รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับแก้วจักรพรรดิ์,การปฎิบัติสมาธิ และ ,ตรวจพลังพระเครื่องด้วยแพนดูลั่มพลังจิต
จำนวนการดูหน้าเว็บรวม
วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553
การบูชาพระบรมธาตุเจดีย์ แก้เคราะห์ เสริมดวง
มีหลายท่านมาถามผมว่า
การกราบพระเจดีย์ใหญ่ๆๆที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ หรือว่า พระพุทธรูปโบราณคู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์ หรือแม้แต่รอยพระพุทธบาทของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
ทำได้อย่างไร แล้วมีอานิสงส์อย่างไร
ผมจึงขอเล่าให้ฟังเรื่องนี้หลวงปู่จันทา ถาวโรประธานสงฆ์ วัดป่าเขาน้อย พิจิตร
ท่านบอกว่าการกราบไหว้บูชาพระบรมธาตุเจดีย์ รอยพระพุทธบาท หรือพระพุทธรูปโบราณนั้นเป็นการเคารพในพุทธบารมีพระพุทธเจ้าและเป็นพุทธานุ สสติสามารถเอาพระพุทธบารมีเป็นที่พึ่งได้ หากกระทำการให้ถูกต้องและที่สำคัญในการกราบที่ถูกต้องจะต้องมีการอัญชลีประ ทักษิณาวรรตตามแบบโบราณ
หากใครทำได้ก็สามารถเอาพระพุทธบารมีนี้ทำให้พ้นเครา ห์ได้ครับ เรื่องนี้เรื่องจริง คราวที่คุณพ่อผม โดนผู้มีอิทธิพลทางการเมืองตั้งกรรมการสอบสวน ท่านบอกว่าทุกข์ใจมาก ไปกราบหลวงปู่จันทา ท่านก็แนะนำวิธีการประทักษิณาวรรตให้ไปกราบหลวงพ่อเพชร วัดท่าหลวงและกระทำประทักษิณาวรรตถวายเป็นพุทธบูชา
ปรากฏว่าต่อมาผู้มีอิทธิพลได้ค่อยๆๆเสื่อมอำนาจจนคุณพ่อผมถูกตัดสินว่า บริสุทธิ์ ได้กลับไปกราบแทบเท้าหลวงปู่จันทาอีกครั้ง หลวงปู่จันทาบอกว่าท่านไม่ได้ช่วยอะไร ที่ช่วยคือพุทธบารมีของพระพุทธเจ้า เพราะคุณพ่อผมไปกระทำประทักษิณาวรรตรอบพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองอันเป็นการ ขอพึ่งพระพุทธบารมี
หลวงปู่บอกว่าผู้ใดเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งก็ย่อมพ้นภัยดังนั้นแหล่ะน้อ
ดังคำว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ แปลว่าข้าพเจ้าขอยึดเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะเป็นที่พึ่งที่ระลึกกำจัดภัยได้ จริง นี่เป็นประสบการณืที่ปฏิบัติแล้วเห็นผลจริงจึงขอนำมาลงให้อ่านกันครับ และเพื่อเป็นการเผยแพร่ตามเจตนารมย์หลวงปู่จันทาด้วยครับ
วิธีการไหว้และประทักษิณาวรรต(เวียนสามรอบ) พระบรมธาตุเจดีย์ พระพุทธรูป หรือรอยพระพุทธบาท
มีดังนี้ครับ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุท ธัสสะ (3 จบ)
อะหัง วันทามิ ธาตุโย อะหัง วันทามิ สัพพะโส
พุทธัง ธัมมัง สังฆัง เอวัง ธาตุโย จัตตารี สะสะมา
ทันต เกสา โลมา นะขา ขีจะ อะหัง วันทามิ ธาตุโย
ข้าพเจ้า ขอน้อมนมัสการ พระบรมสารีริกธาตุ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย
ส่วน คาถาที่ใช้กระทำการเดินเวียนเทียนสามรอบของสำนักอื่นไม่ทราบจริงๆครับแต่มี ที่ หลวงปู่จันทา ถาวโร ได้แนะนำคุณพ่อผมไว้มีวิธีดังนี้ครับ
ก่อนเดินเวียนให้ตั้งใจกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัยดังนี้
อิมินา สักกาเรนะ พุธ์ธัง อภิปูชยามิ
อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง อภิปูชยามิ
อิมินา สักกาเรนะ สังฆัง อภิปูชยามิ
ต่อจากนั้นก็ให้กล่าวคาถาบูชาพระรัตนตรัยต่อไป คือ
พุทธปูชา มหาเตชวันโต
ธัมมปูชา มหาปัญญวันโต
สังฆปูชา มหาโภควโห ติโลกนาถัง อภิปูเชมิ
จากนั้นพึงนั่งประณมมือ ตั้งใจยึดถือเอกพระรัตนตรัยเป็นสรณ ไม่ถือสิ่งอื่นยิ่งไปกว่าจนตลอดชีวิตแล้วว่า
พระไตรสรณคม คือ
พุท์ธังสรณังคัจฉามิ
ธัมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณังคัจฉามิ
ทุติยัมปิพุท์ธังสรณังคัจฉามิ
ทุติยัมปิธัมมังสรณังคัจฉามิ
ทุติยัมปิสังฆังสรณังคัจฉามิ
ตติยัมปิพุท์ธังสรณังคัจฉามิ
ตติยัมปิธัมมังสรณังคัจฉามิ
ตติยัมปิสังฆังสรณังคัจฉามิ
เมื่อจบพระไตรสรณคมแล้วพึงสวดคาถาพระพุทธคุณต่อไป คือ
