จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553

เพชรน้ำพี้ หรือไหลน้ำพี้ ธาตุกายสิทธิ์




ของดีมากเงินทองไหลมาเทมาเหมือนชื่อไหลน้ำพี้


เพชรน้ำพี้ธาตุกายสิทธิ์
ไหล น้ำพี้ (เพชรน้ำพี้) “ไหลน้ำพี้” คือวัตถุอาถรรพ์ ซึ่งสถิตอยู่ภายในถ้ำบนภูเขาสูงในป่าลึก ซึ่งจะผสมปะปนอยู่ในเนื้อแร่สีดำสนิท หรือสีขาวขุ่น และเชื่อกันว่า

“ไหลน้ำพี้” สามารถลบล้างอาถรรพ์ อันเกิดจากคุณไสย์ มนต์ดำ ลมเพลมพัด และมีอำนาจป้องกันภูตผีปีศาจ จิตวิญญาณ ผีร้ายหรือเดรัจฉานวิชาได้

อีกทั้งมีคุณวิเศษด้าน แคล้วคลาด คงกระชันชาตรี เป็นเยี่ยม


การอัญเชิญก้อนแร่ไหลน้ำพี้

ใน การที่จะอัญเชิญ ก้อนแร่ไหลน้ำพี้ลงมาจากถ้ำได้นั้น จะต้องทำการบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเจ้าป่าเขา ที่สถิตอยู่บนถ้ำนั้นด้วยทุกครั้งไป มิฉะนั้นจะไม่สามารถนำก้อนแร่ไหลน้ำพี้ลงมาได้ หากมีผู้พยายามขึ้นไปนำก้อนไหลน้ำพี้ ลงมาทำการหลอมไหลเอง ระหว่างที่ทำการหลอมไหลก็จะบังเกิดอาเพศ สะเก็ดไหลแตกกระจายใส่ผู้ที่หลอม จนเป็นแผลปวดแสบปวดร้อนทรมาน หรือมิฉะนั้นแล้วไหลก็จะแตกร้าว ไม่อาจเป็นรูปเป็นร่างได้เลย

การหลอมก้อนแร่ไหลน้ำพี้
การ ที่จะหลอมไหลน้ำพี้ได้นั้น จะต้องหลอมละลายด้วยความร้อนสูง จนกระทั่งหยดลงและแข็งตัวเป็นก้อนกลม มีลักษณะคล้ายแก้ว

“ไหลน้ำพี้” จะมีสีสันต่างกันอาทิ สีขาว สีเขียว สีเขียวเข้ม จนกระทั่งสีดำสนิท
ในการที่จะสามารถแยกไหลออกมา จากเนื้อแร่ได้นั้น จะต้องมีการบูชาครูบาอาจารย์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน จึงจะสามารถหลอมไหลได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่อาจได้ไหลที่สมบูรณ์ได้เลย จะต้องมีอันต้องแตกหักหรือร้าวทุกครั้งไป

เนื่องจาก “ไหลน้ำพี้” เป็นวัตถุอาถรรพ์ที่หาได้ยากยิ่ง จึงไม่มีไว้ขายทั่วไปเนื่องจากเป็นของหายาก และมีแห่งเดียวในโลก ซึ่งปัจจุบันมีเพียงช่างตีเหล็กน้ำพี้ท้องถิ่น ที่สืบทอดแต่โบราณเพียงน้อยราย ที่สามารถกระทำพิธีหลอมไหลได้

ประสบการณ์จากนักรบ
มี ทหารที่ไปประจำการที่ภาคใต้มากมาย ที่ได้รับไหลนี้ไปปกป้องคุ้มครองภัย ต่างก็แคล้วคลาดปลอดภัย จากศาสตราวุธต่างๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์

แต่น่าเสียดายที่บางนายไม่รู้ค่า มองว่าเป็นของปลอมที่ทำขึ้น เป็นแก้วหรือพลาสติก จนกระทั่งใช้ค้อนทุบ จนแตกละเอียด ไม่นานนักระหว่างที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ ทหารนายดังกล่าวก็เหยียบถูกกับระเบิด ร่างแหลกละเอียดเสียชีวิตไปในที่สุด ร่างกายมีสภาพ ไม่ต่างจากไหลที่ถูกเขาทุบจนละเอียดเลยทีเดียว

สำหรับ ผู้ที่มีความศรัทธา และบูชาไปไม่ว่าจะเป็นร้านค้า หรือทำกิจการร้านอาหาร
เมื่อนำไหลไปบูชาแล้วต่างก็พบว่า ลูกค้าไหลมาเทมามากขึ้นผิดหูผิดตาทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นแทบจะไม่มีลูกค้าเข้าร้านด้วยซ้ำไป

ยังมีเรื่องอีกมากมายหลายเรื่อง ที่ไม่สามารถนำมาลงให้ได้หมด สำหรับผู้ที่บูชาไปขอเพียงมีจิตศรัทธาอำนาจของ “ไหลน้ำพี้” เพราะหาไม่แล้ว จะเป็นการน่าเสียดายต่อผู้ครอบครอง เพราะท้ายที่สุดแล้ว “ไหลน้ำพี้” จะศักดิ์สิทธ์หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับจิตใจ ของผู้ที่ครอบครองมากที่สุดนั่นเอง

ไม่ ต้องสวดบูชาด้วยพระคาถาบทใด เนื่องจากไหลน้ำพี้มีความศักดิ์ในตัวอยู่แล้ว
*** เพียงตั้งจิตอธิฐานภาวนาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเหลือในด้านต่างๆ ให้บังเกิดความสำเร็จตามประสงค์

ตระกูลธาตุ หินไหลดำ (จากกระดานสนทนา วัดบางพระ)
จากการค้นคว้า ตำราคำภีร์โบราณธาตุวัตถุ
แร่ธาตุต่างๆ วัตถุหินไหลดำประเภทนี้ สกัดออกจากวัตถุธรรมชาติ เมื่อถูกไฟจี้จะไหลออกมา มีความงามวาววับ โดยไม่ต้องขัดหรือเจียระไน ( แบบเพชรหรือพลอย ) สุกไสดำสนิทกว่าหัวแหวนใด ๆ ที่มีความดำ แข็งแกร่งมาก ไม่กรอบหรือแตกง่าย

ตระกูลธาตุหินไหลดำ ที่ถูกไฟลนหรือจี้ไหลนี้ มีคุณค่ามหาศาลยิ่งนักหาได้ยากที่สุด
โบราณถือกันว่า ทุกอย่างของธาตุแร่ต่างๆ ที่ถูกความร้อนไหลได้ ย่อมมีอำนาจและความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก

ส่วนหินที่ไหลได้นี้ ไม่ใช่ หินธรรมดา หรือแร่เหล็กต่างๆ บางชนิด เช่นเหล็กหลบ เหล็กหลีก เหล็กหล่อ เหล็กเลี่ยง เหล็กไหล เหล็กประกายดาด เหล็กประกายเพลิง หรือเหล็กน้ำพี้ แต่เป็นที่รวมมาแห่งตระกูลธาตุทั้งหลาย มีน้ำเพชร พลอย นิล หินธาตุ และตระกูลเหล็กต่างๆหลายอย่าง


รวมกันทั้งหมดมีถึง ๙ สกุล
ซึ่งเรียกว่า นะวะธาตุวัตถุ

ตามตำราท่านกล่าวไว้ดังนี้

ถ้าบุคคลใดได้ไว้ครอบครองเป็นสมบัติ ท่านจัดได้ว่าเป็นมงคลอันสูงสุด และจะมีความเจริญด้วยโภคสมบัติ มีความรู้สึกชุ่มเย็นใจ

ตระกูลธาตุหินไหลดำนี้ มีอานุภาพยิ่งนัก สามารถป้องกันอันตรายต่างๆ ได้หลายอย่าง และกระทั้งโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย ภูติผีปีศาทก็คุ้มกันได้ หรือใช้ในทางเมตตามหานิยม และการติดต่อธุระค้าขายสิ่งของต่างๆ ได้ผลดียิ่งนัก นอกจากนั้นยังใช้จุ่มน้ำมะนาว สุราปิดแผล พิษแมลงสัตว์กัดต่อยทุกจำพวก จะถอนพิษให้หายเจ็บปวดเร็วที่สุด ฯลฯ

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

วิชาพระรัตนตรัยโอสถ

วิชาพระรัตนตรัยโอสถให้ท่านๆได้นำไปฝึกกันนะครับ นำมาจากวิชาของสมเด็จพระสังฆราช สุก(ไก่เถื่อน)


วิชารักษาโรคในกายด้วยอำนาจแห่งพระรัตนตรัยโอสถ เป็นโลกุตรโอสถหรือโอสถทิพย์
น้อมจิตบูชาพระรัตนตรัยแล้วบริกรรมตามลำดับ
หายใจเข้าลึกๆ / อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา ทรงความศักดิสิทธิ์สุงสุดเร้นลับยิ่งใหญ่
หายใจออกยาวๆ / เป็นโอสถทิพย์อำนาจวิเศษศักดิ์สิทธิ์ สถิต บำรุง รักษา อุปถัมภ์ค้ำชูชีวิตข้า ให้หายโรคสิ้นโรค แข็งแรง อายุยืน เรืองทรัพย์เกษมสุข
ให้บริกรรมกลับไปกลับมาหลายๆครั้งจนจิตสงบ แน่วแน่ เย็นสบาย เกิดปิติแล้วเปลี่ยน
-----------------
หายใจเข้าลึกๆ /สะวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม ทรงความศักดิสิทธิ์สุงสุดเร้นลับยิ่งใหญ่
หายใจออกยาวๆ / เป็นโอสถทิพย์อำนาจวิเศษศักดิ์สิทธิ์ สถิต บำรุง รักษา อุปถัมภ์ค้ำชูชีวิตข้า ให้หายโรคสิ้นโรค แข็งแรง อายุยืน เรืองทรัพย์เกษมสุข
ให้บริกรรมกลับไปกลับมาหลายๆครั้งจนจิตสงบ แน่วแน่ เย็นสบาย เกิดปิติแล้วเปลี่ยน
-----------------
หายใจเข้าลึกๆ /สุปะฏิปันโน ภะคะวะโตสาวะกะสังโฆ ทรงความศักดิสิทธิ์สุงสุดเร้นลับยิ่งใหญ่
หายใจออกยาวๆ / เป็นโอสถทิพย์อำนาจวิเศษศักดิ์สิทธิ์ สถิต บำรุง รักษา อุปถัมภ์ค้ำชูชีวิตข้า ให้หายโรคสิ้นโรค แข็งแรง อายุยืน เรืองทรัพย์เกษมสุข
ให้บริกรรมกลับไปกลับมาหลายๆครั้งจนจิตสงบ แน่วแน่ เย็นสบาย เกิดปิติแล้วเปลี่ยน
-----------------
หายใจเข้าลึกๆ /มาตาปิโร พรัหมโมเทโว พระสะยามะเทวาธิราโช โกมาระภัจโจ นะโมพุทธายะ ทรงความศักดิสิทธิ์สุงสุดเร้นลับยิ่งใหญ่
หายใจออกยาวๆ / เป็นโอสถทิพย์อำนาจวิเศษศักดิ์สิทธิ์ สถิต บำรุง รักษา อุปถัมภ์ค้ำชูชีวิตข้า ให้หายโรคสิ้นโรค แข็งแรง อายุยืน เรืองทรัพย์เกษมสุข
ให้บริกรรมกลับไปกลับมาหลายๆครั้งจนจิตสงบ แน่วแน่ เย็นสบาย เกิดปิติแล้วเปลี่ยน
-----------------
หากมีสตินึกขึ้นได้ให้บริกรรมกลับไปกลับมาไปเรื่อยๆตลอดวัน (เว้นเวลาที่ต้องใช้สมองสติและจิตไปทำงานที่เป็นภารกิจ) ยิ่งดี อารมณ์เครียดจากเรื่องต่างๆซึ่งเป็น
ต้นเหตุของโรคหลายอย่าง ก็จะไม่เกิด ยังช่วยให้โรคหลายอย่างในกายค่อยๆหายไปได้ ร่างกายก็จะพลอยมีสุขภาพดี ชีวิตก็จะอยู่เย็นเป็นสุขไปอีกนาน
หนึ่งในวิชาของสมเด็จพระสังฆราช สุก(ไก่เถื่อน)
--------------------------------
วิธีการสร้างบุญบารมี ที่สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ )ทรงพระนิพนธ์ไว้ ( เวอร์ชั่นพ่อมดโลจิสรุปใจความสำคัญ...ซึ่งเวอร์ชั่นเดิมนั้นมีเนื้อหาสาระ ที่ละเอียดกว่านี้...ซึ่งผมจะได้เขียนเพิ่มเติมทีหลังอีกทีครับ )
สร้างอักขรธรรมหนึ่งอักษร เท่ากับสร้างพระพุทธรูปหนึ่งองค์( ศาสนวงศ์ ฉบับพระปัญญาสามี 2405 )

