็นบวกเช่นกัน บวกกับบวกมารวมกันก็ส่งเสริมเป็นกำลัง ทำให้เกิดโชคลาภ และสิ่งที่ดี นั้นคือ ผลจากพลังงาน ด้านบวกมารวมกัน ตรงกันข้ามถ้าจิตเราเศร้าหมองจิตเปิดรับพลังงานด้านลบเข้ามา อกุศลกรรมก็เข้ามา เหตุแห่งทุกข์ก็ย่อมเกิด ต่างๆ นานาๆ นั้นคือ  ผลของพลังงานทาด้านลบ ... ทีนี้ถ้าจะประยุกต์ถอดกายทิพย์ก็สามารถทำได้รวมจิตให้เป็นก้อน แล้วย้ายความรู้สึกไปอยู่ที่ก้อน พลังงานนั้น กำหนดให้เป็นกายทิพย์ขึ้นมา แล้วใช้จิตบังคับกายนั้น เป็นต้น ... และถ้าจะใช้รักษากายก็สามารถทำได้คือ รวมจิตเป็นก้อน แล้วรู้สึกตรง ส่วนไหน ที่เจ็บปวดในร่างกายเราแล้วกำหนด ธาตุลม มาทำให้เย็นตรงกลางท้องแล้วกระจายออกไป เป็นการใช้ลมปราณรักษานั้นเอง ... หรือจะถ่ายทอด ให้คนอื่น โดยกำหนดให้เย็นที่เรา แล้วเพ่งนึกไปหาคนที่เราจะรักษาก็ได้ ... นี่คือ ตัวอย่างการใช้จิตที่รวมแล้ว


แนวการเสริมพลังจิต
อันนี้เราสามารถเสริมพลังจิตโดยใช้พลังจากวัตถมงคลหรือแร่ธาตุที่มีพลังใน ตัว เช่้น รังของเหล็กใหลได้ หรือพวก ธนสิทธิ์ต่างๆ เช่นไผ่ตัน คริสตัล เห็นหินแร่ต่างๆ ที่ มีการสะสมพลังจากธรรมชาติไว้ วิธีการคือเวลานั่งสมาธิก็เอาจิตเพ่งไปที่วัตถุนั้น ให้มีการหน่วงหนักจากวัตถุนั้นจากนั้น กำหนดเอาพลังงานมาเก็บไว้กลางท้อง หรือกลางหน้าผากก็ได้ แล้วส่งออกไปก็ได้ พวกนี้ยิ่งเรากระตุ้นให้เกิดการใช้พลังงาน ยิ่งสร้างพลังงานใหม่ เกิด การแตกตัวเลยก็มี และพระธาตุก็เหมือนกัน สามารถดึงพลังมาใช้ได้เช่นกัน โดยการกำหนดจิตให้รวมเป็นก้อน ก่อนการใช้จิตทุกครั้ง ...


อันนี้ก็เป็นวิธีการรวมจิตและการใช้จิต แบบคร่าวๆที่จริงต้องนำมาปฏิบัติแล้วได้ความรู้จากการปฏิบัติ อาจจะมากกว่านอกเหนือที่ผมได้บรรยายก็ได้

อ่านจบแล้วลองนำไปทำดู  ขอขอบคุณ ที่มา  dannipparn.com

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

แนะนำ บ้านแก้วจักรพรดิ

บ้านแก้วจักรพรรดิ 
บ้านแก้วจักรพรรดิ ให้ประโยชน์อะไรบ้าง ?
บ้านแก้วจักรพรรดิ ให้อะไรคุณบ้าง ?


 เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้พัฒนาไปไกลมาก  ผู้คนบนโลกใบนี้จึงต้องทำงานหนัก  หามรุ่งหามค่ำ  เพื่อหารายได้มาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว  บ้างก็ประสบความสำเร็จ  บ้างก็ไม่สำเร็จ  ความเครียดจึงมาเยือน  โดยเฉพาะกับผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ   เมื่อสะสมความเครียดนานวันเข้า  ประกอบกับอาหารที่ทานเข้าไปในร่างกายมีส่วนประกอบไปด้วย  สารเคมีต่าง ๆ ในการปรุงแต่งรสชาติของอาหารให้อร่อย  สารเร่งการเจริญเติบโตของสัตว์ เช่น หมู ไก่ เป็ด พืชผัก ผลไม้ น้ำอัดลม  และยังรวมถึง  สารเคมีที่ทำให้เนื้อสัตว์เน่าเสียช้าลง เช่น  สารฟอมารีน  สารฟอกขาว  เป็นต้น

จากสาเหตุข้างต้นทั้งหมด  ทำให้เซลล์ในร่างกายมีความผิดปกติ   เลือดมีความข้นเหนียว  หรือมีความเป็นกรดสูงมากขึ้น  ขาดความสมดุลในร่างกาย   ดังนั้นจึงไปตรงกับพุทธภาษิตที่ว่า  " ความไม่มีโรค  เป็นลาภอันประเสริฐ "  เห็นได้ว่า  ถ้าใครที่ไม่เจ็บ  ไม่ป่วย  นับว่ามีความโชคดีเป็นอย่างมาก  แต่ว่าจะมีสักกี่คน  ที่จะโชคดี   อ่านต่อ