อิติปิโสภควา อรหังสัมมาสัมพุท์โธ วิช์ชาจรณสัมปันโน สุคโตโลกวิทู อนุต์ตโร ปุริสทัมมสารถิ สัตถา เทวมนุส์สานัง พุทโธภควาติ
เมื่อ สวดพระพุทธคุณจบแล้วให้เหนี่ยวโน้มใจระลึกถึงพระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระกรุณาคุณของพระพุทธเจ้าจนเห็นแจ่มแจ้งชัดดังที่ระลึกนั้น แล้วจึงว่า
พุท์ธัง ภควันตัง อภิวาเทมิ
เสร็จแล้วกราบลงหนนึง
ให้เงยหน้าขึ้นนั่งตรงในท่าเดิมว่าคาถาพระธัมคุณ คือ
สวาก์ขาโต ภควตาธัมโม สันทิฏ์ฐิโกอกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญ์ญูฮีติ
แล้วพึงให้เหนี่ยวโน้มใจให้ระลึกถึงคุณพระปริยัติธรรม พระปฏิบัติธรรม พระปฏิเวธธรรม จนเห็นแน่ชัด ตามที่ระลึกนั้น จากนั้นพึงให้ว่า
ธัมมัง นมัสสามิ
เสร็จแล้วกราบลงหนนึง
เงยหน้านั่งตรงในท่าเดิม ว่าคาถาพระสังฆคุณ คือ
สุ ปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ อุชุปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ ญายปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ สามีจิปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ ยทิทัง จุตตาริ ปุริสยุคานิ
อัฏฐปุริสปุคคลา เอสภควโต สาวกสังโฆ อาหุเนย์โย ปาหุเนย์โย ทักขิเนย์โย อัญชลีกรณีโย อนุต์ตรัง ปุญญักเขต์ตัง โลกัสสาติ
แล้ว พึงให้เหนี่ยวโน้มระลึกถึงพระสังฆคุณ คือความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติควร ของพระอริยสงฆ์ จนเห็นแจ่มแจ้งชัดแล้วตามที่ระลึกนั้น จากนั้นพึงให้ว่า
สังฆัง นมามิ
เสร็จแล้วกราบลงหนนึง
แล้วอธิษฐานขอกระทำประทักษิณเวียนสามรอบ(พระบรมสารีริกธาตุ พระเจดีย์หรือ พระพุทธรูปสำคัญ)
รอบที่1ให้ภาวนาว่า
พุทโธ
รอบที่2ให้ภาวนาว่า
สัมมาอะระหัง
รอบที่3ให้ภาวนาว่า
พุทโธ กรรมฐาโม กรรมจุติ สัมพุทโธ
เมื่อ เสร็จแล้วจึงกลับมายังหน้าพระบรมธาตุเจดีย์ที่จุดเดิมที่เริ่มเดิน หรือหน้าพระพุทธรูป หรือรอยพระพุทธบาท แล้วจึงกราบขอพรดังปรารถนาดังนี้
อุกาสะ อุกาสะ อุกาสะ ด้วยอานิสงส์ที่ข้าพเจ้าได้กระทำประทักษิณาวรรตถวายเป็นพุทธบูชานี้ (ขอตามปรารถนา )
****************
ชี้แจง มีหลายท่านถามมาว่า ทำไมเดินจงกรม
รอบที่1 คำว่า พุทโธ อันนี้หลวงปู่จันทาท่านว่า ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นคำบริกรรมในสายพระป่า
รอบ ที่2 สัมมา อะระหัง หลวงปู่บอกว่าคำภาวนานี้แรงมาก สามารถกำจัดเคราะห์และมารภัยทั้งหลายได้เป็นอย่างดี แม้กระทั่งครูบาเหนือชัย(พระขี่ม้า)ท่านก็ถอนยาสังด้วย สัมมาอะระหัง เช่นกัน
รอบที่ 3 คำว่า พุทโธ กรรมฐาโม กรรมจุติ สัมพุทโธ คาถานี้เป็นคำบริกรรมในสายหลวงพ่อเงิน บางคลาน ซึ่งตามประวัติหลวงพ่อเงิน บางคลานท่านก็ได้พัดยศด้านพระวิปัสนาจารย์ จาก สมเด็จมหาสมณเจ้ากรมพระวชิรญาณวโรรส เมื่อคราวมาเรียนกรรมฐานที่พิจิตร หลวงปู่ขวัญ ปวโร วัดบ้านไร่ ท่านมอบถวายหลวงปู่จันทาในฐานะสหายธรรม (เห็นได้ว่าพระสงฆ์ไม่มีแบ่งนิกายกันอยู่ต่างนิกายก็เป็นสหายธรรมได้)
หลวงปู่จันทาท่านว่าคำบริกรรมนี้ดีมากแปลก็ดีเลยอรรถาธิบายให้คุณพ่อผมได้ เข้าใจ ท่านจดมาดังนี้ คำนี้หมายถึง เมื่อเอา พระพุทโธคือ พระพุทธเจ้าเป็นกรรมฐาน ก็ขอให้กรรมใดล้วนอโหสิกรรม (คือคำว่ากรรมจุติ ,จุติแปลว่าตาย)หรือระงับการจองเวรกัน ด้วยบารมีพระพุทธเจ้า คือพระสัมพุทโธ จึงรวมกันว่า พุทโธกรรมฐาโม กรรมจุติ สัมพุทโธ เป็นคำบริกรรมสายหลวงพ่อเงินบางคลาน ที่มีที่มาคำแปลลึกซึ้งครับ ก็นำมาเล่าให้ทุกท่านที่สงสัยกันครับ
hฟฟp://www.buddhakhun.org/main//index.php?topic=2527.msg6400#msg6400
วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553
พระผงจักรพรรดิสามารถใช้ในการปฏิบัติวิปัสสนาได้หรือไม่
พระผงจักรพรรดิสามารถใช้ในการปฏิบัติวิปัสสนาได้หรือไม่ อย่างไร
ศิษย์ : การทำพระกับวิปัสสนา มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร?