โอวาทสมเด็จพระพุทธาจารย์ ( โต พรหมรังสี )
ลูกเอ๋ย ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือบารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอ จึงขอยืมมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่เที่ยวไปขอยืมมาจนล้นตัว เมื่อทำบุญได้บารมีมา ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมดไม่มีอะไรเหลือติดตัว แล้วเจ้าจะเอาอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้แล้วฟ้าดินจะช่วยเจ้าเอง จงจำไว้นะเมื่อยังไม่ถึงเวลา เทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้ ครั้นถึงเวลา ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่ จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างเลย จะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า

วิธีการสร้างบุญบารมี ที่สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ )ทรงพระนิพนธ์ไว้
บุญ คือ เครื่องชำระสันดาน ความดี กุศล ความสุข ความประพฤติชอบทางกาย วาจาและใจ กุศลธรรม

บารมี คือ คุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายอันสูงยิ่ง

วิธีสร้างบุญบารมีในพระพุทธศาสนามีอยู่ 3 ขั้นตอน คือการให้ทาน การถือศีล และการเจริญภาวนา ซึ่งการให้ทานหรือการทำทานนั้นเป็นการสร้างบุญที่ได้บุญน้อยที่สุดไม่ว่าจะ ทำมามากอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะได้บุญไปมากกว่าการถือศีลไปได้ การถือศีลแม้จะมากอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะได้บุญมากเกินไปกว่าการเจริญภาวนา ไปได้ ฉะนั้นการเจริญภาวนาจึงเป็นการสร้างบุญบารมีที่สูงที่สุดได้มากที่สุด แต่ไม่ใช่ว่าจะละทิ้งการให้ทานกับการรักษาศีลแล้วมานั่งเจริญภาวนาอย่าง เดียวนั้นก็มิได้ จึงต้องกระทำไปพร้อมทาน ศีล ภาวนา

องค์ประกอบ 3 ข้อของการให้ทาน
1.วัตถุทานที่ให้ต้องบริสุทธิ์ คือ ต้องเป็นของที่ตนแสวงหามาได้ด้วยการประกอบอาชีพสุจริตไม่ใช่ได้มาเพราะการ เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน เช่น ได้มาโดยทุจริต ลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ ฉ้อโกงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ เป็นต้น

2. เจตนาในการให้ทานต้องบริสุทธิ์ คือ เจตนาในการให้ทานถ้าจะบริสุทธิ์จริงจะต้องสมบูรณ์พร้อมกัน 3 ระยะคือ
- ระยะก่อนที่จะให้ทาน ก่อนที่จะให้ทานก็มีจิตโสมนัสร่าเริง เบิกนดีที่จะให้ทาน เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุขเพราะทรัพย์สิ่งของของตน
- ระยะที่กำลังลงมือให้ทาน ระยะที่กำลังลงมือทำทานอยู่นั้นเองก็ทำด้วยจิตโสมนัส ร่าเริง ยินดีและเบิกบานในทานที่ตนกำลังให้ผู้อื่น
- ระยะหลังจากที่ได้ให้ทานไปแล้ว ครั้นเมื่อได้ให้ทานไปแล้วเสร็จ หลังจากนั้นก็ดี นานมาก็ดี เมื่อหวนคิดถึงทานที่ตนได้กระทำไปแล้วครั้งใด ก็มีจิต
โสมนัสร่าเริง เบิกบานยินดีในทานนั้นๆ

3.เนื้อนาบุญต้องบริสุทธิ์
คำว่าเนื้อนานบุญ ในที่นี้ได้แก่ บุคคลผู้รับการทำทานของผู้ทำทานนั่นเอง เนื้อนาบุญที่ประเสริฐคือผู้ที่บวชเพื่อมุ่งหนีสงสารวัฏ โดยมุ่งจะทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า แม้วัตถุทานจะบริสุทธิ์ดี เจตนาในการทำทานจะบริสุทธิ์ดี จะทำทานนั้นมีผลมากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับเนื้อนาบุญเป็นลำดับต่อไป การทำทานแก่สัตว์เดรัจฉาน การทำทานแก่มนุษย์ผู้ไร้ศีล การทำทานแก่ผู้ที่มีศีลห้า การทำทานแก่ผู้ที่มีศีลแปด การถวายทานแก่สามเณรผู้มีศีลสิบ การถวายทานแก่พระสมติสงฆ์ การถวายทานแก่พระโสดาบัน การถวายทานแก่พระสกิทาคามี การถวายทานแก่พระอนาคามี การถวายทานแก่พระอรหันต์ การถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า การถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การถวายทานที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน การถวายวิหารทาน การให้ธรรมทานและการให้อภัยทาน

การให้อภัยทานคือาการไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร ไม่คิดร้ายผู้อื่นแม้แต่ศัตรู ซึ่งเป็นทานที่ให้บุญกุศลสูงมากที่สุดในฝ่ายทาน เพราะเป็นการบำเพ็ญเพียรเพื่อ ละโทสะกิเลส และเป็นการเจริญเมตตาพรหมวิหารธรรม อันเป็นพรหมวิหารข้อหนึ่งในพรหมวิหาร 4..ผู้ทรงพรหมวิหาร 4 ได้ย่อมเป็นผู้ทรงฌาณ แต่ถึงแม้การให้อภัยทานจะชนะการให้ทั้งปวง ผลบุญนั้นก็ยังน้อยกว่า ฝ่ายศีล เพราะเป็นการบำเพ็ญบารมีคนละขั้นกัน

การรักษาศีล
ศีล นั้นแปลว่า ปกติ คือสิ่งหรือกติกาที่บุคคลจะต้องระวังรักษาตามเพศและฐานะ ศีลนั้นมีหลายระดับ ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227และในบรรดาศีลชนิดเดียวกันยังแบ่งออกเป็นหลายระดับ ระดับธรรมดา ระดับกลาง ระดับสูง

การรักษาศีลเป็นความเพียรพยายามเพื่อระงับโทษทางกายและวาจา อันเป็นเพียงกิเลสหยาบมิให้กำเริบขึ้น และเป็นการบำเพ็ญบุญบารมีที่สูงขึ้นกว่าการให้ทาน ทั้งในการถือศีลเองก็ยังได้บุญมากน้อยต่างกันไปตามลำดับดังนี้ การถือศีล 5 การถือศีล 8 การบวชเป็นสามเณรรักษาศีล 10 การอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา มีปาฏิโมกขสังวร 227 ข้อ

ในฝ่ายศีลแล้ว การได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ได้บุญบารมีมากที่สุด เพราะเป็นเนกขัมมบารมีในบารมี 10 ทัศ ซึ่งเป็นการออกจากกามเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติธรรมขั้นสูงๆ คือ การภาวนาเพื่อมรรค ผล นิพพานต่อๆไป แต่ศีลนี้แม้จะมาอานิสงส์มากเพียงไร ก็ยังเป็นแต่การบำเพ็ญบุญบารมีในขั้นกลางเท่านั้น เพราะเป็นเพียงระเบียบหรือกติกาที่จะรักษากายวาจาให้สงบ ไม่ให้ก่อให้เกิดทุกข์โทษขึ้นทางกายและวาจาเท่านั้น ส่วนทางจิตนั้นศีลยังไม่สามารถที่จะควบคุมหรือทำให้สะอาดบริสุทธิ์ได้
ดังนั้นการรักษาศีลจึงยังได้บุญน้อยกว่าการภาวนา เพราะการภาวนาเป็นการรักษาใจ รักษาจิต และซักฟอกจิตให้เบาบางลงหรือจนหมดกิเลส คือ ความโลภ โกรธ หลง อันเป็นเครื่องร้อยรัดให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน สังสารวัฏ การภาวนาจึงเป็นการบำเพ็ญบารมีที่สูงที่สุด ประเสริฐที่สุด ได้บุญมากที่สุด เป็นกรรมอันยิ่งใหญ่ เรียกว่า มหัคคตกรรม อันเป็นมหัคคตกุศล

การภาวนา
การเจริญภาวนานั้น เป็นการสร้างบุญบารมีที่สูงที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนา จัดว่าเป็นแก่นแท้และสูงกว่าฝ่ายศีลมากนัก การเจริญภาวนานั้นมี 2 อย่างคือ สมถภาวนา (การทำสมาธิ )วิปัสนาภาวนา (การเจริญปัญญา )

สมถภาวนา
สมถภาวนา ได้แก่การทำจิตให้เป็นสมาธิหรือเป็นฌาณ คือการทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่านแส่ส่ายไปอารมณ์อื่นๆ วิธีภาวนานั้นมีมากมายหลายร้อยชนิด ซึ่งพระพุทธองค์ทรงบัญญัติแบบอย่างเอาไว้ 40 ประการเรียกกันว่า กรรมฐาน40ซึ่งผู้ใดจะเลือกใช้วิธีใดก็ได้ตามแต่สมัครใจ ทั้งนี้ย่อมสุดแล้วแต่อุปนิสัยและวาสนาบารมีที่ได้เคยสร้างสมอบรมมาแต่ อดีตชาติเมื่อสร้างสมอบรมมาในกรรมฐานกองใด จิตก็มักจะน้อมชอบกรรมฐานกองนั้นมากกว่ากองอื่นๆและการเจริญภาวนาก็จะก้าว หน้าเร็วและง่ายยิ่งขึ้น แต่ไม่ว่าจะเลือกปฏิบัติวิธีใดก็ตามจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาศีลครบ ถ้วนบริบูรณ์ตามเพศของตนเสียก่อนจึงจะทำจิตให้เป็นฌาณได้ หากศีลยังไม่มั่นคงย่อมเจริญฌาณให้เกิดขึ้นได้โดยยาก เพราะศีลย่อมเป็นกำลังให้เกิดสมาธิขึ้น

