จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

ความลับของดวงแก้วกายสิทธิ์,แก้วจักรพรรดิ

ความลับและความสำคัญยิ่งของดวงแก้วกายสิทธิ์-จักรพรรดิ
      
  ดวงแก้วกลมใสบริสุทธิ์ที่เจียระไนจากหินแก้วบริสุทธิ์ที่มี
ขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางเกิน ๓ นิ้วขึ้นไปนั้นมีคุณค่าต่อการ
ทำวิชชาธรรมกายขั้นสูงอย่างสำคัญยิ่ง เพราะดวงแก้วขนาด
ใหญ่เกิน ๓ นิ้วนี้ จึงจะมีกำลังฤทธิ์แรง ช่วยในการเดินวิชชา
ธรรมกายได้เร็วมีพลังขึ้น และดวงแก้วใสขนาดใหญ่ ที่ใส
บริสุทธิ์นี้เมื่อนำมาเดินวิชชาธรรมกายขั้นสูงแล้วจะมีอานุภาพ
ยิ่งนัก

๑. เช่นช่วยในการเชื่อมสายสมบัติบันดาลให้เกิดสมบัติต่าง ๆ

ใช้ในการคำนวณผังอุดมสมบูรณ์พูนสุข เช่นในสมัยหลวงพ่อ
วัดปากน้ำ ในสมัยนั้นมีพระ เณร แม่ชี ศิษย์วัดรวมนับเป็นพัน
ชีวิต หลวงพ่อต้องรับภาระเลี้ยงดูตั้งโรงครัวเลี้ยง ซึ่งท่านก็
ได้อาศัยดวงแก้วกลมใสขนาดใหญ่ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง
๓ นิ้ว ๓ ดวง มาเจริญวิชชา ช่วยเชื่อมสายสมบัติ จนวัด
ปากน้ำ เจริญรุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์จนปัจจุบันนี้

๒. ในการเจริญวิชชาสะสางธาตุธรรม (วิชชารบ)
(วิชชาปราบมาร)

เป็นวิชชาสูงสุดยอดของวิชชาธรรมกายนั้น จำเป็นอย่างยิ่ง
ต้องอาศัยดวงแก้วขนาดใหญ่ช่วยเป็นกำลังสำคัญ เพราะกาย
มนุษย์นั้นต้องมีการกิน,การถ่าย,การพักผ่อนหลับนอน
พูดง่าย ๆว่ายังมีโอกาสเผลอได้ ส่วนจักรพรรดิในดวงแก้วนั้น
ไม่มีการกิน การถ่าย แบบมนุษย์ ดังนั้น ผู้เป็นวิปัสนาจารย์ หรือ
พระโยคาวจรผู้ทำวิชชา จึงสามารถถ่ายทอด วิชชาปราบมาร
ให้จักรพรรดิ์ในดวงแก้ว ทำวิชชาแทนกายมนุษย์ได้ดี
เป็นคุณประโยชน์ต่อการทำวิชชาขั้นสูงสุดในวิชชาธรรมกาย

และในยุคหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้น ท่านสั่งให้บรรดาศิษย์ผู้เชี่ยว
ชาญในการทำวิชชาธรรมกาย ให้นำดวงแก้วกายสิทธิ์จักรพรรดิ
นำมาถือไว้ในมือ ขณะทำวิชชา หลวงพ่อวัดปากน้ำบอกว่าจะ
ช่วยให้การทำวิชชาเร็วและแรงขึ้น และนอกจากนี้ดวงแก้วหิน
ใส ขนาดใหญ่ถ้าหากได้นำมาเจริญวิชชาธรรมกายอย่าง
ชำนาญแล้ว

องค์จักรพรรดิ์ในดวงแก้วหรือองค์กายสิทธิ์ในดวงแก้ว
สามารถจดจำวิชชาที่กายมนุษย์ได้ทั้งหมดอีกด้วย


คุณค่าและความสำคัญของดวงแก้วหินใสในวิชชาธรรมกาย
นั้นมีอีกมาก และไม่อาจนำมาเปิดเผยชี้แจงให้ทุกท่านทราบได้
ในขณะนี้ นอกจากว่าท่านได้ลงมือปฏิบัติธรรมบรรลุธรรมกาย
และท่านได้ศึกษาทำวิชชา ตามแนววิชชาที่หลวงพ่อวัดปาก
น้ำแนะนำไว้ ท่านจะทราบและรู้ซึ้ง ในคุณค่าของดวงแก้วหิน
ใส ว่ามีความสำคัญยิ่งเพียงใด โดยเฉพาะในการทำวิชชา
ปราบมาร และการทำวิชชาเข้าไปยึดสิทธิอำนาจในธาตุธรรม
เป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งต้องอาศัยหินใสบริสุทธิ์ช่วยขณะทำ
วิชชา คือวิชาปราบมารซึ่งมารเกรงกลัวเป็นที่สุด เพราะถ้ากาย
มนุษย์ธาตุธรรมสายขาวใส ได้บรรลุธรรมกายและทำวิชชาขั้น
สูงสะสางธาตุธรรม วิชชารบ(ปราบมาร) โดยถือดวงแก้วหิน
ขาวใสบริสุทธิ์ขนาดเกินผลส้มเข้าไว้ในมือ แล้วเจริญวิชชา
ธรรมกาย จะเกิดประสิทธิภาพฤทธิ์เดชในส่วนหยาบส่วน
ละเอียด ส่งผลให้วิชชาธรรมกายฝ่ายพระหรือฝ่ายบุญภาค
ปราบมีอานุภาพมากเฉียบขาด ทำวิชชาประกอบกันจะเกิด
พลานุภาพ ฤทธิ์ ,สิทธิ์,อำนาจ,เฉียบขาด สามารถขจัด
อวิชชา,ปราบมารได้ผลดีสุดจะประมาณ และบรรดาจักรพรรดิ์
ฝ่ายปราบบนพระนิพพานก็ซ้อนกายลงมาช่วยทำวิชชา
ในดวงแก้วหินขาวใสนั้นด้วย จึงเกิดผลดีต่อการเจริญวิชชา
ธรรมกายเบื้องสูงสุดจะประมาณทีเดียว ฝ่ายมารจะระเบิดวิชชา
ฝ่ายเราไม่แตก

บรรพบุรุษของไทยได้รู้จักแก้วกายสิทธิ์มานานแล้ว
ตั้งแต่โบราณกาล


มีบุคคลท่านหนึ่งเป็นบุคคลเก่าแก่สมัยหลวงพ่อวัดปากน้ำ
ได้ปฏิบัติธรรมจนได้ธรรมะคือคุณแฉล้ม อุศุภรัตน์ ท่านก็ได้
แก้วกายสิทธิ์รูปร่างคล้ายไข่นกเป็นแก้วสีน้ำผึ้ง สวยงามมาก
ปาฏิหาริย์มาปรากฏที่บูชาเอง

และมีอุบาสิกา คหปตานีที่อุปถัมภ์อุปัฏฐากหลวงพ่อวัด
ปากน้ำมาแต่ต้น จนหลวงพ่อมรณภาพไปและอุบาสิกาท่านผู้นี้
ก็ได้ปฏิบัติธรรมวิชชาธรรมกายมากับหลวงพ่ออย่างเชี่ยวชาญ
ท่านได้รู้ได้ทราบเรื่องเกี่ยวกับกายสิทธิ์
ท่านเล่าให้ฟังว่า...........