หลวง ตา : คือ โบราณกาลมา การทำพระนี่ เป็นการทำให้คนติดพระ คนโบราณเวลาเค้าจะไปไหนเค้าจะเอาพระมาห้อย จะอาราธนาพระทุกครั้งเลย เวลาออกจากบ้าน สมัยโบราณนะ ทุกครั้งเลย คือคนโบราณเค้าต้องการทำให้คนติดพระ เลยทำวัตถุมงคลรูปลักษณ์ของพระมาให้คนได้ห้อย เพื่อให้ติด แต่มาในยุคหลังๆนี่ เอาไปทำค้าขายอะไรกันซะ โดยส่วนมาก
ศิษย์ : อย่างนี้คนเมื่อก่อนเค้าทำพระกันเองรึเปล่าครับ?
หลวง ตา : ทำกันเอง แต่ว่าต้องให้พระท่านอธิษฐาน มีพิธีอธิษฐาน นั่นคือเจตนของการทำพระของคนโบราณ มันเป็นพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ เป็นอนุสสติ ไตรสรณคมน์ว่าอย่างนั้น เอาง่ายๆ ทีนี้เรื่องวิปัสสนามันก็อยู่ในนั้น
ศิษย์ : อยู่ยังไงครับ?
หลวง ตา : ก็พุทธนุสสติ จิตระลึกถึงพระ ไตรสรณคมน์ รวมแล้วก็ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ มันก็เป็นกรรมฐานกองหนึ่งของสมถะ 3 กอง ใน 40 กอง
ศิษย์ : แล้วจากสมถะ มันจะขึ้นไปวิปัสสนายังไงครับ?
หลวง ตา : มันไปเอง การไหว้พระสวดมนต์เนี่ย จิตมันสบายใช่ไม๊ พอจิตมันสบาย แล้วมันนิ่งไปเรื่อยๆ ถ้ามีอะไรมากระทบมันก็หนี มันก็ต้องพิจารณาใช่ไม๊ นั่นล่ะเริ่มเข้าเรื่องปัญญาแล้ว มันก็หนี มันหนีออกมา หนีจากกระแสที่ไม่สบาย กระทบแล้วมันเป็นทุกข์ มันก็เริ่มจะห่างออกมาเรื่อยๆ โดยอาศัยพระที่ห้อยก่อน นี่คือฐาน ท่านว่า
ศิษย์ : วิปัสสนาเบื้องต้นนี่คือดูกระแสพระ?
หลวงตา : อันนั้นมันเป็นวิชาพิเศษของแต่ละคน ถ้าฝึกไปแล้วมันก็รู้ ทำบ่อยๆมันจะรู้
ศิษย์ : ก็ใช้พิจารณาได้เหมือนกัน?
หลวงตา : ได้... นี่คือเจตนาในคนโบราณเค้าทำพระ
ศิษย์ : แล้วพวกที่จับพุทธคุณได้ว่า พระเหล่านี้ปลุกเสกมาทางแคล้วคลาด คงกระพัน นั่น?
หลวงตา : อ๋อ... นั่นเค้าฝึกอีกระดับหนึ่งแล้วนะ มาจากการอาราธนาพระ กราบพระ นึกถึงพระ นึกถึงกระแสของพระ
ศิษย์ : แล้วเราดูตรงนี้ไปเรื่อยๆนี่ ก็สามารถใช้พระจนถึงนิพพานได้เลย?
หลวงตา : ได้
ศิษย์ : มันก็เหมือนการดูจิตอย่างหนึ่ง?
หลวงตา : เป็นการฝึกสติอย่างหนึ่ง คือการฝึกสติจริงๆแล้ว ก็คือเอาสติไปอยู่ที่พระ นี่คือแนวทางของโพธิญาณ
ศิษย์ : ก็คือใจไม่ฟุ้งซ่านไปข้างนอก ใจอยู่แต่ที่พระ?
หลวง ตา : ใช่... เมื่อจิตนึกถึงพระแล้วเนี่ย แม้แต่เราเห็นพระ เราจะปีติ ปีตินะ ปีติในพระ... มันจะแยกแยะออกว่า พระอะไรเป็นอะไร แยกพลังงาน แยกแยะพลังงานออกว่าอะไรเป็นอะไร แยกพลังงานพระออก แยกพลังงานสงฆ์ออก ดูว่าอะไร สงฆ์ก็คือมนุษย์ธรรมดาที่ยังมีกิเลส ตัณหา อุปาทาน เหมือนคนทั่วๆไป แต่เพียงออกมาเฉยๆ ห่างออกมาเฉยๆ ไม่ได้แตะต้อง ใช้ตา ใช้อะไรเฉยๆ ใช้อารมณ์คิด แต่ไม่ทำ
ศิษย์ : ถ้าทำให้คนติดพระได้ ทั้งผู้สร้างผู้ใช้?
หลวง ตา : อานิสงส์เยอะนะ เยอะมากเลยนะ เพราะทำให้คนเข้าถึงไตรสรณคมน์ ในพระไตรปิฏก ท่านว่า แม้แต่เลี้ยงมารดาตลอดชีวิต ยังสู้นำมารดาให้เข้าสู่ไตรสรณคมน์ไม่ได้ มันยาวไกล ไม่ใช่ชาติเดียว มันหลายชาติ นี่คือการห้อยพระ การนึกถึงพระ การเอาภาพพระไปติดไว้ที่บ้าน เปลี่ยนทัศนวิสัยใหม่
ศิษย์ : มองไปทางไหนก็เห็นแต่พระ?