การทำสมาธิเป็นการสร้างบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ ลงทุนน้อยที่สุดเพราะไม่ได้เสียเงินเสียทอง ไม่ได้เหนื่อยยากแบกหามแต่อย่างใด เพียงแต่คอยระวังสติ คุ้มครองจิตมิให้แส่ส่ายไปสู่อารมณ์อื่นๆโดยให้ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว เท่านั้น อย่างไรก็ดีการเจริญสมถภาวนาหรือสมาธินั้นแม้จะได้อานิสงส์มากมายมหาศาล อย่างไร ก็ยังมิใช่บุญกุศลที่สูงสุดยอดในพระพุทธศาสนา แต่เป็นการเจริญวิปัสสนาหรือการเจริญปัญญา จึงจะเป็นการสร้างบุญกุศลที่สูงสุดยอดในพระพุทธศาสนาซึ่งถือเป็นแก่นแท้

วิปัสสนาภาวนา
วิปัสสนาภาวนา คือการที่จิตคิดใคร่ครวญหาเหตุและผลในสภาวธรรมทั้งหลาย และสิ่งที่เป็นอารมณ์ของวิปัสสนานั้นมีเพียงอย่างเดียวคือ ขันธ์ 5 ซึ่งนิยมเรียกว่า รูป-นาม โดยรูปมี 1 ส่วน และนามมี 4ส่วนคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเพียง อุปทานขันธ์เพราะแท้ที่จริงแล้วเป็นแต่เพียงสังขารธรรมที่เกิดขึ้นเนื่องจาก การปรุงแต่ง แต่เพราะอวิชาหรือความไม่รู้เท่าสภาวธรรมจึงเกิดการยึดมั่นด้วยอำนาจอุปทาน ว่าเป็นตัวตนและของตน การเจริญวิปัสสนาก็เพื่อให้จิตพิจารณาจนรู้แจ้งเห็นจริงว่า สภาวธรรมทั้งหลายล้วนแต่มีอาการเป็นไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขังอนัตตา

อนิจจัง (ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปแล้วเกิดของใหม่ขึ้นมาแทนที่อยู่ตลอดเวลา) ทุกขัง (สภาพที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ เมื่อเป็นเด็กแล้วจะเป็นเด็กเช่นนั้นต่อไปก็หาไม่ ก็ต้องเป็นหนุ่มสาวและเป็นคนแก่เฒ่าไปและตายลงในที่สุด)อนัตตา(ความไม่ใช่ ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่สิ่งของ เป็นเพียงแค่ธาตุทั้ง 4 มาประชุมกันเพียงชั่วคราว เมื่อนานไปก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปแล้วแตกสลายกลับคืนสู่สภาพเดิม ส่วนที่เป็นดินก็กลับสู่ดิน ส่วนที่เป็นน้ำก็กลับสู่น้ำ ส่วนที่เป็นลมก็กลับสู่ลม ส่วนที่เป็นไฟก็กลับสู่ไฟ ไม่มีอะไรให้เรายึดเป็นที่พึ่งอันถาวรได้ )

ทั้งสมาธิและวิปัสสนาเป็นเหตุผลของกันและกันและอุปการะซึ่งกันและกัน จะมีวิปัสสนาปัญญาเกิดขึ้นโดยขาดกำลังสมาธิสนับสนุนมิได้เลย การเจริญวิปัสสนาจึงจำเป็นที่จะต้องพยายามทำสมาธิให้ได้เสียก่อน แต่ตราบใดที่ยังไปไม่ถึงฝั่งนิพพานก็ต้องเก็บเล็กผสมน้อย โดยทำทุกๆทางเพื่อความไม่ประมาท โดยทำทั้ง ทาน ศีล ภาวนา สุดแต่โอกาสจะอำนวยให้ จะถือว่าการเจริญวิปัสสนานั้นลงทุนน้อยที่สุดแต่ได้กำไรมากที่สุด ก็เลยทำวิปัสสนาอย่างเดียว โดยไม่ยอมลงทุนทำบุญให้ทานใดๆไว้เลย เมือ่เกิดมาชาติหน้าเพราะเหตุที่ยังไปไม่ถึงนิพพาน ก็เลยมีแต่ปัญญาอย่างเดียวไม่มีจะกินจะใช้ ก็จะเจริญวิปัสสนาให้ถึงฝั่งนิพพานไปไม่ได้เหมือนกัน

การเจริญสมถะและวิปัสนาอย่างง่ายๆในชีวิตประจำวัน นั่ง ยืน เดิน นอน ทำบ่อยๆทำให้มากๆจนจิตเป็นอารมณ์แนบแน่น คือ คิดใคร่ครวญถึงความเป็นจริง 4 ประการ
1.มีจิตใคร่ครวญถึง มรณัสสติกรรมฐาน คือการใคร่ครวญความตายเป็นอารมณ์ ความตายเป็นธรรมอันยิ่งใหญ่ที่ไม่มีสิ่งใดเอาชนะได้ ให้นึกถึงความตายอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มีการเจริญเติบโต มีการแก่เฒ่าและตายไปในที่สุด ผู้ที่คิดถึงความตายนั้น เป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต เพราะเมื่อนึกถึงความตายแล้วก็จะเร่งกระทำความดีและบุญกุศล

2.มีจิตใคร่ครวญถึงอสุภกรรมฐาน หรือสิ่งไม่สวยงามเช่น ซากศพ คือ มีจิตพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงว่า ร่างกายของคนและสัตว์อันเป็นที่นิยมรักใคร่เสน่หา ปละเป็นบ่อเกิดของตัณหาราคะ กามกิเลส ว่าเป็นของสวยงามเป็นที่เจริญตาและใจ แท้ที่จริงแล้ว เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นทุกขัง คือ ทนอยู่ในสภาพเช่นนั้นไมได้ วันเวลาย่อมพรากความสวยสดงดงามให้ค่อยๆจากไปจนเข้าสู่วัยชราผิวหนังเหี่ยว ย่นไปตามกาลเวลาและในที่สุดก็ตาย น้ำเหลืองขึ้น ขึ้นอืด มีกลิ่นเหม็นเป็นที่น่ารังเกียจของหมู่ชนทั้งหลายและในที่สุดก็สูญสลายกลาย เป็นปุ๋ย สังขารของเราก็เป็นเช่นนี้ไม่มีอะไรเป็นของเราเลย

3..มีจิตใคร่ครวญถึงกายคตานุสติกรรมฐาน เป็นกรรมฐานที่มีอานิสงส์มากเพราะสามารถทำให้ละ สักกายทิฐิ อันเป็นสังโยชน์ข้อต้นได้โดยง่ายและเป็นกรรมฐานที่พิจารณาร่างกายให้เห็นตาม สภาพความเป็นจริง มักจะพิจารณาร่วมกับอสุภกรรมฐานและมรณัสสติกรรมฐาน ซึ่งพระอริยะเจ้าทุกๆพระองค์ที่จะบรรลุพระอรหัตผลได้ จะต้องผ่านการพิจารณากรรมฐานทั้งสามกองนี้เสมอ เพราะบรรดาสรรพกิเลสทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นความโลภ โกรธ หลง ต่างๆก็เกิดขึ้นที่กายนี้เพราะการยึดมั่นด้วยอำนาจอุปทานว่าเป็นตัวตนและของ ตน การพิจารณาก็คือ พิจารราใคร่ครวญให้เห็นตามสภาพความเป็นจริงที่ว่า อันร่างกายของคนและสัตว์ที่น่ารักใคร่สวยงามนั้น แท้ที่จริงก็เป็นของปฏิกูล สกปรกโสโครก ไม่สวย ไม่งาม ไม่น่ารักใคร่ทะนุถนอม เป็นแหล่งรวมของสกปรกต่างๆ มีสารพัดขี้ ขี้หู ขี้ตา ขี้มูก ขี้ไคล ขี้ฟัน สิ่งเหล่านี้เมื่อขับถ่ายออกมาจากร่างกายแล้วไม่มีใครอยากเป็นเจ้าของ

แม้แต่สังขารร่างกายของคนเราเมื่อได้แยกแยะพิจารณาไปแล้ว ก็เห็นความเป็นจริงที่ว่าเป็นที่ประชุมรวมกันของอวัยวะชิ้นต่างๆที่เป็นหู ตา จมูก ปาก ลิ้น เนื้อ ปอด ตับ ม้าม หัวใจ กระเพาะอาหาร ลำใส้ หนัง พังผืด เส้นเอ็น เส้นเลือด น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำลาย น้ำตา น้ำปัสวะ ฯลฯ เรียกว่าอาการ 32 เมื่อแยกหรือควักออกมาดูทีละชิ้น จะไม่มีชิ้นใดที่เรียกกันว่าสวยงาม น่ารักน่าพิสวาสเลย กลับเป็นของที่น่ารังเกียจ ไม่สวยงาม ไม่น่าดู เพียงแต่สิ่งเหล่านี้ถูกปกปิดห่อหุ้มด้วยหนังถ้าหากไม่มีหนังหุ้มแล้วก็ไม่ เห็นว่าจะสวยงามตรงไหนดูๆไปก็อกสั่นขวัญแขวนถึงขั้นจับไข้ไปเลยก็มี

เมื่อได้รู้แจ้งเห็นจริงดังกล่าวมากๆเข้า ก็จะมีอำนาจในการทำลายกิเลสและเกิดการเบื่อหน่ายในร่างกายของตนเองและผู้ อื่น จึงเป็นการง่ายที่ นิพพิทาญาณ จะเกิดขึ้นและเมื่อได้เกิดขึ้นแล้ว จนมีญาณทัสสนะเห็นแจ้งอาการพระไตรลักษณ์ ซึ่งจะนำไปสู่อารมณ์อันวางเฉยไม่ยินดียินร้ายในร่างกาย คลายกำหนัดในรูปนามขันธ์เรียกว่าจิตปล่อยวาง ซึ่งจะนำไปสู่การละสักกายะทิฐิ

4.มีจิตใครครวญถึงธาตุกรรมฐาน คือ นอกจากจะมีจิตใคร่ครวญถึงความเป็นจริงของร่างกายดังกล่าวมาแล้ว จึงควรพิจารณาแยกให้เห็นถึงความเป็นจริงว่า อันร่างกายของเราก็ดีของผู้อื่นก็ดี เป็นเพียงแค่ ธาตุ 4 อันประกอบด้วย ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ มาประชุมรวมกัน และสิ่งเหล่านี้ก็ทนอยู่ในสภาพที่รวมกันเช่นนั้นไม่ได้ นานไปก็เก่าแก่แล้วแตกสลายตายไป ธาตุดินก็กลับสู่ความเป็นดิน ธาตุน้ำก็กลับสู่ความเป็นน้ำ ธาตุลมก็กลับสู่ความเป็นลม ธาตุไฟก็กลับสู่ความเป็นไฟตามเดิม แร่ธาตุต่างๆนั้นก็เนื่องมาจากพลังงานโปรตรอนและอิเล็กตรอนเท่านั้น หาใช่ตัวตนของเราไม่เมื่อตายไปแล้วก็ยังเอาติดตัวไปด้วยไม่ได้ ดังนั้นการสร้างสมบุญบารมีที่เป็นอริยะทรัพย์อันประเสริฐ ซึ่งจะติดตามตัวไปได้ในภพหน้าชาติหน้าย่อมจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

ในหิน 1 ก้อนจะมีแร่ไหลน้ำพี้อยุ่ในนั้น

เออแล้วไหลน้ำพี้นี้งอกขึ้นมาเองแบบเหล็กไหลป่าวครับ


.ไหลน้ำพี้ไม่ได้งอกเหมือนเหล็กไลครับ...แต่ในหิน 1 ก้อนจะมีแร่ไหลน้ำพี้อยุ่ในนั้น และพอหลอมออกมา แร่ไหลน้ำพี้สีต่างๆเขาจะรวมตัวกันเอง สีดำก็รวมกับสีดำ สีขาวก็รวมกับสีขาว สีเขียวก็รวมกับสีเขียว ครับผม..และเมื่อรวมตัวกันแล้วก็จะหยดลงมาเป็นแต่ละชิ้นอย่างที่เห็นๆกัน ครับผม...เราไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะให้เขาออกมาเป็นสีไหนได้ครับ.