สมัยนั้นมีศิษย์หลวงพ่อท่านหนึ่งชื่อพระสิงห์ทอง
ได้ปฏิบัติวิชชาธรรมกาย สามารถนั่งเจริญวิชชา
ธรรมกาย เข้านิโรธได้วันละหลายชั่วโมง ปรากฏว่าท่านเห็น
ในเหตุด้วยญาณทัศนะของธรรมกายว่า ทุกวันขณะท่านนั่งเข้า
สมาธิก็มีแก้วกายสิทธิ์ลอยวนรอบตัว จนพอถึงวันที่ ๗ จึง
ตกลงมาใกล้ตัวท่าน มีลักษณะขาวใสเหมือนน้ำค้าง มี
ลักษณะรี ป้องสั้นคล้ายไข่เต่าน้ำจืด ขาวใสมาก ท่านจึงเก็บ
รักษา และต่อมาจึงได้ให้โยมอุปัฏฐาก ข้างวัดปากน้ำไป
ปัจจุบันก็ยังมีหลักฐานอยู่

ยังมี ท่านแม่ชีอาจารย์ทองสุข สำแดงปั้น
ท่านเชี่ยวชาญการปฏิบัติธรรมวิชชาธรรมกาย นั่งสมาธิเข้าที่
จนมีพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาโปรดหลายครั้ง และมีแก้ว
กายสิทธิ์เสด็จมาอยู่ด้วย มีลักษณะยาวรีคล้ายไข่เต่ามีสีคล้าย
หยกเขียวอ่อนจาง ๆ ซึ่งต่อมาท่านแม่ชีทองสุขได้มอบให้
แม่ชีเธียร ธีระสวัสดิ์ ไว้ติดตัวช่วยเหลือ เป็นกำลังในการ
ปฏิบัติวิชชาธรรมกายและการเผยแพร่วิชชาธรรมกาย
บางท่านอาจสงสัย แต่ถ้าท่านปฏิบัติธรรมเข้าถึงธรรมกาย
ท่านจะรู้จะเข้าใจ แจ่มแจ้ง ทั้งรู้และเห็นด้วยตนเอง

มิใช่แต่เฉพาะที่วัดปากน้ำเท่านั้นที่พบแก้วกายสิทธิ์ แม้ใน
อดีตสมัยหลวงพ่อทวด ซึ่งเป็นพระปฏิบัติสมัย
อยุธยา ตามประวัติกล่าวว่า ในสมัยที่หลวงพ่อทวดเกิดใหม่ ๆ
นั้นได้มีงูคาบดวงแก้วกายสิทธิ์มาให้ นับเป็นเรื่อง
แปลกหรืออาจกล่าวว่า แก้วกายสิทธิ์เป็นของคู่บุญบารมีมา
อุปการะ ช่วยเหลือคุ้มครองแก่ผู้มีบุญบารมีทางธรรมปฏิบัติ
โดยเฉพาะก็คงกล่าวไม่ผิด



ดวงแก้วกายสิทธิ์ - จักรพรรดิ คู่บารมีหลวงปู่ทวด
เดิม
มีลักษณะกลมแบบมะนาว ต่อมาถูกคนบ้าลักขโมยไปและเอา
หินทุบจนแหว่งไป ลักษณะคล้ายไข่นกกระทา ดวงแก้วนี้มี
ลักษณะเป็นหินแท้ธรรมชาติ คือ ในเนื้อแก้วจะมีลายหิน,รอย
หิน มีคราบสีเหลืองแก่ปะปนอยู่ในหินแก้วบ่งบอกอายุความเก่า
แก่ของหิน

นอกจากนี้ยังมีหลักฐานยืนยันจากประวัติพระธุดงค์ที่ท่าน
จาริกไปในป่าเขาปฏิบัติธรรม มีบางท่านปักกลดในป่าบริเวณ
ตีนเขา พอตกดึกก็แลเห็นมีแสงสว่างพุ่งขึ้นบนยอดเขา พอรุ่ง
เช้าจึงขึ้นไปดูพบมีหินแก้วกายสิทธิ์สีต่าง ๆ ต่อมาท่านก็ใช้ลูก
ศิษย์ไปนำแก้วกายสิทธิ์เหล่านั้นมาบรรจุไว้ที่ถ้ำกระบอก
สระบุรี ทีมีชื่อเสียงในการรักษาผู้ติดยาเสพติดจนได้รางวัล
แมกไซไซ

มีสามเณรองค์หนึ่งปฏิบัติกรรมฐานจาริกธุดงค์ปักกลดที่ป่า
เขาในจังหวัดแพร่ มีคืนหนึ่งขณะเข้าที่เจริญภาวนาเสร็จแล้ว
ท่านลืมตาออกจากสมาธิ ท่านได้เห็นมีแสงนวลสว่างออกมา
จากพื้นดินเขานั้น ท่านจึงเข้าไปดู พบว่ามีดวงแก้วกายสิทธิ์
ขาวใสภายในมีสีเขียวคล้ายตะไคร่น้ำอยู่ในนั้นด้วย

และมีพระนักปฏิบัติธรรมสายอีสาน ชื่อพระอาจารย์
พุฒ รตนญาโน
แห่งวัดป่าเขาสวนกวาง จังหวัด
ขอนแก่น ท่านได้ตอบสัมภาษณ์แก่นักข่าว วารสารฉบับหนึ่ง
ที่มาถามท่านขณะท่านมา ณ วัดบวรนิเวศน์วิหาร กรุงเทพฯ
ถึงเรื่องแก้วกายสิทธิ์ที่พระอาจารย์พุฒ เดินธุดงค์กรรมฐานไป
ที่ภูเขาลูกหนึ่ง คืนหนึ่งขณะที่ท่านกำลังทำความเพียรเดิน
จงกรมไปมาตรงบริเวณที่พัก ท่านสังเกตเห็นแสงสว่างเรืองสุก
ใส ลอยวนไปวนมาเหนือศีรษะ ท่านเลยเงยหน้าขึ้นไปมอง
ลูกแก้วนี้ลอยวนไปวนมาเหมือนมีชีวิต ครั้งแรกที่ท่านเห็นก็อด
คิดไปต่าง ๆ นานาไม่ได้ เพราะคิดว่าสิ่งนั้นคือของวิเศษชนิด
หนึ่ง แต่ในที่สุดท่านก็สำรวมใจ ไม่สนใจภายนอกมุ่งเดินจง
กลมปฏิบัตความเพียรต่อ จนได้เวลาก็เข้าในกลดนั่งสมาธิ
ภาวนาจนรุ่งเช้า และท่านยังคงปักกลดที่นั่นเพราะสงบดีเหมาะ
แก่การภาวนามาก