หลวง ตา : ใช่... ให้จิตมันจับพระ สมัยนี้รูปพระเยอะแยะไป ยิ่งถ้าคนแก่เนี่ย ถ้าเอาไปติดไว้ในบ้าน มันจะนึกออก เหมือนเวลานึกถึงบ้านเราเนี่ย เราก็นึกถึงภาพบ้านของเราออก ด้วยความเคยชิน ความจริงคนโบราณเค้าฉลาด แต่คนข้างหลังมา... กลายเป็นการซื้อขาย การเลี้ยงชีพ บางคนนี่ร่ำรวยเพราะการขายวัตถุมงคล
ศิษย์ : แล้วอย่างการทำพระนี่ เราจะเอามาใช้ในการพิจารณาอริยสัจจ์ได้ไม๊ครับ?
หลวงตา : มันอยู่ที่พระฮะ พื้นฐานอยู่ที่การนึกถึงพระ ถ้านึกได้แล้วมันไปเอง
ศิษย์ : พระนี่ คือการทำฐานให้เค้า?
หลวง ตา : ใช่... อย่าลืมว่า คนเข้าถึงพระเนี่ย ในพระไตรปิฏกท่านก็พูดถึงอยู่หลายคน หลายคนมากที่เข้ามาเพราะได้ยินว่า พุทธะ ธรรมะ สังฆะ เกิดขึ้นในโลกนี้ อันนั้นเค้าเคยเกี่ยวข้องกับพระมาในอดีต
ศิษย์ : ทำไมสมัยพุทธกาลถึงไม่ทำพระไว้บ้าง?
หลวงตา : สมัยพุทธกาล ที่เค้าไม่ทำพระ เพราะพระพุทธเจ้าท่านยังอยู่ รูปลักษณ์ของพระพุทธะหมายถึงท่าน
ศิษย์ : สมัยก่อนเค้าก็เลยทำเป็นธรรมจักรอะไรไปแทน?
หลวง ตา : ใช่.... เป็นรูปลักษณ์ของพระ มันเป็นพุทธนุสสติ มันเป็นกรรมฐานกองหนึ่ง ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ ในสายพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ ท่านจะเน้นเรื่องไตรสรณคมน์
ศิษย์ : เพราะถือเป็นฐานที่สำคัญ?
หลวง ตา : หลวงพ่อดู่ท่านไม่เน้นนะฮะ วิปัสสนา ปัญญาอะไร หลวงพ่อดู่ท่านจะไม่สอน อยู่กับท่านมา ท่านไม่เคยสอน ท่านสอนให้นึกถึงพระอย่างเดียว
ศิษย์ : คนที่มาถึงจุดนี้แล้ว เค้าจะไปได้ของเค้าเอง?
หลวงตา : เค้าจะไปได้ของเค้าเอง
ศิษย์ : อย่างนี้ ถ้าเป็นสายโพธิญาณ เค้าต้องมีวิปัสสนาร่วมด้วยไม๊ครับ?
หลวงตา : ไม่รู้นะ สายอื่นไม่รู้นะ แต่สายหลวงพ่อท่านเน้นเรื่องพระ เน้นเรื่องการสร้างพระ เน้นเรื่องการนึกถึงพระ
ศิษย์ : คนเค้าชอบนึกกันว่า เรื่องพระเนี่ย มันไม่มีวิปัสสนา แต่เค้าไม่เคยนึกถึงว่า มันต้องสร้างฐานมาก่อน?
หลวงตา : ใช่... อย่าลืมว่า หลักของความเป็นจริงเนี่ยนะ จิตเนี่ย มันจะเข้าเป็นกรรมฐานกองไหน จิตมันต้องสบาย
ศิษย์ : การนึกถึงพระก็คือทำให้จิตสบาย?
หลวง ตา : ทำให้จิตสบายก่อน ทำให้จิตมันมีกำลังก่อน แล้วจึงค่อยพิจารณาในสิ่งที่กระทบกระทั่งอะไร แล้วมันก็จะไม่เกี่ยวข้อง เพราะมันไม่สบาย ใช่ไม๊... มันไปโยงกับคำว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ท่านเน้นเรื่องนี้มากเพราะว่า ถ้าทำอะไรกับท่าน จะเป็นกรรมฐานอะไรก็ตาม ถ้ามันหนัก มันไม่สบาย ท่านจะไม่ให้ทำ มันจะเกิดวิปลาส มันจะเกิดสับสน
ศิษย์ : เหมือนเห็นพระบางองค์ ท่านเพ่งพระอาทิตย์จนตาบอด จนเป็นอะไรไป
หลวงตา : ใช่... ทำอะไรมันต้องมีแนวทาง มีผู้นำ มีครูบาอาจารย์ มันถึงจะไปได้ ถ้าไม่มี จะไปฝึกเอง อย่าไปทำท่านว่า
ศิษย์ : อืม... ต้องมีครู?
หลวงตา : อื้อ... สิ่งที่ฝึกง่ายที่สุดก็คือ ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เป็นพื้นฐานที่ดีที่สุดอันดับแรก
ศิษย์ : หลวงปู่ท่านจะเน้นตรงนี้มาก?
หลวงตา : มาก.... ตื่นขึ้นก็ทำ กินข้าวก็ทำ เดินก็ทำ ท่านเน้นตรงนี้มาก
ศิษย์ : การทำพระกับวิปัสสนา มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร?
หลวง ตา : คือ โบราณกาลมา การทำพระนี่ เป็นการทำให้คนติดพระ คนโบราณเวลาเค้าจะไปไหนเค้าจะเอาพระมาห้อย จะอาราธนาพระทุกครั้งเลย เวลาออกจากบ้าน สมัยโบราณนะ ทุกครั้งเลย คือคนโบราณเค้าต้องการทำให้คนติดพระ เลยทำวัตถุมงคลรูปลักษณ์ของพระมาให้คนได้ห้อย เพื่อให้ติด แต่มาในยุคหลังๆนี่ เอาไปทำค้าขายอะไรกันซะ โดยส่วนมาก
ศิษย์ : อย่างนี้คนเมื่อก่อนเค้าทำพระกันเองรึเปล่าครับ?