ขอถามอีกนิดค่ะ(ไม่รบกวนไปใช่ไหมคะ) หากได้รับมาแล้ว ถ้าต้องการนำมาติดตัวไว้ จะสามารถนำไปใช้ทำเป็นเครื่องประดับได้ไหม หรือ สามารถนำไปเลี่ยมพกติดตัวไว้ได้ แร้วสามารถพกใส่กระเป๋ากางเกงได้ไหมค่ะ หรือห้อยติดกับพวงกุญแจมอไซด์ได้รึป่าวค่ะ ห่วงว่า จะห้ามวางในที่ต่ำหรือเปล่า เพราะเวลาขี่มอไซด์ ช่องกุญแจมอไซด์จะอยู่แถวๆหัวเข่าเรา ตอนที่นั่งขี่มอไซด์น่ะค่ะ รบกวนตอบให้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่า

.ไหลน้ำพี้สามารถนำไปทำเครื่องประดับได้ครับ...เลี่ยมพกติดตัวก้ดีครับ ...เพราะไหลน้ำพี้แข็งแต่เปราะจึงอาจจะแตกได้ง่ายๆถ้ามีอะไรป้องกันไว้ก็ดี ครับ...และเนื่องจากเป็นแร่กายสิทธิ์การใส่กระเป๋าเสื้อจึงเหมาะสมกว่า กระเป๋ากางเกงครับผม...เอาไว้ที่สูงกว่าเอวจะดีที่สุดครับผม

สามารถนำมาทำเครื่องประดับหรือจี้ห้อยคอได้ครับ...ป้องกันคุณไสย์และอาถรรพ์ต่างๆได้ดีทีเดียวครับผม...

ที่มา http://www.utdid.com

วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553

ถามเรื่องวิชาเดินธาตุ

ถามเรื่องวิชาเดินธาตุครับ

1.ต้องท่องคาถาละกี่จบครับ
2.ใช้เวลาฝึกครั้งละกี่นาทีครับ

3.คาถาอากาศธาตุ วิญญาณธาตุ จิตธาตุ คาถามีว่าอย่างไรครับ

4.ที่ว่าครอบคลุมทั้ง กสิน ฌาณ มโนมยิทธิ อภิญญา 6 และคือครบ
วิชชา 8 ประการ แถมด้วยพลังลมปราณและพลังจักรวาลอันเป็นเลิศ
หมายความว่าเราไม่ต้องไปแยกฝึกวิชาต่างๆ ที่ว่าแล้วใช่ไหมครับ
เราฝึกวิชานี้เราได้ครบหมดเลยหรือครับ

5.แล้วไหลน้ำพี้ที่จะให้มา เอามาร่วมฝึกยังไงครับ เช่นกำไว้ในมือซ้าย

หรือมือขวา แล้วท่องบริกรรมคาถาไปด้วยอย่างนี้หรือเปล่าครับ

ตอบคำถามนะครับ
1.ถ้าฝึกใหม่ๆก็แล้วแต่เราจะฝึกได้กี่จบครับเพราะค่อนข้างใช้เวลานานพอสมควรในการฝึก แต่ถ้าชำาญดีแล้ว 108 จบ ก็ดีครับ
2.ของผมไม่เคยนับนาทีครับ...ฝึกได้นานแค่ไหนก็แค่นั้นครับ..เป้นการฝึกความ อดทนของเราได้ด้วยครับ...และวิชานี้ฝึกได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ และทุกขณะจิต ครับ...

3.คาถาอากาศธาตุ วิญญาณธาตุ จิตธาตุ เป็นวิชาธาตุกรรมฐานขั้นสูงที่ต่อเนื่อมาจากธาตุหลักทั้ง 4 ครับ...มีส่วนปลีกย่อยมากมายครับ...ซึ่งต้องศึกษาในเรื่องของ กรรมฐานอีกหลายกองครับ ถึงจะไปฝึกวิชาทั้ง 7 ธาตุ...ประมารว่ายิ่งฝึกวิชานี้ยิ่งต้องปลงกับชีวิตปล่อยวางกับชีวิตมากขึ้น เรื่อยๆครับ...

4.ที่ว่าครอบคลุมทั้ง กสิน ฌาณ มโนมยิทธิ อภิญญา 6 และคือครบวิชชา 8 ประการ แถมด้วยพลังลมปราณและพลังจักรวาลอันเป็นเลิศ หมายความว่าเราไม่ต้องไปแยกฝึกวิชาต่างๆ ที่ว่าแล้วใช่ไหมครับ เราฝึกวิชานี้เราได้ครบหมดเลยหรือครับ / ตอบว่า วิชานี้เป็นวิชาต้นแบบของวิชาทั้งหมดครับ...แต่การฝึกวิชาอื่นๆควบคู่ไปด้วย ก็ไม่ทำให้เสียหายแต่อย่างใดครับ....ฝึกได้ตามความถนัดและความชอบของแต่ละ ท่านครับ

5.แล้วไหลน้ำพี้ที่จะให้มา เอามาร่วมฝึกยังไงครับ เช่นกำไว้ในมือซ้าย หรือมือขวา แล้วท่องบริกรรมคาถาไปด้วยอย่างนี้หรือเปล่าครับ / ตอบว่า ท่านเข้าใจได้ถูกต้องครับ...มือซ้ายสื่อตรงถึงหัวใจครับ เป้นการส่งพลังของเราไปสู่ธาตุกายสิทธิ์และเป้นการสะท้อนพลังจากธาตุ กายสิทธิ์กลับมาหาเรา...แต่...การฝึกวิชานั้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับธาตุ กายสิทธิ์ครับ...

เพราะ ท่านสามารถฝึกได้โดยที่ไม่ใช้ธาตุกายสิทธิ์ใดอะไรช่วยก็ได้ครับ...เพราะวิชา นี้ ก็ฝึกได้แบบฝึกสมาธิโดยทั่วไปครับผม...คือจะนั่งสมาธิแต่ภาวนาวิชาเดินธาตุ ไปก็ได้ หรือจะนั่งพนมมือแล้วภาวนาวิชาเดินธาตุไปก็ได้เช่นกันครับ...หรือจะนั่งในรถ ทัวร์แล้วหลับตาภาวนาวิชาเดินธาตุไปด้วยก็ดีครับ

...แต่ที่ใช้กับธาตุ กายสิทธิ์นั้นเพื่อทำากรปลุกพลังให้กับธาตุกายสิทธิ์ครับ...ขณะที่เราภาวนา และสวดมนต์ พลังจิตย่อมเกิดขึ้นมาให้เราและธาตุกายสิทธิ์ ครับ

การปลุกเสกวัตถุมงคลด้วยวิชาเดินธาตุ

การปลุกเสกวัตถุมงคลด้วยวิชาเดินธาตุ
วัตถุมลคลประจำตัวเรา เช่น พระเครื่อง ตะกรุด ผ้ายันต์ต่างๆเหล่านี้ เมื่อกระทำการอาราธนาเสร็จแล้ว ก็ควรจะปลุกสกวิชาแม่ธาตุเพื่อเพิ่มพลังจิตในด้านนั้นๆยิ่งขึ้น

การปลุกเสกนั้นมี 2 ประเภทคือ
1.ปลุกเสกโดย เกจิอาจารย์ในการลงพลังจิตแก่วัตถุมลคล
2.การปลุกเสกโดยเจ้าของวัตถุมงคล อาราธนาก่อนจะติดตัวไปป้องกันภัยอันตราย คือ ปลุกให้ท่านตื่นก่อนที่จะ คล้องคอนั่นเอง

วัตถุมงคลที่มีฤทธิ์ในทาง เสน่ห์
เมื่ออารธนาเสร็จแล้ว ก่อนจะติดตัวให้เพิ่มพลังแม่ธาตุเข้าไปด้วย ขึ้นต้นว่า
นะ โม พุท ธา ยะ
นะ มะ พะ ธะ
นะ มะ อะ อุ
นะ จะ นะ จะ
เพิ่มเสน่ห์ในตัวให้คนรักใคร่ เจรจาการงาน จะได้ผลเพราะมีเมตตา

วัตถุมงคลที่มีฤทธิ์ในทาง ทำให้ภูตผีเกรงกลัวและสะเดาะเคราะห์
เมื่ออารธนาเสร็จแล้ว ก่อนจะติดตัวให้เพิ่มพลังแม่ธาตุเข้าไปด้วย ขึ้นต้นว่า
นะ โม พุท ธา ยะ
นะ มะ พะ ธะ
นะ มะ อะ อุ
มะ ภะ มะ ภะ
นำติดตัวไป ทำให้ภูติผีไม่กล้ารบกวน แม้จะทำการสิ่งใดจะได้ผล

วัตถุมงคลที่มีฤทธิ์ในทาง อยู่ยงคงกระพันชาตรี
เมื่ออารธนาเสร็จแล้ว ก่อนจะติดตัวให้เพิ่มพลังแม่ธาตุเข้าไปด้วย ขึ้นต้นว่า
นะ โม พุท ธา ยะ
นะ มะ พะ ธะ
นะ มะ อะ อุ
พะ กะ พะ กะ
ป้องกันอันตรายที่จะมาแผ้วพาน หากเกิดต่อสู้กันกับโจรผุ้ร้าย ทำให้แคล้วคลาด ไม่ไม่ตกยางไม่ออก

วัตถุมงคลที่มีฤทธิ์ในทาง การกำบัง สะกดจิต หรือ นะจังงัง
เมื่ออารธนาเสร็จแล้ว ก่อนจะติดตัวให้เพิ่มพลังแม่ธาตุเข้าไปด้วย ขึ้นต้นว่า
นะ โม พุท ธา ยะ
นะ มะ พะ ธะ
นะ มะ อะ อุ
ธะ สะ ธะ สะ
ทำให้ศัตรูไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่กล้าทำร้าย เหมือนถูก นะจังงัง
โลกเราและร่างกายเราก็ อาศัยธาตุทั้ง 4 นี้ หากบรรจุแม่ธาตุทั้ง 4 นี้ไปด้วย จะเกิดพลังในด้านต่างๆสมความปราถณา ข้อสำคัญอยุ่ที่ตัวเรา ต้องเป้นคนดี มีความประพฤติดี มีสัจจะวาจา ไม่มุ่งร้ายหมายชีวิตผู้อื่น ไม่มีความโลภ ไม่ใช้วิชาไปในทางมิชอบ ไม่ด่าบิดามารดาของผู้อื่นและของตนเอง...
------------------------------------------------------------------
การท่องไปในแดนต่างๆด้วยวิชาจากคัมภีร์มรกต ของโธส แห่งแอตแลนติส
ลา อูม อี ลู กาน
ท่องหลังจากสวดมนต์และทำสมาธิเสร็จ ท่องสักครึ่งชั่วโมงแล้วภาวนาในใจว่าอยากไปที่ไหแล้วกลับมาท่องอีกครั้งจน เข้าสู่ภวังค์หรือไม่ก็หลับไปเลย จะสามารถไปไหนก็ได้...โดยเฉพาะคนที่ฝึกวิชาเดินธาตุจะมีพลังจิตสูงสามารถไป ไหนก็ได้ไม่จำกัด