วันที่สองตอนกลางคืน ท่านก็ปฏิบัติสวดมนต์ แล้วมานั่ง
สมาธิภาวนา พอตกดึกท่านก็เดินจงกรม ประมาณ 3 ทุ่มเศษ
ๆ ลูกแก้วก็ลอยปรากฏให้เห็นอีก คราวนี้ลอยต่ำกว่าทุกคราว
คือเรี่ย ๆ ศีรษะพอดี ท่านพระอาจารย์พุฒก็ไม่ได้ให้ความ
สนใจมากนัก จะลอยวนเวียนอย่างไรก็ช่าง ท่านเดินจงกลม
รักษาสติอย่างเดียว คืนต่อ ๆ มาก็ปรากฏเช่นนี้ทุกคืน
และจนคืนหนึ่งดวงแก้วลอยต่ำลงมากแล้วยังวนเวียนช้า ๆ
รอบ ๆ ตัวท่านอีกด้วย แสงสีเรือง ๆ นั้นทำให้ท่านหยุด
พิจารณาแล้วยื่นมือไปหยิบดวงแก้ววิเศษนั้น ท่านบอกว่ามัน
ง่ายดายมาก พอท่านจับดวงแก้วไว้แสงเรือง ๆ สว่าง ๆนั้น
ก็ค่อย ๆมืดดับไปจนหมด เหลือแต่สภาพเป็นดวงแก้ว
(สีขุ่นขาวนวลไม่ถึงกับใสแจ๋วนัก) ท่านจึงพิจารณาทราบว่า
เจ้าของหมายถึง ผู้รักษาแก้วนั้นหรือแก้วกายสิทธิ์นั้นคงจะให้
ท่าน ท่านจึงเก็บไว้ ต่อมาท่านได้ถวายพระอาจารย์แนนซึ่ง
เป็นพระธุดงค์อีกองค์หนึ่งไป

(นี่เป็นเรื่องจริงทุกประการ ท่านสามารถเรียนถามได้จาก
พระอาจารย์พุฒ วัดเขาสวนกวางได้ทุกเวลา)



เรื่องเกี่ยวกับแก้วเสด็จ คือ ตั้งแต่สมัยโบราณ คนเฒ่า
คนแก่ จะเล่าให้ฟังว่าตามป่าเขายามดึกสงัด
วันเพ็ญ 15 ค่ำ มักมีแก้วสุกใสสว่างดวงกลมลอยขึ้น จาก
ภูเขาลูกนี้ไปลงเขาลูกนั้น พอใกล้สว่างก็ลอยกลับลงมาที่เขา
ลูกเดิม แก้วบางดวงก็เล็ก,ใหญ่มีรัศมีสีแสงอ่อนไม่เท่ากัน
บางดวงมีบริวารแวดล้อมระยิบระยับไปหมด เรื่องทำนองนี้
มีผู้พบเห็นมาแต่โบราณจนแม้ในยุคปัจจุบัน ทำให้เป็นที่
สนใจสงสัยของบรรพบุรุษ ซึ่งสมัยนั้นคงสงสัยในใจกันมา
นาน และสมัยโบราณปกครองด้วยระบบเจ้าขุนมูลนาย
ดังนั้นเมื่อเจ้าเมืองที่เมืองป่า เขาได้พบเห็นปรากฏการณ์นี้
ด้วยความสงสัยมานาน ที่เห็นดวงสว่างลอยขึ้นจากยอดเขา
หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของภูเขา แล้วลอยไปยังเขาอีกลูกหนึ่ง
พอใกล้สว่างก็ลอยกลับที่เดิม เป็นเช่นนี้นานเข้า ด้วยความ
สงสัยอยากรู้ และอาศัยมีอำนาจสั่งการให้ไพร่ฟ้าหรือบริวาร
ทดลองขุดดูตรงบริเณที่แสงลอยหายตกวูบไป

เมื่อขุดดูก็ได้พบแท่งแก้วผลึกบ้าง ก้อนแก้วผลึกบ้าง
เป็นหินขาวใสบริสุทธิ์บ้าง ขาวขุ่น ๆ ใส ๆ บ้าง จึงนำมาทำ
เป็นเครื่องประดับยอดเจดีย์ เช่นทำเจียระไนเป็นรูปดอกบัว
รูปดวงแก้วกลม ไว้บนฉัตรทองคำยอดพระธาตุ เจดีย์ต่าง ๆ
เช่น เจดีย์หริภุญชัย ลำพูน,พระธาตุดอยสุเทพ,พระธาตุ
ต่าง ๆ ทั่วภาคเหนือ,พระธาตุนครศรีธรรมราช ก็มีดวงแก้ว
กลมใสจำนวนมากประดับบนฉัตรรอบยอดเจดีย์

และวันดีคืนดี ก็จะมีปาฏิหารย์เป็นดวงแสงสว่างลอย
จากยอดเจดีย์นั้นไปหาเจดีย์นี้ เชื่อกันว่าแก้วเสด็จไปมาหา
สู่กับแก้วด้วยกันในถิ่นอื่น ๆ หรือไปเยี่ยมกัน

และนอกจากนี้คนยุคโบราณยังนำหินแก้วกายสิทธิ์
เหล่านี้มาเจียระไน ทำเป็นพระพุทธรูปบรรจุไว้ในเจดีย์ที่
เชียงแสน,เชียงใหม่,อ.ฮอด,เชียงราย,ลำพูน,ลำปาง,น่าน
แพร่,อุตรดิตถ์,พิษณุโลก,อยุธยา ฯลฯ แสดงว่ามีผู้รู้จักแก้ว
กายสิทธิ์มาแต่โบราณกาลนับพัน ๆ ปีแล้ว

จากหลักฐานที่ขุดค้นพบจากกรุเจดีย์ต่าง ๆ ในภาคเหนือนั้น
ก็ล้วนพบดวงแก้วกายสิทธิ์บ้าง พระหินแก้วกายสิทธิ์บ้าง
และกายสิทธิ์รูปต่าง ๆ
ดังปรากฏหลักฐานใน
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดทั่ว
ประเทศ ซึ่งจะพบว่าตามกรุเจดีย์วัดร้างที่ขุดพบนี้
มีพระแก้วกายสิทธิ์,ช้างแก้ว,กวางแก้ว,ผอบแก้วใส่พระ
บรมสารีริกธาตุและมีดวงแก้วกลมอีกด้วย เช่น ที่พบจาก
เมืองฮอดเชียงใหม่ เชียงแสน เชียงของ เชียงคำ และ
อำเภอเถิน ลำปาง แสดงว่าบรรพบุรุษของไทย
ได้รู้จักแก้วกายสิทธิ์มานานแล้วตั้งแต่โบราณกาล