หลวง ตา : ทำกันเอง แต่ว่าต้องให้พระท่านอธิษฐาน มีพิธีอธิษฐาน นั่นคือเจตนของการทำพระของคนโบราณ มันเป็นพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ เป็นอนุสสติ ไตรสรณคมน์ว่าอย่างนั้น เอาง่ายๆ ทีนี้เรื่องวิปัสสนามันก็อยู่ในนั้น
ศิษย์ : อยู่ยังไงครับ?
หลวง ตา : ก็พุทธนุสสติ จิตระลึกถึงพระ ไตรสรณคมน์ รวมแล้วก็ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ มันก็เป็นกรรมฐานกองหนึ่งของสมถะ 3 กอง ใน 40 กอง
ศิษย์ : แล้วจากสมถะ มันจะขึ้นไปวิปัสสนายังไงครับ?
หลวง ตา : มันไปเอง การไหว้พระสวดมนต์เนี่ย จิตมันสบายใช่ไม๊ พอจิตมันสบาย แล้วมันนิ่งไปเรื่อยๆ ถ้ามีอะไรมากระทบมันก็หนี มันก็ต้องพิจารณาใช่ไม๊ นั่นล่ะเริ่มเข้าเรื่องปัญญาแล้ว มันก็หนี มันหนีออกมา หนีจากกระแสที่ไม่สบาย กระทบแล้วมันเป็นทุกข์ มันก็เริ่มจะห่างออกมาเรื่อยๆ โดยอาศัยพระที่ห้อยก่อน นี่คือฐาน ท่านว่า
ศิษย์ : วิปัสสนาเบื้องต้นนี่คือดูกระแสพระ?
หลวงตา : อันนั้นมันเป็นวิชาพิเศษของแต่ละคน ถ้าฝึกไปแล้วมันก็รู้ ทำบ่อยๆมันจะรู้
ศิษย์ : ก็ใช้พิจารณาได้เหมือนกัน?
หลวงตา : ได้... นี่คือเจตนาในคนโบราณเค้าทำพระ
ศิษย์ : แล้วพวกที่จับพุทธคุณได้ว่า พระเหล่านี้ปลุกเสกมาทางแคล้วคลาด คงกระพัน นั่น?
หลวงตา : อ๋อ... นั่นเค้าฝึกอีกระดับหนึ่งแล้วนะ มาจากการอาราธนาพระ กราบพระ นึกถึงพระ นึกถึงกระแสของพระ
ศิษย์ : แล้วเราดูตรงนี้ไปเรื่อยๆนี่ ก็สามารถใช้พระจนถึงนิพพานได้เลย?
หลวงตา : ได้
ศิษย์ : มันก็เหมือนการดูจิตอย่างหนึ่ง?
หลวงตา : เป็นการฝึกสติอย่างหนึ่ง คือการฝึกสติจริงๆแล้ว ก็คือเอาสติไปอยู่ที่พระ นี่คือแนวทางของโพธิญาณ
ศิษย์ : ก็คือใจไม่ฟุ้งซ่านไปข้างนอก ใจอยู่แต่ที่พระ?
หลวง ตา : ใช่... เมื่อจิตนึกถึงพระแล้วเนี่ย แม้แต่เราเห็นพระ เราจะปีติ ปีตินะ ปีติในพระ... มันจะแยกแยะออกว่า พระอะไรเป็นอะไร แยกพลังงาน แยกแยะพลังงานออกว่าอะไรเป็นอะไร แยกพลังงานพระออก แยกพลังงานสงฆ์ออก ดูว่าอะไร สงฆ์ก็คือมนุษย์ธรรมดาที่ยังมีกิเลส ตัณหา อุปาทาน เหมือนคนทั่วๆไป แต่เพียงออกมาเฉยๆ ห่างออกมาเฉยๆ ไม่ได้แตะต้อง ใช้ตา ใช้อะไรเฉยๆ ใช้อารมณ์คิด แต่ไม่ทำ
ศิษย์ : ถ้าทำให้คนติดพระได้ ทั้งผู้สร้างผู้ใช้?
หลวง ตา : อานิสงส์เยอะนะ เยอะมากเลยนะ เพราะทำให้คนเข้าถึงไตรสรณคมน์ ในพระไตรปิฏก ท่านว่า แม้แต่เลี้ยงมารดาตลอดชีวิต ยังสู้นำมารดาให้เข้าสู่ไตรสรณคมน์ไม่ได้ มันยาวไกล ไม่ใช่ชาติเดียว มันหลายชาติ นี่คือการห้อยพระ การนึกถึงพระ การเอาภาพพระไปติดไว้ที่บ้าน เปลี่ยนทัศนวิสัยใหม่
ศิษย์ : มองไปทางไหนก็เห็นแต่พระ?
หลวง ตา : ใช่... ให้จิตมันจับพระ สมัยนี้รูปพระเยอะแยะไป ยิ่งถ้าคนแก่เนี่ย ถ้าเอาไปติดไว้ในบ้าน มันจะนึกออก เหมือนเวลานึกถึงบ้านเราเนี่ย เราก็นึกถึงภาพบ้านของเราออก ด้วยความเคยชิน ความจริงคนโบราณเค้าฉลาด แต่คนข้างหลังมา... กลายเป็นการซื้อขาย การเลี้ยงชีพ บางคนนี่ร่ำรวยเพราะการขายวัตถุมงคล
ศิษย์ : แล้วอย่างการทำพระนี่ เราจะเอามาใช้ในการพิจารณาอริยสัจจ์ได้ไม๊ครับ?
หลวงตา : มันอยู่ที่พระฮะ พื้นฐานอยู่ที่การนึกถึงพระ ถ้านึกได้แล้วมันไปเอง
ศิษย์ : พระนี่ คือการทำฐานให้เค้า?