วิชาเดินธาตุหรือธาตุกรรมฐาน

ไหลน้ำพี้เป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งครับ มีสรรพคุณไม่ด้อยไปกว่าเหล็กไหล...แต่ยังไม่เป้นที่รู้จักกันมากเหมือนเหล็ก ไหลแค่นั้นเองครับ.../ ผมยังไม่เก่งถึงขนาดสอนสมาธิได้น่ะครับ...อายุผมยังน้อยครับ วัยรุ่นตอนต้นอยู่เลย

----------------------------------------------------------
วิชาเดินธาตุหรือธาตุกรรมฐาน
เริ่มตั้งแต่...การบูชาพระ คำนมัสการพระรัตนตรัย คำนมัสการพระพุทธเจ้า คำขอขมาพระรัตนตรัย คำพรรณาพระบรมธาตุ บทไตรสรณคมน์ อาราธนา ศีล 5 คำนมัสการพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ บทบูชาบิดามารดาและครูบาอาจารย์ บทชุมนุมเทวดา ธรรมจักรกัปวัตนสูตร ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก ชินบัญชร พาหุงมหากา บารมี 30 ทัศ อุณหิสวิชัยคาถา แผ่เมตตาให้ตนเองและสรรพสัตว์
จากนั้นจึงนั่งหันหน้าไปทางทิศใต้เพื่อรับพลังปราณจักรวาลที่ไหลจากทิศใต้มา สู่ทิศเหนือ ด้วยการนั่งพนมมือเพื่อรวมพลังปราณทั้ง 6 สายที่นิ้วมือเพื่อเพิ่มพลังปราณให้กับตนเอง พร้อมกับการท่องมนต์ตราแห่งวิชาเดินธาตุ ซึ่งมีทั้งวิชาเดินธาตุแบบขั้นต้น แบบขั้นกลางและแบบขั้นสูง ซึ่งมีความยากง่ายแตกต่างกันไป...เมื่อฝึกวิชาเดินธาตุแล้ว จะออกจากวิชาเดินธาตุเพื่อผ่อนคลายพลัง เพราะวิชาเดินธาตุนั้นเป็นวิชาที่มีพลังมหาศาล เมื่อฝึกไปได้ถึงระดับหนึ่งแล้วจะรู้สึกว่า ใจจะเย็นเหมือนมีน้ำทิพย์ชโลมใจแต่กายจะร้อนดั่งไฟเผากาย ดังนั้นจึงต้องมีการนั่งสมาธิแบบธรรมดาทั่วไป คือ ท่องพุทโธ หรือ ยุบหนอพองหนอ เพื่อผ่อนคลายพลังอันมหาศาลในการและใจของผู้ฝึก จากนั้นจึงท่องบทอัญเชิญเทวดากลับ ที่ต้องอัญเชิญเทวดากลับทีหลังนั้น เพราะเมื่อฝึกวิชานั้นๆ ก็จะได้มีเทพเทวดาต่างๆมาช่วยปกปักษ์รักษาและช่วยส่งเสริมการฝึกวิชา นั่นเอง

วิชาเดินธาตุแบบฉุกเฉิน ใช้ในยามคับขัน เมื่อนึกอะไรไม่ออกให้ให้ นะโมพุทธายะ จิเจรูนิ

วิขาเดินธาตุขั้นต้นนั้นจะใช้ หัวใจของธาตุทั้ง ๔ ไฟ ดิน ลม น้ำ บังเกิดสรรพสิ่งในจักรวาล
ธาตุทั้ง4 ไฟ ดิน ลม น้ำ ตามหลักแล้วธาตุที่อยู่ตรงข้ามกันจะเกื้อหนุนกัน เช่น ดินกับน้ำ ไฟกับลม นะ โม พุท ธา ยะ นี้เปรียบเสมือนธาตุใหญ่ เป็นรากเหง้าของธาตุทั้ง4
นะ คือ พระกุกกุสันโธ คือ ธาตุน้ำ หล่อเลี้ยงร่างกายและดวงจิต กำลังธาตุ 12
โม คือ พระโกนาคม คือ ธาตุดิน ให้กำลังวังชา กำลังธาตุ 21
พุท คือ พระกัสสป คือ ธาตุไฟ ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย กำลัง ธาตุ 6
ธา คือ พระสมณโคดม คือ ธาตุลม หล่อเลี้ยงชีวิต ดูดพลังปราณมาหล่อเลี้ยงดวงจิต กำลังธาตุ 7
ยะ คือ พระศรีอริยเมตตรัย คือ อากาศธาตุ เป็นที่ตั้งของวิญญาณ กำลังธาตุ 10

เมื่อรวมกำลังธาตุ นะโมพุทธายะ จะได้ 56 คือกำลังพุทธคุณ ส่งผลให้เกิดกำลังธรรมคุณ 38 และกำลังสังฆคุณ 14 รวมกำลัง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณได้ 108 เชื่อว่าหากกระทำการใดเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เช่น ปลุกเสกลงเลขยันต์ให้ครบ 108 ครั้งจะมีความศักดิ์สิทธิ์มากได้ผลตามใจปรารถนา

เมื่อถอดจากพระเจ้า 5 พระองค์ นะโมพุทธายะ จึงบังเกิดเป็นธาตุทั้ง 4 คือ
นะ(ธาตุน้ำ)
มะ (ธาตุดิน)
พะ(ธาตุไฟ)
ธะ (ธาตุลม)
นะ มะ พะ ธะ ธาตุทั้ง4นี้ เป็นธาตุหล่อเลี้ยงร่างกาย สังขารที่ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นตัวธาตุ ที่ถอดจากแม่ธาตุใหญ่ คือ นะ โม พุท ธา ยะ

ถอดลงไปอีกบังเกิด ธาตุพระกรณี(ธาตุพี่เลี้ยง)คือ
จะ(ธาตุน้ำ)
ภะ(ธาตุดิน)
กะ(ธาตุไฟ)
สะ(ธาตุลม)
จะ ภะ กะ สะ คือธาตุพี่เลี้ยง นะ มะ พะ ธะ ที่ท่านจัดเป็นกองธาตุทั้ง4กอง คือเมื่อจะตั้งธาตุทั้ง4กองนี้ ต้องมีธาตุพระพุทธเจ้าคือธาตุพระกรณีตั้ง กำกับลงไปด้วย คือ จะ ภะ กะ สะ เพื่อเป็นพี่เลี้ยงคุมธาตุลงไปอีกทีหนึ่ง

เมื่อตั้งธาตุได้บริบูรณ์แล้ว จากนั้นก็มีการหนุนธาตุ การหนุนธาตุนั้นท่านให้หนุนด้วยแก้ว4ดวง คือ นะ มะ อะ อุ
นะ คือแก้วมณีโชติ (ธาตุน้ำ)
มะ คือแก้วไพฑูรย์ (ธาตุดิน)
อะ คือแก้ววิเชียร (ธาตุไฟ)
อุ คือแก้วปัทมราช (ธาตุลม)

เมื่อรวมพระเจ้า 5 พระองค์ ธาตุทั้ง 4 ธาตุพระกรณีและดวงแก้วทั้ง 4 เข้าด้วยกันจึงจะสมบูรณ์ครบถ้วน ทำให้เกิดเป็นอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ ตามหลักวิชาแปรโลกธาตุ คือการปลุกเสกของกายสิทธิ์ให้มีอิทธิฤทธิ์เทียบเท่ากับเหล็กไหลชั้น 1 คือมีสีเปลี่ยนไปจากเดิมจนกลายเป็นสีเขียวปีกแมลงทับ หรือยืดหดกินน้ำผึ้งได้เองเมื่อใช้คาถากำกับหรือใช้อำนาจกำลังของตบะฌาน ประจุลงไป ณ ธาตุนั้น ๆ

หลักการใช้ธาตุอย่างกว้าง ๆ คือ ธาตุน้ำเด่นทางเสน่ห์และเมตตา ธาตุดินเด่นทางอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ คงกระพันชาตรี ธาตุไฟใช้ทำลายสิ่งชั่วร้ายและหลอมรวมวัตถุ ธาตุลมใช้ทางล่องหนหายตัว สะกด เมื่อได้ในพื้นฐานแล้วยังต้องรู้จัก การเดินธาตุ หนุนธาตุ อัดธาตุ ซ้อนธาตุ แยกธาตุ สลับธาตุ ย้อนธาตุและพลิกแพลงธาตุต่าง ๆ ซึ่งยังแบ่งแยกออกตามระดับความยากง่ายอีกด้วย คล้ายกับการเรียนหนังสือ เริ่มจากชั้นประถม มัธยม ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก เพราะถ้าขั้นประถมก็อาจใช้พระคาถาว่า นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ นะมะมะนะ นะอะอะนะ นะอุอุนะ

วิชาเดินธาตุขั้นกลาง
ปฐวีธาตุ หรือ ธาตุดิน ให้ว่าดังนี้
มะ กะ ทะ นะ พะ กะ สะ จะ
มิ ตะ ติ อุ อะ มะ นะ
จิ ตะ ติ จะ พะ กะ สะ
มุ ตะ ติ มะ นะ อะ อุ

อาโปธาตุ หัรือ ธาตุน้ำ
นะ มะ ทะ จะภะ กะ สะ
ริ ตะ ติ นะ อะ อิ อุ
ริ ตะ ติ สะ มะ นิ ทุ
ริ ตะ ตะ วิ กะ วิ ตะ ติ

วาโยธาตุ หรือ ธาตุลม
พะ ทะ นะ มะ พะ สะ จะ พะ
ริ ตะ ติ ทะ พะ มะ นะ
มิ ตะ ติ อุ อะ มะ นะ
วิ ตะ ติ พะ สะ กะ สะ

เตโชธาตุ หรือ ธาตุไฟ
ทะ นะ มะ พะ สะ จะ พะ วะ
มิ ตะ ติ พะ จะ สะ กะ
มุ ตะ ติ นะ มะ อะ อุ
จุ ตะ ติ กะ ระ มะ กะ

นอกจากคาถาธาตุตัวเต็มนี้แล้ว สามารถถอดเอาไปใช้เฉพาะเรื่อง
ทำให้ร่างกายให้โตว่า
มะ นะ อุ อะ นะ มะ อะ อุ
ทำให้มีข้าวของเครื่องใช้มากว่า
อะ อุ มะ นะ นะ มะ อุ อุ
ทำให้วิ่งเดินเร็วว่า
อุ อะ มะ นะ นะ มะ อะ อุ
ทำให้หายตัวไม่มีใครเห็น
อะ อุ นะ มะ มะ นะ อะ อุ
ทำให้ฝนตก
นะ มะ อะ อุ มะ นะ อุ อะ