ความลับเกี่ยวกับเรื่องขุมแก้วกายสิทธิ์ในเมืองเหนือ


เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีพระพุทธ
แก้ว อันถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมือง เพราะแก้วย่อมถือเป็นของ
มีค่าหาได้ยาก โดยเฉเพาะแก้วหินจากธรรมชาติ พระแก้วที่เกิด
ขึ้นในเมืองเหนือที่ถือเป็นพระปฏิมากรองค์สำคัญ เช่น พระ
พุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระศรีรัตน
ศาสดารามในปัจจุบัน ก็พบครั้งแรกในกรุกลางเมืองเชียงราย
เมื่อ พ.ศ. ๑๙๗๙

พระแก้วอีกองค์หนึ่ง ซึ่งปรากฏอยู่ที่วัดพระธาตุลำปาง
หลวง มีหน้าตัก ๖ นิ้ว พบในลำปางตามตำนานกล่าวว่าพบ
เป็นลูกแก้วอยู่ในผลแตงโม (มะเต้า) แล้วนำมาเจียระไนเป็น
พระพุทธรูป

พระแก้วอีกองค์หนึ่ง มีความสำคัญคู่ตำนานคือ พระแก้วหริ
ภุญชัย กล่าวว่าเป็น พระแก้วของพระนางจามเทวีแต่สมัยหริ
ภุญชัย ขณะนี้อยู่ที่วัดเชียงมั่น จ.เชียงใหม่ ทราบกันดีในชื่อ
พระเสตังคมณี

นอกจากนี้ยังมีประดิษฐกรรมจากแก้ว ที่พบกันในกรุร้างวัด
ต่าง ๆ ในเขตอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ปรากฏว่ามีทั้งพระ
พุทธรูปแก้วกายสิทธิ์ใส ๆ ช้างแก้ว กวางแก้ว ดวงแก้วกลมใส
ผอบแก้วใสบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ในเขตเมืองเก่า เชียง
แสน เชียงขอม เชียงคำ และเขตกรุร้างต่าง ๆ ในจังหวัดภาค
เหนือ และในกรุวัดร้างของอำเภอเถินก็พบหลักฐานที่
ประดิษฐกรรมเจียระไนจากหินแก้วกายสิทธิ์ ในรูปต่าง ๆ
เจริญอยู่ในสมัยลานนาไทยมานานแล้ว ทางสุโขทัยและพระ
นครศรีอยุธยา การขุดค้นต่าง ๆ ของคณะโบราณคดี
มหาวิทยาลัยศิลปากร ก็พบแก้วใสด้วยวิธีเจียระไนแบบพื้น
เมืองโบราณ ลึกลงไปในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ได้พบหลัก
ฐานว่าคนในสมัยดึกดำบรรพ์ได้นำลูกแก้วปัดสีต่าง ๆ มาประดับ
คุ้มครองตัวเอง เราจะหาดูได้จากพิพิธภัณฑ์อู่ทองสิ่งที่น่า
สนใจยิ่งคือ ลูกแก้วลูกปัดที่มีสีขาวใสสะดุดตาเรียกว่า
“แก้วน้ำค้าง” ซึ่งจัดอยู่ในประเภทหินแก้วกายสิทธิ์ หินผลึก หิน
เขียวหนุมาน หินแก้วโป่งข่ามนั่นเอง

นอกจากหินแก้วกายสิทธิ์สีขาวแล้ว อาจมีสีม่วง ชมพู น้ำ
ชา สีฟ้า และมีแร่ธาตุต่าง ๆ เข้าปะปนมีคล้ายตะไคร่น้ำ ทราย
หรือเป็นเส้นสีดำ สีทอง สีนาค สีเงิน ซึ่งล้วนเป็นหินแก้ว
กายสิทธิ์เกิดเองตามธรรมชาติ มีอายุนับล้าน ๆ ปี หินแก้วชนิด
ขาวใสบริสุทธิ์เป็นของหายากและมีค่าสูงพอ ๆ กับสีม่วงใสซึ่
นิยมกันมาก และมีราคาแพงแต่ทว่าลักษณะหินแก้วใสเหล่านี้
เกิดเองมีขนาดใหญ่ ๆ ที่ใสบริสุทธิ์จริง ๆ หายากมาก ส่วนมาก
มักขุ่นครึ่งใสครึ่ง ถึงใสหมดก็มีขนาดเล็ก และหายากมีค่าสูง
ส่วนบางก้อนถึงใสสนิทก็อาจมีลายหินม่านหินตามธรรมชาติ
เกิดอยู่ภายในปะปนอยู่ทุกก้อน ทุกดวง มากบ้าง น้อยบ้าง
ต้องเข้าใจตามความเป็นจริงของธรรมชาติ

ในต่างประเทศ เช่น จีน เรียกแก้วกายสิทธ์นี้ว่า
“หินแก้วจุยเจีย”
หรือที่แปลกันว่าแก้วหยกน้ำค้าง หรือ
น้ำกลายเป็นหินแข็งใส ทำนองนี้ แก้วจุยเจียมักมีคุณภาพความ
ใสสะอาดเป็นเลิศ และมีขนาดใหญ่ สามารถนำมาเจียระไนเป็น
ลูกแก้วกลมใสขาดเท่าลูกพุทรา เท่ามะนาว

ตัวอย่างในตำนานจีนประวัติ 8 เซียน กล่าวถึง
"หลีเล่ากุน" มีดวงแก้ววิเศษเท่าผลส้ม เปล่งแสงออกมาเป็น
ฉัพพรรณรังสี รัศมี 6 ประการ และเมื่ออธิษฐานขอดูภาพ
เหตุการณ์ต่าง ๆ จากดวงแก้ว จะเห็นตามเป็นจริง นอกจากนี้
ในศาสนาพุทธมหายานในจีน พระพุทธรูปตรีกาย (ซำเป้า)
พระพุทธรูปองค์กลาง(พระศากยมุนี) พระหัตถ์ถือดวงแก้วเป็น
สัญลักษณ์

ส่วนทางยุโรป อเมริกาเรียกว่าร็อคคริสตัล “คริสตัล”
เรียกสั้น ๆ ว่า คว้อทซ์นั่นเอง
ประชาชนชาวจีน
ชาวญี่ปุ่น นิยมนำเอาหินจุยเจียมาทำเป็นดวงแก้วกลมเล็กบ้าง
ใหญ่บ้าง เพื่อนำมาเป็นนิมิต ปฏิบัติธรรม ซึ่งมีอานุภาพต่อ
ทางจิตสูงมาก เช่นถือกันว่ามีพลังวิเศษอยู่ในดวงแก้วนั้น