หลวง ตา : ใช่... อย่าลืมว่า คนเข้าถึงพระเนี่ย ในพระไตรปิฏกท่านก็พูดถึงอยู่หลายคน หลายคนมากที่เข้ามาเพราะได้ยินว่า พุทธะ ธรรมะ สังฆะ เกิดขึ้นในโลกนี้ อันนั้นเค้าเคยเกี่ยวข้องกับพระมาในอดีต
ศิษย์ : ทำไมสมัยพุทธกาลถึงไม่ทำพระไว้บ้าง?
หลวงตา : สมัยพุทธกาล ที่เค้าไม่ทำพระ เพราะพระพุทธเจ้าท่านยังอยู่ รูปลักษณ์ของพระพุทธะหมายถึงท่าน
ศิษย์ : สมัยก่อนเค้าก็เลยทำเป็นธรรมจักรอะไรไปแทน?
หลวง ตา : ใช่.... เป็นรูปลักษณ์ของพระ มันเป็นพุทธนุสสติ มันเป็นกรรมฐานกองหนึ่ง ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ ในสายพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ ท่านจะเน้นเรื่องไตรสรณคมน์
ศิษย์ : เพราะถือเป็นฐานที่สำคัญ?
หลวง ตา : หลวงพ่อดู่ท่านไม่เน้นนะฮะ วิปัสสนา ปัญญาอะไร หลวงพ่อดู่ท่านจะไม่สอน อยู่กับท่านมา ท่านไม่เคยสอน ท่านสอนให้นึกถึงพระอย่างเดียว
ศิษย์ : คนที่มาถึงจุดนี้แล้ว เค้าจะไปได้ของเค้าเอง?
หลวงตา : เค้าจะไปได้ของเค้าเอง
ศิษย์ : อย่างนี้ ถ้าเป็นสายโพธิญาณ เค้าต้องมีวิปัสสนาร่วมด้วยไม๊ครับ?
หลวงตา : ไม่รู้นะ สายอื่นไม่รู้นะ แต่สายหลวงพ่อท่านเน้นเรื่องพระ เน้นเรื่องการสร้างพระ เน้นเรื่องการนึกถึงพระ
ศิษย์ : คนเค้าชอบนึกกันว่า เรื่องพระเนี่ย มันไม่มีวิปัสสนา แต่เค้าไม่เคยนึกถึงว่า มันต้องสร้างฐานมาก่อน?
หลวงตา : ใช่... อย่าลืมว่า หลักของความเป็นจริงเนี่ยนะ จิตเนี่ย มันจะเข้าเป็นกรรมฐานกองไหน จิตมันต้องสบาย
ศิษย์ : การนึกถึงพระก็คือทำให้จิตสบาย?
หลวง ตา : ทำให้จิตสบายก่อน ทำให้จิตมันมีกำลังก่อน แล้วจึงค่อยพิจารณาในสิ่งที่กระทบกระทั่งอะไร แล้วมันก็จะไม่เกี่ยวข้อง เพราะมันไม่สบาย ใช่ไม๊... มันไปโยงกับคำว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ท่านเน้นเรื่องนี้มากเพราะว่า ถ้าทำอะไรกับท่าน จะเป็นกรรมฐานอะไรก็ตาม ถ้ามันหนัก มันไม่สบาย ท่านจะไม่ให้ทำ มันจะเกิดวิปลาส มันจะเกิดสับสน
ศิษย์ : เหมือนเห็นพระบางองค์ ท่านเพ่งพระอาทิตย์จนตาบอด จนเป็นอะไรไป
หลวงตา : ใช่... ทำอะไรมันต้องมีแนวทาง มีผู้นำ มีครูบาอาจารย์ มันถึงจะไปได้ ถ้าไม่มี จะไปฝึกเอง อย่าไปทำท่านว่า
ศิษย์ : อืม... ต้องมีครู?
หลวงตา : อื้อ... สิ่งที่ฝึกง่ายที่สุดก็คือ ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เป็นพื้นฐานที่ดีที่สุดอันดับแรก
ศิษย์ : หลวงปู่ท่านจะเน้นตรงนี้มาก?
หลวงตา : มาก.... ตื่นขึ้นก็ทำ กินข้าวก็ทำ เดินก็ทำ ท่านเน้นตรงนี้มาก
พระเครื่องของหลวงปู่ดู่
เดิมข้าพเจ้าไม่มีความสนใจในแก่นหรือหลักของพระพุทธศาสนา
เพียงแต่มีความเข้าใจอย่างผิวเผิน และได้ประสบเหตุการณ์บางอย่างในการทำงานในต่างจังหวัด
ทำให้มีความสนใจในเรื่อง “ พระพุทธคุณ ”
( พระพุทธคุณ คือ พลังงานที่อยู่ในพระ ) ว่าจะมีจริงหรือเปล่า
จึงได้เสาะแสวงหา พระเครื่องของพระเกจิอาจารย์และพระกรุต่างๆ
จากหนังสือพระเครื่องหลายฉบับ
โดยเสียเงินในการเช่าบูชาเป็นจำนวนมากพอสมควร
เนื่องจากข้าพเจ้ามีพระเครื่องจำนวนมากมาย
ทำให้ไม่มีการจัดเก็บให้เป็นที่เรียบร้อย
มารดาข้าพเจ้าซึ่งเป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ( เรียกว่า เป็นคนต่างด้าว )
และมีความนับถือใน พระศาสดากับพระโพธิสัตว์กวนอิม
มารดาเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านได้สวดมนต์ทำสมาธิมาตั้งแต่เมื่ออายุเพียง 15 ปี
ตั้งแต่สมัยอยู่ในประเทศจีน จนมีอายุในขณะนี้ 70 ปี
และตั้งแต่ที่ข้าพเจ้าจำความได้
ก็เห็นมารดาสวดมนต์บูชาพระพุทธองค์และพระโพธิสัตว์กวนอิมทุกวัน
ในช่วงเย็นไม่น้อยกว่าวันละ 3 ชั่วโมง
โดยปกติลูกหลานจะทราบเพียงแต่ว่า
มารดาข้าพเจ้ามีความสามารถในการทำนาย โหงวเฮ้ง
( โหงวเฮ้ง หมายถึง การดูตรงหน้า ดูลักษณะ 5 อย่าง เช่น ดูตา ใบหู จมูก เป็นต้น ) ได้อย่างเเม่นยำมาก