และขั้นสูงสุดคือ วิชาเดินธาตุทั้ง 7 อันประกอบด้วย ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ จิตธาตุ อันเป็นวิชาอันเล้นลับและซับซ้อนซ่อนเงื่อน ซึ่งเมื่อเดินถึงวิชา 7 ธาตุนี้แล้วจึงจะครอบคลุมทั้ง กสิน ฌาณ มโนมยิทธิ อภิญญา 6 และคือครบวิชชา 8 ประการ แถมด้วยพลังลมปราณและพลังจักรวาลอันเป็นเลิศเพื่อเสริมพลังให้กับร่างกายอีก ด้วย
---------------------------------------------
ทำไมต้องพอกกายทิพย์
เพราะตกใจขณะจิตสงบในสมาธิ เรียกว่ากายทิพย์สะเทือน
ภาวะตกใจแล้วลุกขึ้นวิ่งหนีจากที่นั่ง เรียกว่า กายทิพย์สะเทือน ถึงขั้นกายทิพย์แตกกระจาย อาจเสียสติได้
ตกใจในขณะทำสมาธิ.......เกิดเพราะ
เห็นวิญญาณหรือสิ่งน่ากลัว ต้องมีสติคุมอารมณ์ไม่ให้ตกใจกลัว และไม่ลุกขึ้นจากที่นั่งเป็นอันขาด ต้องวางใจให้นิ่ง ๆ ระลึกถึงครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วอุทิศส่วนบุญกุลศลให้ วิญญาณนั้นก็จะหาย
ตกใจเพราะเหตุอื่น ทำให้สะดุ้งตกใจ เช่น เสียงดัง ๆ ให้ค่อย ๆ ลืมตาดูช้า ๆ นั่งปรับจิตใจให้สงบดีขึ้นแล้ว จึงจะลุกจากที่นั่งได ้

วิธีปรับจิตให้สงบ เพื่อรักษากายทิพย์สะเทือน
ในขณะที่นั่งสมาธิอยู่นั้น เมื่อตกใจ หัวใจจะเต้นแรงผิดปกติ อาจจะมีอาการปวดเสียวเป็นระยะ ๆ หน้าซีด มือที่วางซ้อนอยู่ด้วยกัน อาจจะถูกสลัดออกจากกัน ให้วางซ้อนให้เหมือนเดิม หลับตาลง ถอนหายใจลึก ๆ ช้า ๆ ๕ ครั้ง เริ่มต้น ตั้งจิตใจ ส่งไปที่กึ่งกลางระหว่างคิ้ว หายใจเข้าภาวนาว่า "พุท" หายใจออกว่า "โธ" (คำอื่นก็ได้) ทำอยู่ ๑๕ นาที หัวใจที่เต้นแรงผิดปกตินั้นจะกลับเข้าสู่ภาวะเดิมได้ เมื่อหายกลัวแล้วจึงจะออกจากสมาธิได้

วิธีรักษากายทิพย์ที่ถูกสะเทือนถึงขั้นแตกกระจาย
หาครูบาอาจารย์ หรือพี่เลี้ยงใจเย็น ๆ มาช่วยควบคุมให้ผู้นั้นนั่งสมาธิใหม่ ด้วยการมองพระพุทธรูป ให้จำ รูปนั้นแม้หลับตาก็ให้จำภาพนั้นให้ชัดเจน ถ้าภาพหายไปให้ลืมตาดู จนหลับตาก็จำภาพพระพุทธรูปได้ นับว่า เริ่มมีสติรู้สึกตัว ควบคุมตัวเองได้ ต่อด้วยการพอกกายทิพย์ให้สมบูรณ์ ด้วยการส่งความรู้สึกนึกคิดทั้งมวล เพ่งส่งไป ที่พระพุทธรูป เมื่อฝึกทำมาก ๆ ครั้งเข้า ภาพพระพุทธรูปจะค่อย ๆ ชัดขึ้นจนเห็นชัดทุกสัดส่วน เหมือนลืมตา จนพระพุทธรูปนั้นมีความสว่างไสว จนเป็นวงรอบองค์พระเหมือนดวงแก้ว จนมีความปิติสุข เกิดขึ้น แสดงว่า "ท่านหายแล้ว"
การพอกกายทิพย์นี้ เป็นการดึงเก็บรวบรวมเอา มวลสาร ของอะตอมในโมเลกุลซึ่งเป็นส่วนส่วนละเอียดที่สุด ของส่วนประกอบดวงจิต ที่เหมือนดวงแก้วที่แตกกระจากออกไปนั้น มารวมตัวสมานกันอีกครั้ง เมื่อเพ่งมองพระพุทธรูปจนเป็นนิมิต นั้นทำให้จิตรวมเป็นหนึ่งก็จะเกิดอำนาจดึงดูด เหมือนแม่เหล็ก ยิ่งส่งความนึกคิดเข้าไปในองค์พระพุทธรูปมากเท่าใดแล้ว เหมือนเสริมพลังให้กับแม่เหล็ก อำนาจแม่เหล็ก ที่ศูนย์กลาง คือพระพุทธรูป จะยิ่งเพิ่มพลังดึงดูดมากขึ้น จึงเกิดกำลังทวีคูณดึงดูด เก็บรวบรวมชิ้นส่วนอัน ละเอียดของดวงจิต (ดวงแก้ว) ที่แตกซ่านกระจายนั้นรวมตัวเข้าเป็นวงกลม(ดวงแก้ว) ที่สมบูรณ์ ใหม่ ๆ ดวงแก้วจะไม่ค่อยสว่างและไม่ค่อยกลมด้วย สุดท้ายอำนาจดึงดูดสูงขึ้น ๆ เศษส่วนต่าง ๆ ของดวงแก้วก็ จะติดแน่น สมานจนไม่มีรอยตำหนิ
(เรียบเรียงจากหนังสือแนวคำสอนสมเด็จโต สมาธิ ทางสงบ ถอดจิต โดยแสง อรุณกุศล )

วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

แหล่ง แร่เหล็กน้ำพี้


แหล่ง แร่เหล็กน้ำพี้ มี 2 บ่อคือ บ่อพระแสง และ บ่อพระขรรค์ ทั้ง 2 มีศาลเทารักษ์ ชื่อ ศาลเจ้าพ่อพระแสง และ ศาลเจ้าพ่อพระขรรค์ ที่ศักดิ์สิทธิ์ อารักษ์บ่อเหล็กน้ำพี้ทั้ง 2 บ่อไว้ ถ้าจะทำการขุดหรือนำแร่เหล็กน้ำพี้ขึ้นมาต้องทำพิธีบัดพลีบางสรวง เทพยดาอารักษ์ ที่รักษาบ่อ ทั้ง 2 บ่อก่อนทุกครั้งจึงจะทำการขุดขึ้นมาได้เหล็กน้ำพี้ไม่ใช่เป็นเหล็กกล้าชั้น ดีเพียงอย่างเดียว แต่คนโบราณยังเชื่อว่ากันว่าเป็นวัตถุอาถรรพณ์ มีความขลังศักดิ์สิทธิ์ดีในตัวเอง

บ่อเหล็กน้ำพี้ อยู่ที่หมู่ 1 บ้านน้ำพี้ ตำบลน้ำพี้ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 56 กิโล- เมตร (จากตัวจังหวัดถึงอำเภอ 42กิโลเมตรและจากอำเภอถึงที่ตั้ง14กิโลเมตร)ตามเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11และเข้าทางหลวงจังหวัดหมายเลข1245 มีอีกเส้นทางหนึ่งจาก อำเภอเมืองไปตำบลน้ำพี้เลย ลัดไปทางบ้านป่าขนุน ใช้ระยะทางการเดินทางจากตัวเมืองถึง บ่อน้ำพี้เพียง 34 กิโลเมตร บ่อเหล็กน้ำพี้เป็นบ่อเหล็กกล้ามีอยู่ด้วยกันหลายบ่อแต่เท่าที่ปรากฏให้ เห็นชัดเจนมีอยู่ 2บ่อคือ “บ่อพระแสง” และ “บ่อพระขรรค์” โดยบ่อพระแสงจะเป็นบ่อที่มีเนื้อเหล็กดีกว่าบ่ออื่น

ในสมัยโบราณนายช่างผู้สร้าง พระแสงดาบถวายพระมหากษัตริย์ จะนำเอาเหล็กน้ำพี้ที่บริเวณบ่อพระแสงไปถลุงทำพระแสงดาบ จึงเรียกว่า “บ่อพระแสง” ส่วนบ่อพระขรรค์ เข้าใจว่าเป็นบ่อที่นำเอาเหล็กจากบริเวณนี้ไปถลุงทำพระขรรค์ จึงเรียกว่า “บ่อพระขรรค์” ห้ามมิให้ผู้ใดขุดเหล็กจากบ่อนี้สงวนไว้ใช้ในการทำพระแสงดาบสำหรับพระมหา กษัตริย์เท่านั้น

ที่มา http://www.utdid.com


อีกชื่อหนึ่งของไหลน้ำพี้ คือเพชรน้ำพี้ธาตุกายสิทธิ์

เพชรน้ำพี้ธาตุกายสิทธิ์

ไหลน้ำพี้ (เพชรน้ำพี้)
“ไหลน้ำพี้” คือวัตถุอาถรรพ์ ซึ่งสถิตอยู่ภายในถ้ำบนภูเขาสูงในป่าลึก ซึ่งจะผสมปะปนอยู่ในเนื้อแร่สีดำสนิท หรือสีขาวขุ่น และเชื่อกันว่า “ไหลน้ำพี้” สามารถลบล้างอาถรรพ์ อันเกิดจากคุณไสย์ มนต์ดำ ลมเพลมพัด และมีอำนาจป้องกันภูตผีปีศาจ จิตวิญญาณ ผีร้ายหรือเดรัจฉานวิชาได้ อีกทั้งมีคุณวิเศษด้าน แคล้วคลาด คงกระชันชาตรี เป็นเยี่ยม

การอัญเชิญก้อนแร่ไหลน้ำพี้
ในการที่จะอัญเชิญ ก้อนแร่ไหลน้ำพี้ลงมาจากถ้ำได้นั้น จะต้องทำการบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเจ้าป่าเขา ที่สถิตอยู่บนถ้ำนั้นด้วยทุกครั้งไป มิฉะนั้นจะไม่สามารถนำก้อนแร่ไหลน้ำพี้ลงมาได้ หากมีผู้พยายามขึ้นไปนำก้อนไหลน้ำพี้ ลงมาทำการหลอมไหลเอง ระหว่างที่ทำการหลอมไหลก็จะบังเกิดอาเพศ สะเก็ดไหลแตกกระจายใส่ผู้ที่หลอม จนเป็นแผลปวดแสบปวดร้อนทรมาน หรือมิฉะนั้นแล้วไหลก็จะแตกร้าว ไม่อาจเป็นรูปเป็นร่างได้เลย

การหลอมก้อนแร่ไหลน้ำพี้
การที่จะหลอมไหลน้ำพี้ได้นั้น จะต้องหลอมละลายด้วยความร้อนสูง จนกระทั่งหยดลงและแข็งตัวเป็นก้อนกลม มีลักษณะคล้ายแก้ว

“ไหลน้ำพี้” จะมีสีสันต่างกันอาทิ สีขาว สีเขียว สีเขียวเข้ม จนกระทั่งสีดำสนิท ในการที่จะสามารถแยกไหลออกมา จากเนื้อแร่ได้นั้น จะต้องมีการบูชาครูบาอาจารย์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน จึงจะสามารถหลอมไหลได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่อาจได้ไหลที่สมบูรณ์ได้เลย จะต้องมีอันต้องแตกหักหรือร้าวทุกครั้งไป

เนื่องจาก “ไหลน้ำพี้” เป็นวัตถุอาถรรพ์ที่หาได้ยากยิ่ง จึงไม่มีไว้ขายทั่วไปเนื่องจากเป็นของหายาก และมีแห่งเดียวในโลก ซึ่งปัจจุบันมีเพียงช่างตีเหล็กน้ำพี้ท้องถิ่น ที่สืบทอดแต่โบราณเพียงน้อยราย ที่สามารถกระทำพิธีหลอมไหลได้