ในทวีปอเมริกานิยมเอาหินแก้วใสบริสุทธิ์ ร็อคคริสตัล
จุยเจียนี้ทำเป็นคริสตัลบอลล์ หรือดวงแก้ว ใช้เพ่งให้จิตเป็น
สมาธิ เพื่อให้รู้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ เช่นยีนส์ ดิกสัน
ชาวอเมริกาที่โด่งดังในอเมริกา

สำหรับในประเทศไทยนิยมยกย่องหินแก้วผลึกขาวใส
(จุยเจีย) เป็นรัตนะ (แก้วอันประณีต ประเสริฐ) เป็น
ของบริสุทธิ์จึงนิยมมาเจียระไน เป็นพระพุทธรูป,ผอบ,
เจดีย์แก้วบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า,
พระธาตุของพระอรหันต์ และนิยมทำเป็นดวงแก้วกลม
ประดับบูชาไว้บนยอดเจดีย์ต่าง ๆ




เช่น พระธาตุดอยสุเทพ,พระธาตุหริภุญชัย , พระตาลดอยป่า
ตาล ทั่วภาคเหนือ และพระธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช ก็มีดวง
แก้วหินขาวใสจุยเจียประดับ บนยอดฉัตรเจดีย์หุ้มด้วยสาแหรก
ทองคำจำนวนหลายสิบดวง


ที่มา http://www.navagaprom.com/oldsite/con1.php?con_id=9

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

กระแส จักรพรรดิ

“กระแส จักรพรรดิเป็นพลังงานที่อยู่ในโลกนี้ตลอดเวลา สืบต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่มีประมาณ
กระแสจักรพรรดิมีเกิดขึ้นเรื่อยๆ แม้จักรพรรดิผู้นั้นได้บรรลุเป็นพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้าไปแล้ว แต่พลังงานบุญก็ยังทิ้งไว้ในสมบัติจักรพรรดิ

สมบัติจักรพรรดิเป็นสมบัติผลัดกันชม ยังมีอยู่ตลอดไม่หายไปไหน พลังงานบุญจึงฝากกระแสต่อไปสู่พระจักรพรรดิองค์ต่อไปเรื่อยๆ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ทุกยุคทุกสมัย ต้องมาเกิดเป็นพระจักรพรรดิกันแทบทั้งนั้น พระจักรพรรดิจึงเกิดมีสืบต่อกันไปไม่ขาดสาย เป็นเครือข่ายพลังานบุญที่ปรากฏสืบทอดต่อเนื่องในโลกนี้อย่างไม่มีที่สิ้น สุด

เวลาสวดจักรพรรดิไปนานๆกระแสแห่งพระจักรพรรดิจะเกิดขึ้นที่จิตเรา จะสะสมพลังงานหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ไปเรื่อยๆ ยิ่งสวดดี สวดด้วยใจเบาสบาย พลังงานก็ยิ่งหนาแน่นขึ้น กระแสจักรพรรดิ กระแสหลวงปู่ดู่ที่หนาแน่นนั้นมีประโยชน์มาก นำมาอธิษฐานอะไรก็ได้ เป็นกระแสที่มีพลังงานสูง ส่งพลังงานไปได้ไกลไม่มีประมาณทั่วสามแดนโลกธาตุ สามารถเปลี่ยนกระแสที่ไม่ดีต่างๆเช่นวิญญาณไม่ดี ฮวงจุ้ยไม่ดี ร่างกายป่วยไข้ไม่ดี กรรมไม่ดี ฯลฯ ให้กลายเป็นดีได้ ใช้เป็นประโยชน์ในการอธิษฐานได้ทั้งทางโลกเช่น ธุรกิจการงาน การเงิน สุขภาพ ครอบครัว ฯลฯ และทางธรรมเช่น การใช้พระกำหนดถามตอบข้อธรรมต่างๆ

ความ หนาแน่นของพลังงานในการสวดนั้น จิตสามารถบันทึกได้อย่างไม่มีประมาณ สวดไปด้วยคิดเรื่องธุรกิจการงานที่ติดขัดไปด้วยก็ได้ ถ้านึกไปสวดไป ก็คือการนำกำลังจักรพรรดิมาใช้เป็นครั้งๆไป การอัดความหนาแน่นของพลังงานก็จะช้าหน่อย แต่ถ้าไม่ได้ใช้แก้ปัญหาข้อขัดข้องใดๆ หมั่นสวดเป็นประจำ ก็อัดพลังงานได้เต็มเร็ว เพิ่มพลังงานความหนาแน่นของบุญบารมีในตัวเราได้มาก คนทำงานไม่มีเวลาว่าง แค่สวดตอนตื่นนอน กินข้าว อาบน้ำ ก่อนนอน ก็พอ สวดก่อนนอนจิตจะบันทึกบุญไว้ สามารถพิสูจน์ได้จริง ลองสวดดู ถ้าทำได้จริงแล้วจะไม่มีฝันร้ายเลย หากสวดจนนิ่งหลับไป จิตจะไม่ฝันเลย จะหลับเต็มอิ่ม ตื่นมาสดชื่นมาก กำหนดเวลาตื่นได้เอง หรือหากสวดด้วยใจสบาย จิตจะฝันว่าไปสวดมนต์ไปวัด ทำบุญ ไปส่งวิญญาณ แม้หลับอยู่จิตก็ยังได้บันทึกบุญ จิตฝันดีธาตุก็ดี ตื่นมาร่างกายสดชื่นแข็งแรง ถ้าจิตฝันร้าย ธาตุก็เสื่อม เหมือนเวลาฝันว่าวิ่งหนี ร่างกายเราก็รู้สึกเหนื่อยหอบจริงๆ

เราสวด จักรพรรดิ ระลึกถึงจักรพรรดิ สามารถอธิษฐานนำมากำหนดเป็นพลังงานให้เกิดเป็นทิพยอำนาจได้ ให้จิตอยู่ในจักรพรรดิ เราจะกำหนดไปที่ไหนก็ได้ จะมีคนเห็นเราปรากฏตัวในที่ต่างๆได้ สวดให้จริงแล้วจะหวังผลแบบไหนก็ได้ ปรารถนาจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ไม่อยากเกิดแล้วก็ได้ หรือปรารถนาจะสร้างบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ก็จะสร้างบุญบารมีได้เร็วขึ้น เชื่อหรือไม่เชื่อ ต้องลองปฏิบัติดูเอาเอง...”