แต่จะบอกเฉพาะลูกหลานหรือญาติเท่านั้น
จนมากระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง
มารดาได้ให้ข้าพเจ้าไปจัดเก็บพระเครื่องต่างๆ ที่วางไว้ระเกะระกะให้เป็นที่เรียบร้อย
เนื่องจากเป็นวันหยุด
ข้าพเจ้าจึงนำพระเครื่องทั้งหมดออกมาทำความสะอาดแล้ววางไว้บนโต๊ะ
มารดาข้าพเจ้า ( ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว )
ได้เดินมาที่โต๊ะที่วางพระเครื่องจำนวนหลายร้อยองค์ของข้าพเจ้า
พร้อมกับได้หยิบพระเครื่องแยกออกมาจำนวนหนึ่งประมาณ 4-5 องค์
แล้วเลือกพระเครื่องออกมาเพียง 1 องค์ยื่นให้ข้าพเจ้า
องค์ที่เหลือได้วางกลับลงไปที่เดิม
เนื่องจากมารดาเป็นคนจีนพูดไทยชัดบ้างไม่ชัดบ้าง
ได้พูดภาษาจีน แปลเป็นไทยได้ความว่า
“ พระเครื่องที่หยิบมาทุกองค์มีพลังหรือพุทธคุณสูงมาก
แต่องค์ที่พุทธคุณสุดยอดคือองค์นี้ ” (พระเครี่องของหลวงปู่ดู่)
มารดาได้กล่าวย้ำให้ข้าพเจ้านำไปเลี่ยมทองแขวนคอไว้เป็นมงคลแก่ตัว
โดยปกติมารดาไม่เคยสนใจในเรื่องพระเครื่อง และอ่านภาษาไทยไม่ได้เลย
แต่ท่านจะตักบาตรทุกวันและนับถือหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี
กับ สมเด็จพระพุฒโฆษาจารย์ ( ฟื้น ) วัดสามพระยา
ข้าพเจ้ามีความสงสัยเป็นอย่างมากว่า
มารดาทราบได้อย่างไรว่าองค์ไหนมีพุทธคุณสูง
และท่านสามารถตรวจสอบได้จริงหรือไม่
พระเครื่ององค์ดังกล่าวเป็นพระที่ข้าพเจ้าได้รับจากการทำบุญกับเพื่อน
เป็นพระรุ่นใหม่และไม่มีราคาเช่าหาแต่อย่างใด จึงสอบถามมารดาว่า
แม่รู้ได้อย่างไรว่าพระองค์นี้ดีและองค์ที่วางลงไปมีพุทธคุณน้อยกว่า
( พระที่มารดาวางลงไป 3-4 องค์ ล้วนเป็นพระเครื่องที่นิยมในวงการ
และมีราคาเช่าหาสูงในระดับหลักหมื่นขึ้นไปทั้งสิ้น )
ข้าพเจ้าได้เลือกพระองค์ที่บูชามาในราคาสูง
มาให้ตรวจสอบอีกจำนวนหนึ่ง ผลก็คงเป็นเช่นเดิม
มารดาบอกว่า พระองค์นี้(พระเครื่องของหลวงปู่ดู่)ดีมาก เป็น “ผ่อสัก” ( คือ “ พระโพธิสัตว์ ” )
ให้นำไปเลี่ยมแขวนที่คอ หากไม่มีเงินก็จะให้
ข้าพเจ้าแย้งว่า
พระองค์นี้ได้มาจากการทำบุญราคาถูกมาก จะดีกว่าพระองค์ที่มีราคาแพงๆ ได้อย่างไร ?
มารดาบอกว่า
พระองค์ราคาแพงมีพุทธคุณสูง มีลักษณะพลังงานแบบสายน้ำที่ไหลเรื่อยๆ มาไม่ขาดสาย
แต่พระองค์ที่เลือกให้ (พระเครื่องของหลวงปู่ดู่)
มีพุทธคุณสูงสุด มีพลังงานเหมือนกับน้ำตกที่ไหลแรงมาก
และไม่ขาดสายเช่นกัน
ข้าพเจ้ายังไม่เชื่อว่ามารดาจะตรวจสอบพุทธคุณได้จริงๆ
จึงได้ไปยืมพระเครื่องที่มีราคาเช่าหาในหลักแสนมา 2 องค์
ให้มารดาตรวจสอบใหม่อีกครั้ง ปรากฏว่ามารดาก็ยังยืนยันเหมือนเช่นเดิม
แต่ข้าพเจ้าก็ยังแคลงใจ จึงได้พิสูจน์อีกครั้งหนึ่ง
โดยนำกล่องใส่พระที่ปิดสนิท 3 กล่อง
- กล่องที่ 1 บรรจุพระเครื่องของหลวงปู่ดู่
- กล่องที่ 2 บรรจุพระเก่าราคาแพง
- กล่องที่ 3 บรรจุเม็ดลูกอมกิมจ๊อ
ไม่สามารถมองเห็นว่าข้างในกล่องมีอะไร
แม้แต่ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบ เพราะได้วางสลับไปสลับมาจนตัวเองก็งง
มารดาได้ยกกล่องใส่พนมมือทีละกล่อง โดยบอกว่า
กล่องนี้มีพระองค์ที่มีพุทธคุณเยี่ยมยอด(พระเครื่องของหลวงปู่ดู่)
ส่วนกล่องนี้พุทธคุณเบาบางมาก ( พระเก่า )
อีกกล่องท่านได้โยนทิ้งถังขยะ
กล่องที่ถูกทิ้งถังขยะเป็นกล่องที่บรรจุเม็ดลูกอมกิมจ๊อ
จึงทำให้ข้าพเจ้าเริ่มเชื่อสนิทใจว่า
มารดาตรวจสอบพุทธคุณได้จริง และพุทธคุณมีจริง
จากจุดนี้ทำให้ผู้เขียนเสาะหาพระเครื่อง
ที่ปลุกเสกโดย หลวงปู่ดู่ วัดสะแก มาโดยตลอด
ต่อมาได้อ่านหนังสือ พระผู้จุดประทีปในดวงใจ
ทำให้สนใจเริ่มค้นคว้าคำสั่งสอนของพระพุทธองค์อย่างจริงจัง
และนำมาปฏิบัติธรรม จึงขอสนับสนุนแนวทางที่ หลวงปู่ดู่ วางไว้ว่า
ติดวัตถุมงคล
ดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล
เมื่อสามารถฝึกจิตตนเองและปฏิบัติธรรมได้อย่างจริงจังแล้ว
ก็จะค้นพบของดีวิเศษในตนเอง
ข้อมูลจาก ตามรอยธรรม ย้ำรอยครู
วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553
ประวัติการแจกพระ
ประวัติการแจกพระ
( ปิดการแจก ทุกรายการแล้ว )
ด่วน แจกพระปทุมเจ็ดสระ 50 องค์ (ปิดแล้ว)
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=74217
ด่วน แจกฟรี พระกำลังจักรพรรดิ์ 300 องค์ (ปิดแล้ว)
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=81544
ด่วน แจกฟรี ลป.ทวด เปิดโลกเปิดบารมี 100 องค์(1) (ปิดแล้ว)
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=78573
แจกฟรี ลป.ทวด เปิดโลกเปิดบารมี 100 องค์ (2) (ปิดแล้ว)
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=83479
แจกฟรี 300 ชุด ข้าวสารเกราะเพชร (ปิดแล้ว)
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=80357
แจกธาตุกายสิทธิ์ 500 ชุด ให้ทหาร 3 จว.ชายแดนภาคใต้ (ปิดแล้ว)
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=80403
แจกฟรี ธาตุกายสิทธิ์ 500 ชุด ให้ครูที่อยู่ 3 จว.ชายแดนภาคใต้ (ปิดแล้ว)
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=82004
แจกฟรี น้ำมันชาตรี ลพ.ฤาษี วัดท่าซุง จำนวน 50 ขวด (ปิดแล้ว)
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=93295
แจกฟรี เทียนเสริมมงคลชีวิต 50 ชุด (ปิดแล้ว)
http://watthummuangna.com/board/showthread.php?t=1716
ด่วน แจกฟรีน้ำมันชาตรี ลพ.วัดท่าชุง 55 ขวด (ปิดแล้ว)
http://www.watthummuangna.com/board/...ead.php?t=2279
ฟรี ยาใจคลายทุกข์ (ปิดแล้ว)
http://board.palungjit.com/showthread.php?t=106051
ฟรี แจกพระธาตุ 100 ชุด ช้าอด (ปิดแล้ว)
http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=2789
แจกฟรีพระธาตุ 50 ชุด ช้าอด (ปิดแล้ว )
http://www.watthummuangna.com/board/...ead.php?t=3721
โครงการทีมงานเครือข่ายแก้วจักรพรรดิ์ครั้งที่ 1 ปิดแล้ว
http://www.watthummuangna.com/board/...ead.php?t=4524
รับสมัครทีมงานแก้วจักรพรรดิ์รุ่น 2 ปิดแล้ว
http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=5309
แจกพระบรมธาตุแก่ผู้ร่วมบุญปัจจัยสร้างพระผงจักรพรรดิ์ ปิดแล้ว
http://www.watthummuangna.com/board/...ead.php?t=5708
แจก...หลวงปู่ดู่ ขนาด 2 นิ้ว ปิดแล้ว
http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=6160
รับสมัคร ผู้ร่วมบุญแจกพระ สมเด็จองค์ปฐม ปิดแล้ว
http://board.palungjit.com//showthread.php?t=144080
แจก พระหลวงปู่ดู่ ขนาด 2 นิ้ว ต้อนรับปีใหม่ ปิดแล้วเด้อ
http://www.watthummuangna.com/board/...ead.php?t=8093
รับสมัครทีมงานแก้วจักรพรรดิ์รุ่น 3 ปิดแล้ว
http://www.watthummuangna.com/board/...ead.php?t=7381
รับทีมงานแก้วจักรพรรดิ์ รุ่น 4 ภูเขาบุญ ปิดแล้ว
http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=8617
รับทีมงาน แก้วจักรพรรดิ์ รุ่น 5 ปิดแล้ว
http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=9574
แจกฟรี พระสมเด็จองค์ปฐม ถึง 10 /9/52 ปิดแล้วจ้า
http://powerprotectionss.blogspot.com/2009/08/blog-post.html
แจก พระธาตุพระปัจเจกพุืทธเจ้าหรือพระธาตุพระสิวลี ปิดการแ่จกวันที่ 12 ต.ค. 52
http://powerprotectionss.blogspot.com/2009/09/blog-post_27.html
แจก หลวงปู่ทวด แก้วจักรพรรดิเสริมดวง ถึงวันที่ 13/11/52 ปิดแล้ว
http://powerprotectionss.blogspot.com/2009/10/blog-post.html
ของขวัญปีใหม่2553 แจกพระผงจักรพรรดิ์ และลูกแก้วจักรพรรดิ์ ถึง 10/1/53 (ปิดแล้ว )
http://powerprotectionss.blogspot.com/2009/12/2553-10153.html
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)