ประสบการณ์จากนักรบ
มีทหารที่ไปประจำการที่ภาคใต้มากมาย ที่ได้รับไหลนี้ไปปกป้องคุ้มครองภัย ต่างก็แคล้วคลาดปลอดภัย จากศาสตราวุธต่างๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์

แต่น่าเสียดายที่บางรายไม่รู้ค่า มองว่าเป็นของปลอมที่ทำขึ้น เป็นแก้วหรือพลาสติก จนกระทั่งใช้ค้อนทุบ จนแตกละเอียด ไม่นานนักระหว่างที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ ทหารนายดังกล่าวก็เหยียบถูกกับระเบิด ร่างแหลกละเอียดเสียชีวิตไปในที่สุด ร่างกายมีสภาพ ไม่ต่างจากไหลที่ถูกเขาทุบจนละเอียดเลยทีเดียว

สำหรับผู้ที่มีความศรัทธา และบูชาไปไม่ว่าจะเป็นร้านค้า หรือทำกิจการร้านอาหาร
เมื่อนำไหลไปบูชาแล้วต่างก็พบว่า ลูกค้าไหลมาเทมามากขึ้นผิดหูผิดตาทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นแทบจะไม่มีลูกค้าเข้าร้านด้วยซ้ำไป

ยังมีเรื่องอีกมากมายหลายเรื่อง ที่ไม่สามารถนำมาลงให้ได้หมด

สำหรับผู้ที่บูชาไปขอเพียงมีจิตศรัทธาอำนาจของ “ไหลน้ำพี้” เพราะหาไม่แล้ว จะเป็นการน่าเสียดายต่อผู้ครอบครอง เพราะท้ายที่สุดแล้ว “ไหลน้ำพี้” จะศักดิ์สิทธ์ หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับจิตใจ ของผู้ที่ครอบครองมากที่สุดนั่นเอง

ไม่ต้องสวดบูชาด้วยพระคาถาบทใด
เนื่องจากไหลน้ำพี้มีความศักดิ์ในตัวอยู่แล้ว*** เพียงตั้งจิตอธิฐานภาวนาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเหลือในด้านต่างๆ ให้บังเกิดความสำเร็จตามประสงค์

ไหลน้ำพี้ธาตุที่ ศักดิ์สิทธิ์ชนิดเดียวกับเหล็กไหล




ชาวบ้านอุตรดิตถ์ แพร่ น่าน ตื่น ไหลดำน้ำพี้ แห่ขอบูชาเชื่อ ช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัย และให้โชคลาภ
...
เมื่อ วันที่ 18 พฤศจิกายน 52 เวลา 10.00 น. ได้มีชาวบ้านจากทั่วทุกสารทิศที่อยู่ในจังหวัดอุตรดิตถ์ ไปจนถึงจังหวัดแพร่และจังหวัดน่านจำนวนมาก ได้เดินทางมายังบ้านของนายฟุ้ง เชื้อนพคุณ อายุ 65 ปี เลขที่ 43/1 บ้านน้ำพี้ หมู่ 1ต.น้ำพี้ อ.ทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์ อดีตช่างตีเหล็กน้ำพี้ เพื่อขอบูชาไหลดำหรือไหลน้ำพี้ ซึ่งตั้งโชว์อยู่ในตู้กระจกบริเวณหน้าบ้านไม้ชั้นเดี่ยวโดยมีนางจำรัส เชื้อนพคุณอายุ 62 ปีภรรยาของนายฟุ้ง เป็นผู้ดูแล

จากการเปิดเผยของ นายฟุ้ง กล่าวว่า
ไหลดำนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล แต่ยังไม่ถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้แพร่หลายออกไป
-ไหลดำนอกจากจะช่วยในเรื่องของความแคล้วคลาดปลอดภัย สิ่งเร้นลับที่ชั่วร้ายเวทมนต์อวิชารวมไปถึงมนต์ดำทุกชนิด
-ยังป้องกันภูติผีปีศาจ
-ป้องกันคุณไสย์และคงกระพันชาตรีแล้ว
-ยังสามารถแก้โรคร้อนวิชา สำหรับคนที่เคร่งเครียดต่อการเรียนวิชาทางไสยศาสตร์จนเกิดอาการคลุ้มคลั่ง
-แก้พิษจากสัตว์หลายประเภท อาทิ ผึ้ง แตน ตะขาบ แมงป่อง งูมีพิษ ปลากระเบน
และแง่งปลาดุกที่ปักเข้าตามลำตัว"


ไหลดำถือเป็นธาตุที่ ศักดิ์สิทธิ์ชนิดเดียวกับเหล็กไหล
ผู้ที่มีไว้ครอบครองต้องเข้าถึงด้วยพลังอำนาจจิตที่บริสุทธิ์ของตนเอง จากผล บุญกุศลที่ได้สร้างเอาไว้ หากใครที่คิดชั่วร้าย แม้มีไหลดำติดตัวเอาไว้ใช่ว่าจะป้องกันภัยให้กับตนเองได้ในยามคับขัน ในเรื่องโชคลาภก็จะไม่บังเกิด

การที่คนเราจะนำไหลดำสิ่งของชนิดนี้มาใช้ได้ จิตของผู้ครอบครองกับไหลดำจะต้องสื่อถึงกันหรือเข้าถึงกันได้
สังเกต ง่ายๆถ้าต้องการสัมผัส ไหลดำ
ให้ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างวางบนก้อนไหลดำ หากสื่อถึงกันได้จริงเส้นขนบนแขนทั้ง สองข้างจะตั้งลุกชันขึ้นมาทันที นี้คือพลังอำนาจที่เข้าถึงกันได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ถือศีล คนธรรมดาก็เข้าถึงได้ ขอให้ทุกคนมีจิตที่แน่วแน่ไม่แปรปรวน


สำหรับตนแล้วรู้จักคำว่าไหลดำ จากการที่ทางวัดน้ำพี้ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน ได้มีการนำวัตถุชนิดนี้เข้ามาทำพิธีในพิธีสวดภาณยักษ์เมื่อกว่า 20 ปีที่ผ่านมา เพื่อช่วยขับไล่เสนียดจัญไร ภูมิผีปีศาจที่อาศัยอยู่ในร่างคนรวมถึงผู้ที่โดนคุณไสย์
สืบทราบว่าแหล่งแร่ไหลดำนั้นมีแหล่งอยู่ที่บริเวณถ้ำผาแดงและด้านหลังบ่อ เหล็กน้ำพี้ จึงไปสืบเสาะค้นหามา

เมื่อได้แล้วก็ลองผิดลองถูกในวิชาที่ได้เรียนรู้จากครู บาอาจารย์ กระทำเป็นผลสำเร็จสามารถทำไหลดำมาได้ถึงปัจจุบันนี้ หลายคนในหมู่บ้านทราบข่าวต่างก็มีความต้องการอยากจะทำไหลดำแบบที่ตนเองทำ ก็พยายามสืบเสาะค้นหาวิธีการทำและขั้นตอนต่างๆ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ไหลดำใช่ว่าทุกคนจะทำได้เสมอไปเหมือนการทำแร่เหล็กน้ำพี้


เหตุที่ทำไม่ได้ เพราะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากมากกว่าเหล็กน้ำพี้โดยเฉพาะการเข้าถึงธาตุ ที่ศักดิ์สิทธิ์การสื่อถึงในตัวธาตุกายสิทธิ์ของไหลดำ ขนาดตนเองเคยสอนวิธีการทำไหลดำให้กับลูกหลานคนในครอบครัวเพื่อเป็นการสืบทอด ต่อก็ยังไม่สามารถทำได้เลยเมื่อจิตใจของผู้กระทำสื่อเข้าไม่ถึงถ้าได้หิน หรือธาตุไหลดำนี้มาก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ทำไปก็มีแต่จะเกิดการแตกหัก หลายคนต้องนำหินหรือธาตุไหลดำมาวางตั้งทิ้งเอา ไว้ที่หน้าบ้านหรือภายในบ้านทิ้งเอาไว้เฉยๆ

นายฟุ้ง อดีตช่างตีเหล็กน้ำพี้ ปัจจุบันเป็นเจ้าของแร่ไหลดำ ที่มีแห่งเดียวในจังหวัดอุตรดิตถ์และแห่งเดียวในหมู่บ้านของบ้านน้ำพี้ กล่าวว่า
ไหลดำที่มีรูปร่างกลมและมีขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 2-3.5 เซนติเมตร นี้ทางร้านของเรามีจำหน่ายในราคาเม็ดละตั้งแต่ 30 บาทจนถึงราคาเม็ดละ 300 บาทนอกเหนือจากจะมีติดตัวไว้เพื่อป้องกันภัยต่างๆแล้ว ยังมีการนำมาทำเป็นเครื่องประดับที่สวยงามติดตัวได้อีก

โดยนำธาตุไหลดำนำมา ตกแต่งเป็นเครื่องประดับร่วมกับคริสตัลให้เป็นประเภทสร้อยคอซึ่งจากการสัง เกตุของผู้สื่อข่าวพบว่ามีก้อนหินแร่ไหลดำอยู่ด้วยกันประมาณกว่า 10 ก้อน มีหลายขนาดน้ำหนักตั้งแต่ประมาณ 0.3 กรัม ถึงขนาดก้อนใหญ่น้ำหนัก 20 กิโลกรัมวางอยู่ข้างบ้านติดกับเสาต้นไม้สักที่ใช้ทำเพิงกันสาดบริเวณหน้า บ้าน วางเรียงซ้อนกันอยู่ ก้อนหินดังกล่าวเป็นเหมือนก้อนหินทั่วไป


นอกจากนี้นายฟุ้งยังได้เชิญชวนผู้สื่อข่าว ได้ชมวิธีการทำไหลดำจากก้อนหินแร่ไหลดำที่บริเวณด้านหลังของบ้านของตนเอง ซึ่งตั้งถูกดัดแปลงให้เป็นสถานที่ผลิตไหลดำ พบว่ามีการนำก้อนหินที่มีลักษณะ ผิวด้านนอกมีเป็นสีขาววางไว้บนเหล็กรูปร่างคล้ายรางรถไปยาวประมาณ 40 เซ็นติเมตรและนำหัวตัดแก๊สจุดไฟให้มีความร้อนสูง นำมาเผาหรือรนก้อนหินดังกล่าวเมื่อก้อนหินดังดังกล่าวที่อ้างว่าเป็นแร่ไหลดำหรือไหลน้ำพี้ เมื่อโดนความร้อนสูงก็จะเปลี่ยนสีเกิดเป็นสีดำแทน

เมื่อใช้ความร้อนของไฟเผาต่อไปอีกก็จะกลายเป็นของเหลวมีสีดำไหลย้อยลงมายัง แผ่นเหล็กที่ถูกวางรองรับไว้ด้านล่างเมื่อของเหลวที่มีสีดำโดนความเย็นจึง เกาะตัวรวมกันเป็นก้อนกลมเหมือนก้อนนิลสีดำที่ถูกเจียรนัยแล้ว

ลักษณะผิวของธาตุไหลดำนี้จะมีความมันแวววาวเหมือนกระจกจะมองเห็นภาพเงาของตน เองอยู่ภายในนั้นด้วยหลายคนที่เห็นกรรมวิธีทำต่างก็ทึ่งกับธาตุหินดังกล่าว ซึ่งก้อนหินชนิดนี้ข้างนอกดูเป็นก้อนหินธรรมดาทั่วไปเปลือกผิวข้างนอกก็ยัง ดูปกติเหมือนก้อนหินทั่วไปไม่มีการเปลี่ยนแปลง หลังมีการใช้ไฟเผาที่บริเวณก้อนหินที่เปลือกหินดังกล่าวจะเปลี่ยนสีทันที