ที่มา http://www.watthummuangna.com/home/community/index.php?topic=245.0



กฎแห่งจักรวาล 7 ข้อ




เมื่อหลายพันปีมาแล้วในอียิปต์ "สุดยอดเดอะซีเคร็ต" หรือ "ความลับเหนือโลก”
ของ “กฎแห่งจักรวาล 7 ข้อ” ได้จารึกอยู่ใน “จารึกมรกต” แต่ก็ถือเป็นสิ่งต้อง
ห้ามมาช้านาน ด้วยพวกชนชั้นปกครองส่วนใหญ่ไม่อยากให้แนวคิดในจารึกนี้
แพร่พรายออกไป เพราะจะทำให้ยากแก่การปกครองครอบงำความคิดของ
มหาชน นับตั้งแต่พระของอียิปต์โบราณมาจนถึงวัดในยุคกลาง พวกผู้นำ
ศาสนาต่างสั่งห้ามไม่ให้พูดถึงจารึกมรกตเลย ใครหลุดปากออกมาแม้แต่คำ
เดียวก็จะถูกข้อหาว่าเป็นพวกนอกรีตหรือแม่มดทันที และโทษก็คือแขวนคอ
หรือตัดหัว
อย่างไรก็ตาม ความรู้ในจารึกนี้ได้ถูกท่องจำต่อๆ กันมา โดยสมาคมลับหลาย
สมาคม เช่น ไนต์เทมพลาร์ และฟรีเมซอน หรือซุกซ่อนอยู่ในบทกวี ภาพ
เขียน หรืองานศิลปะอื่นๆ แม้ตัวจารึกมรกตเองจะสูญหายไปแล้วก็ตาม
เมื่อ 40 ปีก่อน ดร.เมล กิลล์ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ประสบอุบัติเหตุตกเขา
จนต้องตัดแขนซ้ายทิ้ง และตายไประหว่างผ่าตัดเป็นเวลานานถึง 19 นาที!
ทว่า ในระหว่าง 19 นาทีที่สำหรับเขาแล้วราวกับผ่านไปหลายวันหรือหลาย
เดือนนี้ ทำให้เขามีโอกาสได้เรียนรู้ถึง “ความลับเหนือโลก”
หลังออกจากโรงพยาบาล เขาได้ค้นคว้าไปทั่วห้องสมุดใหญ่ๆ และเดินทาง
ไปยังดินแดนรกร้างห่างไกลทั่วทุกมุมโลก จนค้นพบและกลั่นกรองออก
มาเป็นหนังสือ “สุดยอดเดอะซีเคร็ต” เล่มนี้ได้
คงไม่ต้องบอกว่า ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึง “สุดยอดเดอะซีเคร็ต”
นี่เอง ที่แม้เขาต้องสูญเสียแขนซ้ายไป แต่ก็ยังสามารถต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรค
นานัปการ จนกลายมาเป็นนักพูดสร้างแรงจูงใจ นักจิตบำบัด นักสะกดจิต
ชั้นนำ ผู้เชี่ยวชาญชั้นแนวหน้าด้านการพัฒนาบุคคล เป็นที่ปรึกษาของ
ซีอีโอกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ (ฟอร์จูน 500) และเป็นผู้ที่
ประสบความสำเร็จจนมีที่ทำงานในต่างประเทศหลายๆ แห่งได้
โจ วิเทล ผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งอินเตอร์เน็ตกล่าวไว้ในคำนำว่า หนังสือ
เล่มนี้คือ “ภูมิปัญญาเร้นลับแห่งจักรวาล ที่ได้พิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรกใน
รอบหลายร้อยปีมานี้!”
หนังสือเล่มนี้คือกุญแจไขไปสู่ “สุดยอดเดอะซีเคร็ต” หรือ “ความลับเหนือโลก”
อันเป็นความลับที่เหนือกว่าความลับทั้งมวล
“ความลับเหนือโลก” ก็คือความลับที่เปิดเผยให้เห็นถึงกฎการทำงานระหว่าง
จิตใจมนุษย์กับกฎแห่งจักรวาลนั่นเอง ผู้คนส่วนใหญ่ต่างเรียนรู้กันมาแต่กฎ
ทางฟิสิกส์หรือกฎทางวัตถุ โดยรู้ว่าเมื่อโยนลูกแอปเปิลขึ้นไปในอากาศ มัน
ก็จะตกลงมายังพื้นโลกตามกฎของแรงโน้มถ่วง แต่มีน้อยคนที่จะรู้ว่า เพียง
จิตใจเรา “คิด” ถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทั้งในระดับจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึก เราก็จะ
“ดึงดูด” เอาสิ่งนั้นๆ เข้ามาหา ตาม “กฎแห่งแรงดึงดูด” อันเป็นกฎแห่ง
จักรวาลข้อหนึ่ง
นี่เองที่ทำให้ผู้ที่ “คิด” และ “เชื่อ” ว่าตนเองจะประสบความสำเร็จ ร่ำรวย
เจริญรุ่งเรือง ได้รับความรัก หรือจะหายป่วยจากโรคร้ายแรงที่หมดทางรักษา
ก็สามารถเป็นไปตามนั้นได้จริงๆ ซึ่งต่างจากผู้ที่ไม่เคยคิดหรือไม่เคยเชื่อใน
ตัวเองแบบนั้นเลย
นอกจากนั้น กฎแห่งจักรวาลข้อนี้ที่ทำให้ “ผู้มองโลกในแง่ร้ายจะ ‘เห็น’
แต่ความยากลำบากในโอกาสทุกๆ อย่าง ส่วนผู้มองโลกในแง่ดีจะ ‘เห็น’
ถึงโอกาสในความยากลำบากทุกๆ อย่าง”
การเข้าใจถึง “กฎแห่งจักรวาล” จึงสะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจโลกในแง่
มุมใหม่ ไม่ใช่ด้วยกฎทางฟิสิกส์ แต่ด้วย “ภูมิปัญญาโบราณ” ของกฎแห่ง
“สุดยอดเดอะซีเคร็ต” ที่หนังสือเล่มนี้จะกล่าวถึงนั่นเอง
1. กฎแห่งมโนนิยม
2. กฎแห่งการสั่นสะเทือน
3. กฎแห่งขั้วตรงข้าม
4. กฎแห่งจังหวะ
5. กฎแห่งเพศ
6. หลักแห่งเหตุและผล
7. กฎแห่งความสอดคล้องกัน