ด้านนางสุภาภรณ์ เหล่าสกุล อายุ 48 ปี ประธานกรรมการผู้จัดการ NSP เคเบิ้ลทีวี จังหวัดแพร่ กล่าวว่า
เชื่อในเรื่องของไหลดำหรือไหลน้ำพี้จากบรรพบุรุษปู่ย่า ตายายพยายามสืบเสาะค้นหา
เนื่องจากทราบว่าเป็นแร่ที่ศักดิ์สิทธิ์มีอานุภาพไม่ด้อยไปกว่าเหล็กไหล เพียงแต่เหล็กไหลเราเคยได้ยินต่อ ๆ กันมาเท่านั้น


ส่วนไหลดำสามารถ จับและสัมผัสของจริงได้ที่บ้านน้ำพี้ เชื่อในเรื่องของพุทธานุภาพพลังอำนาจที่สถิตย์อยู่ภายใน ทั้งในเรื่องของการป้องกันคุณไสย์และให้โชคลาภ ช่วยคุ้มครองในสิ่งต่างๆ ล่าสุดถูกลอตเตอรี่ รางวัลเลขท้าย 2 ตัวติดต่อกัน 2 งวดแล้วหลังจากที่นำไปบูชา ทั้งนี้ตนเองยังได้นำธาตุไหลดำไปแจกจ่ายให้กับญาติพี่น้องที่ต่างจังหวัดโดย เฉพาะญาติๆที่เป็นข้าราชการตำรวจและทหารซึ่งชาวบ้านที่มาท่องเที่ยวที่บ้าน น้ำพี้ ได้เห็นการทำธาตุไหลดำและได้รู้ถึงสรรพคุณในด้านการแก้และป้องกันคุณไสย ได้แห่ซื้อธาตุไหลดำชนิดดังกล่าวไปเป็นจำนวนมาก เพื่อนำไปฝากเพื่อนและญาติพี่น้องที่เป็นข้าราชการตำรวจ ทหาร หลายคนมีญาติปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ จ.ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส

ซึ่งทุกคนเชื่อว่า ธาตุไหลดำดังกล่าวที่ซื้อไปบูชาจะทำให้เกิดความปลอดภัยจาก คมกระสุนและลูกระเบิด รวมถึงนำติดตัวไว้เพื่อเป็นวัตถุมงคลให้เกิดความแคล้วคลาดปลอดภัย แถมยังมีโชคลาภ

เหล็กน้ำพี้ ธาตุกายสิทธิ์




ของ ศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาตินั้นโบราณจารย์ได้กล่าวเรียกไว้หลายอย่างที่คุ้นหู คือ สิ่งที่เรียกว่า กายสิทธิ์ แต่นอกจากของกายสิทธิ์แล้วยังมีของศักดิ์สิทธิ์ ตามธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า ทนสิทธิ์ ของทนสิทธิ์นั้นมีกล่าวไว้ในตำราพิชัยสงคราม หมายถึง วัตถุตามธรรมชาติที่มีอำนาจทางคงกระพันโดยมิต้องผ่านการปลุกเสก



ใน สมัยโบราณนั้นธาตุเหล็กถือว่าเป็นธาตุที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัว และสำหรับธาตุเหล็กน้ำพี้นั้นยิ่งถือว่าเป็นเหล็กพิเศษ เพราะเป็นของทนสิทธิ์มีอานุภาพ




มีระบุไว้ในตำราพิชัยสงครามชัดเจนว่าเหล็กน้ำพี้เป็นของทนสิทธิ์ไม่เสื่อม


มีอานุภาพทางความคงกระพันชาตรี ทำลายอาถรรพณ์ทั้ง ปวงเพื่อเป็นที่เกรงกลัวของภูตผีปีศาจป้องกันมนต์ดำ คุณไสย ลมเพลมพันทั้งปวง มีอำนาจทางมหาราชตบะเดชะ เป็นที่ครั่นคร้ามของคนทั้งปวง



ธาตุ ทนสิทธิ์นั้นถือเป็นของหายากตามธรรมชาติ ในอดีตต่างมีผู้แสวงหากันอย่างมากมาย แต่ผู้ที่จะได้ไว้นั้นมีน้อยคนเหลือเกินเพราะเป็นของสำหรับผู้ที่มีบุญวาสนา เหมือนดั่งกับเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์ หรือปรอทสำเร็จ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของตามตำนาน มีเรื่องเล่าขานกันมานานนับหลายชั่วอายุคน เหล็กน้ำพี้จากอำเภอทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์ ธาตุทนสิทธิ์ที่มีเรื่องเล่าขานตำนานนับร้อยพันปี และยังแสดงอิทธิอานุภาพให้ปรากฏจนถึงทุกวันนี้



เหล็กน้ำพี้ถือว่าเป็นธาตุที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเองอย่างน่าอัศจรรย์



เหล็กน้ำพี้ คือ เหล็กที่เหนือกว่าธาตุเหล็กใดๆ ในโลกยกเว้นเหล็กไหล แต่โดยภาพรวมแล้ว เหล็กน้ำพี้ก็ถือได้ว่าเป็นเหล็กอัศจรรย์ตระกูลเหล็กไหลอย่างหนึ่ง ที่มีพลานุภาพเป็นน้องๆ ขององค์เหล็กไหลชั้นยอดขึ้นไป เหล็กน้ำพี้ถือว่าเป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่มีชีวิตมีเทพยดารักษาไว้ เป็นของคนมีบุญเท่านั้น การหาเหล็กน้ำพี้แม้ว่าไม่ได้เกิดการตัดเช่นเดียวกับการตัดเหล็กไหล ตามแต่ก่อนที่จะทำการหาได้นั้น ต้องทำการบวงสรวง บอกกล่าวต่อเหน้าที่ที่ชาวบ้านเรียกว่า เจ้าพ่อบ่อเหล็ก ถือเป็นเทพยดาที่ทรงมหิทธิฤทธิ์ดูธาตุศักดิ์สิทธิ์ชนิดนี้อยู่



ส่วน ที่เรียกว่าเหล็กน้ำพี้ เป็นธาตุทนสิทธิ์นั้น เนื่องจากว่าคำว่า ทนสิทธิ์ เป็นการเรียกสิ่งบางอย่างในโลกที่มีพลังงานบางอย่างในตัวที่มีอานุภาพทางคง กระพัน และล้างอาถรรพณ์เสียดจันไรทุกชนิด ป้องกันภูตผีปีศาจ


เหล็กน้ำพี้จัดเป็นธาตุที่มีเตโชธาตุในตัวสูงอย่างยิ่งรัศมีของเหล็กน้ำพี้ จึงเป็นที่เกรงกลังของบรรดาภูตผีปีศาจทั้งหลายด้วยความร้อนแรงแห่งเตโชธาตุภายใน




บุคคลที่มีลุฌานสมาธิได้ตาในจากการนั่งกรรมฐาน จะแลเห็นรัศมีของเหล็กน้ำพี้เป็นสีแดงสด บ่งบอกอำจาจทางการคุ้มครองชั้นสูง และอำนาจจากเตโชธาตุ ที่ส่งผลในทางตบะเดชะ สนับสนุนดวงชะตาชีวิตให้เป็นเจ้าคนนายคน และอำนาจจากเตโชธาตุนี้เองที่ยังเป็นตัวล้างอาถรรพณ์ทั้งปวงจากคุณไสยมนต์ดำ



เตโช ธาตุ คือ ธาตุไฟ ครูบาอาจารย์ต่างกล่าวว่า ธาตุไฟในโลกนี้มีอำนาจในทางสร้างมายาอย่างหนึ่ง และสามารถทำลายอาถรรพณ์จากเวทย์มนต์ พลังจิตทุกชนิด ล้างอาถรรพณ์ได้ด้วยธาตุไฟแถมยังเป็นสิ่งที่ให้พลังแก่ชีวิตเราด้วย ดังนั้นพลังงานนี้จะทำให้ร่างกายของผู้ที่ได้รับเกิดความแข็งแรงกระชุ่ม กระชวย หากทำการรับพลังงานจากแร่เหล็กน้ำพี้เสมอๆ จะทำให้แก่ช้า และยังได้ความคงกระพันด้วย บางท่านสื่อพลังเหล็กน้ำพี้ไปนานวันจะเกิดตบะเดชะ เส้นผมจะกลายเป็นสีเหล็กหรือสีทองแดง เมื่อตายไปแล้วกระดูกก็กลายเป็นทองแดงตามไปด้วยอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งทั้งนี้เกิดขึ้นจากอำนาจของกระแสพลังงานของเหล็กน้ำพี้ไปปรับธาตุขันธ์ ให้ร่างกายให้กลายเป็นทนสิทธิ์ตามตัวของมันไปด้วย ซึ่งผู้ซึมซับพลังงานของเหล็กน้ำพี้จนถึงขั้นที่เส้นผมเป็นสีเหล็กหรือสีทอง แดง จะมีความคงกระพันชั้นเลิศแก่ช้า มีอายุยาวนานปราศจากโรคภัยทั้งปวง




แต่ทั้งนี้ ต้องหมั่นทำสมาธิบำเพ็ญภาวนา โดยอาศัยการนำเหล็กน้ำพี้ไว้ในมือ ดูดรับกระแสพลังงานจากเหล็กน้ำพี้เอาไว้ให้มาก และบ่อยๆ ก็สามารถกลายร่างเป็นทนสิทธิ์ได้






ข้อมูลอ้างอิง


-หนังสือเครื่องรางสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากธรรมชาติ (บูชาแล้วรวย


-จากเวป Utdid.com


วิธีบูชาธาตุกายสิทธิ์เหล็กน้ำพี้

การบูชาเหล็กน้ำพี้

1 . สำหรับท่านที่มีเหล็กน้ำพี้ไว้บูชานั้น ต้องเอาไว้ที่สูง แต่อย่าให้สูงกว่าพระพุทธรูป

2. หากเป็นก้อนเหล็กก็ให้แช่ไว้ในน้ำมันงา หรือน้ำมันจันทน์ก็ได้ หากเป็นก้อนใหญ่เมื่อได้มาแล้วหากสามารถหาน้ำมันงา หรือน้ำมันจันทน์มาเช็ดที่ก้อนได้ก็เป็นการดี


3. หากพกพาเหล็กน้ำพี้ เป็นก้อนๆ ติดตัวให้พกพาไว้ในกระเป๋าเสื้อ ไม่ควรเอาไว้ที่ต่ำ ไม่ควรนั่งทับ หรือให้ใครมาข้ามเพราะเป็นของที่มีเทวดารักษา หากทำการไม่สมควรย่อมเกิดโทษได้

4. หาก แกะเป็นพระพุทธรูป ให้อาราธนาระลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย และเจ้าพ่อเหล็กก่อนออกจากบ้าน ประสงค์สิ่งใดก็บอกกล่าวแก่ท่าน ที่สำคัญคือหมั่นให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ นั่งสมาธิเป็นนิจศีล แล้ว อธิษฐานอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้าพ่อบ่อเหล็กให้ท่านมีบุญฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ยิ่งๆขึ้น และขอความเมตตาแก่ท่านทั้งในด้านการคุ้มครอง และการเจริญในห้าที่การงาน และโภคทรัพย์ ขอความอยู่เป็นสุข ห่างไกลทุกข์


ข้อมูลอ้างอิง

หนังสือเครื่องรางสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากธรรมชาติ (บูชาแล้วรวย)

ที่มา http://www.utdid.com