“สุดยอดเดอะซีเคร็ต” ของ “กฎแห่งจักรวาล 7 ข้อ” ก็คือ
กฎแห่งมโนนิยม
กฎแห่งจักรวาลข้อแรกบอกเราว่า ทุกสิ่งก็คือจิต ดังนั้น ขั้นตอนของการเปลี่ยน
สิ่งที่อยู่รอบตัวเรา ก็มาจากพลังทางจิตของเรานั่นเอง เพราะจักรวาลเป็นเรื่องที่
อยู่ภายใน เราจึงสามารถควบคุมทุกสิ่งในชีวิตเราได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น เราจึง
ต้องใส่ใจจริงจังที่จะสังเกตความฝันของเรา เพราะบ่อยครั้งความฝันก็บอกถึงสิ่ง
ที่เราขาดไปในชีวิต และจะบอกใบ้ให้รู้วิธีที่จะเติมเต็มประสบการณ์ของเราให้
เข้มข้นยิ่งขึ้น บางครั้งความฝันก็เป็นพื้นฐานของสิ่งที่เราต้องการให้เกิดขึ้นจริง
ในชีวิตที่เราปรารถนา จักรวาลนั้นอยู่ภายในตัวเรานี่เอง! เพราะ “ภายในเป็น
อย่างไร ภายนอกก็เป็นอย่างนั้น”
กฎแห่งการสั่นสะเทือน
กฎจักรวาลข้อที่สองช่วยให้เราเข้าใจว่า เราเป็นยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตที่ผูกติดอยู่กับ
เวลาและสถานที่ที่เราอยู่ เรามายังที่นี้เพื่อใช้ชีวิตและเรียนรู้บทเรียนอันทรง
คุณค่า แต่ประสบการณ์ชีวิตนั้นมีหลายด้าน เนื่องจากเรามีชีวิตสามด้าน นั่นคือ
ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ การจะมีชีวิตที่มีสุขและสมดุลได้ เราจะต้อง
ทะนุบำรุงชีวิตทั้งสามด้านนั้นให้สอดประสานกันเสมือนกับวงดนตรีประสานเสียง
ทั้งสามด้านจะต้องทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน
ทุกสิ่งล้วนแต่สั่นสะเทือน กฎจักรวาลข้อที่สองนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่า การสั่นสะ
เทือนนั้นจำเป็นต่อชีวิต ถ้าเราปล่อยให้การสั่นสะเทือนลดต่ำเกินไป เราจะล้ม
ป่วยหรือซึมเศร้าหดหู่ และร่างกายเราจะทุกข์ทรมาน ความรักเป็นวิธีที่จะช่วย
รักษาการสั่นสะเทือนให้อยู่ในระดับสูง ความรักเป็นผลมาจากการรู้คุณค่าและ
ซาบซึ้งในตัวบุคคลอื่น เมื่อเรารู้สึกรัก เราจะเชื่อมโยงสัมพันธ์กับโลกและทุก
สิ่งทุกอย่างในโลก เราสะท้อนรับเอาแรงสั่นสะเทือนจากสรรพสิ่ง เมื่อเราเรียน
รู้บทเรียนเหล่านี้และส่งต่อไปยังคนรุ่นต่อๆ ไป เราจะยกระดับการสั่นสะเทือนของมนุษยชาติด้วยการเชื่อมโยงสัมพันธ์กับคนอื่นๆ และด้วยความเข้าใจในโลก
กฎแห่งขั้วตรงข้าม
กฎแห่งจักรวาลข้อนี้สอนเราว่า ทุกสิ่งนั้นมีขั้วตรงข้ามกัน แต่ขั้วตรงข้ามนั้นแท้
จริงก็เป็นเพียงสิ่งเดียวกันที่ “ต่างระดับกัน” นั่นเอง และรอคอยจะเชื่อมประสาน
กัน เมื่อเราเข้าใจตรงนี้ เราก็จะสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นและรับมือกับสถาน
การณ์ในชีวิตได้ดียิ่งขึ้น เมื่อเข้าใจกฎแห่งขั้วตรงข้ามแล้ว เราก็จะสามารถหา
หนทางเพื่อให้ได้สิ่งที่เราต้องการได้ และเทคนิคนี้ใช้ได้ดีโดยเฉพาะเมื่อเรา
ต้องรับมือกับอารมณ์ต่างๆ ความเศร้าสามารถเปลี่ยนเป็นความสุข ความเกลียด
เปลี่ยนเป็นความรัก และความเจ็บปวดก็เปลี่ยนเป็นความสุขได้
กฎแห่งจังหวะ
กฎแห่งจังหวะเตือนให้เราระลึกว่า ขณะที่ลูกตุ้มนาฬิกาแกว่งไปยังด้านหนึ่ง
มันก็ต้องแกว่งกลับไปยังด้านตรงข้ามเท่าๆ กัน เพื่อเป็นการชดเชยถ่วงดุล
ผู้ที่ประสบกับความขมขื่นเหลือแสน ก็ย่อมรู้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ด้วย เพราะ
การที่จะรู้ถึงคุณค่าแท้จริงของสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความรัก และความ
สงบ เราต้องรู้ถึงขั้วตรงข้ามของมันด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อเราได้ประสบกับ
สิ่งเหล่านี้แล้ว เราจะสามารถแยกตัวเองออกมาได้ ก็โดยการก้าวถอยหลังเมื่อ
ลูกตุ้มนาฬิกาแกว่งไปยังด้านที่เราไม่ชอบ และบอกตัวเองว่าไม่ช้ามันจะแกว่ง
กลับไปยังด้านที่เราชอบมากกว่าเอง ถ้าเราพลิ้วไปกับกระแส แม้ในยามที่ดู
มืดมนสิ้นหวัง เราก็ยังยอมรับได้ว่า แม้นั่นไม่ใช่สิ่งที่เรามุ่งหวัง แต่ก็ยังทำใจ
ให้ผ่อนคลายโดยไม่กังวลได้ เพราะกฎแห่งจังหวะทำให้เรารู้ว่าอะไรที่กำลัง
จะตามมา
กฎแห่งเพศ
ทุกคน ทุกสถานที่ และทุกสิ่งต่างก็มีทั้งลักษณะที่เป็นทั้งเพศชายและเพศหญิง
ซึ่งทำงานสอดประสานกันเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมา โดยพลังเพศชายนั้นอยู่
ภายนอก อันเป็นสิ่งที่ถูกส่งออกไปสู่จักรวาล ขณะที่พลังเพศหญิงนั้นอยู่ภายใน
ด้วยเหตุนี้ พลังเพศชายและหญิงจึงทำงานร่วมกันเหมือนสายพ่วงแบตเตอรี่
เพศชายคือสายขั้วบวก ก็จะผลักออกเสมอ ส่วนเพศหญิงหรือสายขั้วลบก็จะ
ดึงดูดเสมอ ว่าตามวิทยาศาสตร์แล้ว ขั้วบวกไม่ใช่หมายถึงสิ่งที่ดี และขั้วลบก็
ไม่ได้หมายถึงสิ่งไม่ดี ต่างเป็นแค่คำเรียกสมดุลการไหลของพลังงาน สภาพ
เพศหญิงจึงหมายถึงเส้นทางขั้วลบของพลัง เพราะเป็นจุดเกิดแห่งการสร้าง
เช่นเดียวกับที่ผู้หญิงตั้งครรภ์หรือสร้างชีวิตใหม่ขึ้นมา
กฎจักรวาลข้อนี้ช่วยให้เราเอาชนะความไม่มั่นใจในตัวเองและการผัดวันประกัน
พรุ่งได้ พลังของหญิงและชายนั้นต่างทำงานประสานกันเสมอ เว้นแต่จะถูกปิด
กั้นด้วยอคติหรือความคิดเชิงลบอันเกิดมาจากความกลัว วิธีที่ดีอย่างหนึ่งใน
การเปิดรับพลังงานที่สมดุลคือ การมีส่วนร่วมในการให้และรับทุกๆ วัน
หลักแห่งเหตุและผล
กฎแห่งเหตุและผลเป็นกฎแห่งจักรวาลที่รู้จักกันดีที่สุดข้อหนึ่ง พวกเราหลาย
คนต่างเคยได้ศึกษากฎนี้มาแล้วตอนเรียนวิทยาศาสตร์ นั่นก็คือ “ทุกๆ แรง
กระทำจะมีแรงปฏิกิริยาตรงข้ามที่เท่าๆ กัน”
ไม่มีสิ่งใดหลีกพ้นกฎแห่งเหตุและผลไปได้ แต่เราสามารถใช้กฎจักรวาลข้อ
นี้เพื่อเอาชนะกฎแห่งชีวิตประจำวันซึ่งอยู่ภายใต้กฎจักรวาลอีกที เมื่อเราใช้
กฎจักรวาลเพื่อดึงเอาสิ่งที่เราต้องการผ่านทางการคิดหรือการกระทำเชิงบวก
เมื่อเรายกระดับการสั่นสะเทือน และเมื่อเราตระหนักถึงความสมดุลระหว่าง
เพศ เมื่อนั้นเราก็กำลังปฏิบัติการอยู่ในเครื่องบินลำที่อยู่สูงขึ้นไป เราจะไม่
ถูกพัดพาไปกับเรื่องต่างๆ ในชีวิตอีกต่อไป
กฎแห่งความสอดคล้องกัน
กฎแห่งจักรวาลข้อนี้ทำให้เราตระหนักว่า แม้ตัวเราอาจเป็นเพียงสิ่งเล็กกระ
จ้อยร่อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับจักรวาล แต่กฎแห่งความสอดคล้องกันก็บอกว่า
เรามี “เครื่องช่วย” อยู่ในตัว ที่จะช่วยให้เราทุกคนเข้าใจมันได้อยู่แล้วด้วย
นั่นก็เป็นเพราะ ไม่ว่าสิ่งที่เราพยายามทำความเข้าใจนั้นจะยิ่งใหญ่เกินกว่าที่
เราจะเข้าใจมันได้ทั้งหมด หรือเล็กเกินกว่าจะมองเห็นด้วยตาเปล่าเพียงใดก็
ตาม ไม่ว่ามันจะอยู่ในโลกด้านไหน ทุกสิ่งก็สร้างขึ้นจากเนื้อแท้อย่างเดียว
กัน จาก “สรรพสิ่ง” นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ ทุกสิ่งจึงสะท้อนถึงหรือจำลองแบบ
มาจากสิ่งอื่นๆ
กฎข้อนี้ยังทำให้เราเข้าใจแจ่มชัดว่า “ทำอย่างไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น” หากเรา
ปฏิบัติต่อผู้อื่นไม่ดี พวกเขาก็ย่อมทำแบบเดียวกัน แต่ความดีจะเอาชนะความ
ชั่วได้ หากเราควบคุมชีวิตและชะตากรรมของเราเอง โดยใช้วิธีคิดและการ
กระทำในทางที่ดี ตามกฎแห่งความสอดคล้องต้องกันนี้
กฎแห่งมโนนิยม กฎแห่งขั้วตรงข้าม กฎแห่งเหตุและผล กฎแห่งเพศ กฎแห่ง
การสั่นสะเทือน กฎแห่งความสอดคล้องกัน และกฎแห่งจังหวะ กฎทั้งหลาย
นี้รวมกันในลักษณะและระดับต่างๆ จนทำให้เราประสบสัมผัสกับกฎแห่งแรง
ดึงดูดอันหลีกเลี่ยงไม่ได้
เราต้องเรียนรู้วิธีที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความคิดเชิงลบเกิดขึ้นในสมอง และ
เรียนรู้ที่จะเติมความคิดด้วยพลังภายในจากกฎจักรวาล แล้วเราก็จะก้าวเข้า
สู่วิถีชีวิตที่สูงส่งกว่าเดิม สงบกว่าเดิม และดีกว่าเดิม ส่วนหนึ่งของขั้นตอนที่
ว่านี้ก็คือ เราจะได้ตระหนักถึงปัจจุบันขณะ เมื่อเราตระหนักถึงตัวเอง เมื่อใส่
ใจกับคนที่เรารักหรืองานที่กำลังทำอยู่ ชีวิตก็จะชัดเจนและแจ่มกระจ่างมาก
ขึ้น สิ่งดีๆ ทั้งหลายก็จะไหลพลิ้วเข้ามาหาอย่างนิ่มนวล และเป็นไปอย่างง่าย
ดายสำหรับเรา ตามกฎแห่งแห่งแรงดึงดูดนี่เอง
เราสามารถทำให้ชีวิตมีความสุขและความมหัศจรรย์ เกินกว่าที่เราเคยคิดว่า
จะเป็นไปได้ โดยอาศัยกฎจักรวาลทั้ง 7 ข้อนี้ เพราะเมล กิลล์ ผู้เขียนหนังสือ
เล่มนี้ ได้สร้างเครื่องมือที่จำเป็นต้องใช้ เพื่อเข้าถึงและปฏิบัติตนตาม
สุดยอดเดอะซีเคร็ต แล้ว โดยมีเนื้อหาครอบคลุม กล่าวอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
และ “แนะ” เทคนิคอันจะช่วยทำให้ปรากฏขึ้นเป็นรูปธรรมขึ้นจริงๆ ได้ เพื่อ
ช่วยให้เราสร้างความมั่งคั่ง ความรัก ความสัมพันธ์ สุขภาพ และความสุขที่
ฝันถึงเสมอมา
หนังสือเล่มนี้เดิมสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกันโดยผู้เขียน ทั้งยังได้รวบ
รวมข้อคิดของนักคิดด้าน “สุดยอดเดอะซีเคร็ต” ผู้ประสบความสำเร็จอย่าง
สูงไว้หลายๆ คนด้วย เช่น ดร. โจ วิเทล, แจ็ก แคนฟีลด์, บ็อบ พร็อกเตอร์,
ดร. มาซารุ อีโมโตะ, เจย์ อับราฮัม, ที. ฮาร์ฟ อีเกอร์, แดน พอยน์เตอร์,
เอลี เดวิดสัน, เดวิด ริกลาน, ดับเบิลยู. มิตเชลล์ อาร์เทอร์ คาร์มัซซี และ
เกรเกอรีย์ ฮาร์ต
ที่มา http://dmgbooks.ecwid.com/product?8658934